กี่ชั้นก็อ่านออก! “จตุพร” รู้ทัน “ทักษิณ” เล่นเกมใหญ่ ดึง “ส.สุรเกียรติ์” แคนดิเดตนายกฯ ตั้งเป้ากลับบ้านโดยไม่พึ่งกฎหมาย วิเคราะห์ซ้ำ “ดีล” พปชร. ลงตัว “บิ๊กป้อม” นั่ง “รองนายกฯ” เตือน “ส.” รู้ดีควร-ไม่ควร เชื่อ ชุบชีวิต “บิ๊กตู่”
น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (6 ก.พ. 66) “ตู่” จตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน เฟซบุ๊กไลฟ์ประเทศไทยต้องมาก่อน ตอน “สุดลิ่ม ทิ่มประตู” เกี่ยวกับสถานการณ์ทางการเมือง ระบุว่า
นักวิเคราะห์คาดชื่อย่อ ส.เสือตัวใหญ่ เป็น “ส.สุรเกียรติ์ เสถียรไทย” จะเป็นแคนติเดตนายกฯ ของพรรคเพื่อไทย เพราะมีความมุ่งมั่น ฝ่าฟันอุปสรรคไปจนถึงสิ่งต้องการมากกว่า ส.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ซึ่งทั้งคู่เป็นรองนายกฯ สมัยรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร นอกจากนี้ ส.สุรเกียรติ์ เคยเสนอตัวเป็นตัวแทนจากไทยเข้าแข่งขันชิงตำแหน่งเลขาธิการองค์การสหประชาชาติ แต่ไม่ได้รับเลือก กระทั่งเกิดการยึดอำนาจปี 2549 จากนั้นก็หายไปจากการเมืองร่วม 18 ปี แล้วต่อมามีภาพปรากฏถึงการรับใช้ราชวงศ์
อีกทั้ง นายจตุพร ระบุถึงชื่อ ร.ต.อ.ดร.ปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์ ฉายาคนดีไม่เสื่อม ในสมัยพรรคไทยรักไทย เป็นเลขาธิการพรรค และเป็น รมว.มหาดไทย ยุครัฐบาลทักษิณ เช่นกัน แต่ได้รับความนิยมจากสมาชิกพรรคมากกว่าคนเป็นหัวหน้าพรรค ซึ่งส่อถึงอาการลำบากและอยู่ยากในทางการเมือง จากนั้นก็หายวับไปอีกคน
ส่วนการดีลทางการเมืองนั้น แม้ อุ๊งอิ๊ง-แพทองธาร ชินวัตร ลูกสาวทักษิณ และหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทยปฏิเสธ แต่ตนเชื่อว่า เรื่องนี้ไม่ใช่ความบังเอิญ เนื่องจากมีปรากฏการณ์ปี 2562 พรรคไทยรักษาชาติ (เครือข่ายทักษิณ-พรรคเพื่อไทย) เสนอชื่อราชวงศ์เป็นแคนติเดตนายกฯ มาแล้ว จนสร้างความตกตะลึงให้ทุกพรรคการเมือง
“วันนั้น ถ้าได้เดินหน้าต่อไป การเมืองก็ไม่รู้จะเดินหน้าอย่างไร รัฐบาลก็ไม่รู้อย่างไร ฝ่ายค้านก็ไม่รู้จะอภิปรายอย่างไร ส่วนการหาเสียงก็คงยาก และทำไม่ถูกเลย ซึ่งระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข จะเดินยากมากที่สุด ดังนั้น ผมได้บอกว่า การคิดเกมใหญ่ต้องการชนะคนเดียวทั้งกระดานการเมืองแล้ว เมื่อต้องเสียก็ล้มทั้งกระดานเช่นกัน”
พร้อมระบุว่า หลังจากศาล รธน.วินิจฉัยยุบพรรคไทยรักษาชาติ คนคิดเกมใหญ่ยังไม่หยุดการเคลื่อนไหว โดยสองวันก่อนการเลือกตั้งทั่วไปปี 2562 มีการจัดงานแต่งงานที่ฮ่องกง จนเกิดปรากฏการณ์ฮ่องกงเอฟเฟกต์ขึ้นอย่างสุดทางเลือกในสองด้านการเมือง คือ หนึ่งฝ่ายขวาสุดจะเลือก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา พรรคพลังประชารัฐ และสองพวกซ้ายสุด ต้องเอา นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ จากพรรคอนาคตใหม่ ส่วนพรรคเพื่อไทยและประชาธิปัตย์ อยู่ในสภาพสูญเสียทางการเมือง
พร้อมตอกย้ำว่า มาครั้งนี้ ขณะที่การเลือกตั้งครั้งใหม่จะเกิดขึ้น ชื่อ “ส.สุรเกียรติ์” ถูกเชื่อมโยงภาพเป็นบุคคลจงรักภักดีและทำงานใกล้ชิดสถาบันกษัตริย์ จะเป็นแคนติเดตนายกฯ ของเพื่อไทย แม้ส่วนตัวมีความต้องการเป็น “นายกฯ” ตามความอยากของมนุษย์ แต่ความเหมาะสมในสถานภาพของบุคคลในปัจจุบัน โลกติเตียนได้ ซึ่ง ส.สุรเกียรติ์ ควรต้องรู้ว่า อะไรเป็นอะไร และควรทำอย่างไร
“ผมเชื่อว่า ส.สุรเกียรติ์ จะตัดสินใจอย่างไร ก็ต้องรู้ผลลัพธ์โลกติเตียนตามมา แม้เรื่องนี้เป็นเพียงทางการข่าว ประติดประต่อเชื่อมโยงการทาบทามเพื่อไปบรรลุเป้าหมายกลับบ้านโดยไม่ใช้กฎหมาย แต่ถึงที่สุดก็ไม่ง่ายตามความประสงค์ของใครก็ตาม”
นายจตุพร ย้ำว่า การตัดสินใจจะกลับบ้านของทักษิณ ตนเรียกร้องให้กลับมาในวันนี้ หรือพรุ่งนี้ก็ได้ แม้มีการวิเคราะห์จะกลับก่อนเลือกตั้ง แต่ขอให้กลับมาเลย เพราะเป็นสิ่งดีที่จะทำให้ทุกอย่างได้จบ ไม่มีการค้างคาใจกับความขัดแย้ง จนประเทศไม่สามารถก้าวข้ามกับดักได้เลย
อีกทั้งย้ำว่า ทันทีทักษิณประกาศกลับบ้าน เท่ากับชุบชีวิตการเมืองของ พล.อ.ประยุทธ์ ได้ฟื้นคืนกลับมาอีก จนกลายเป็นทางเลือกระหว่างกลยุทธ์ “ใครไม่เอาประยุทธ์ เลือกทักษิณ” และ “พวกไม่เอาทักษิณ เลือกประยุทธ์” ซึ่งยิ่งทำให้ความขัดแย้งจะดำรงอยู่ทั้งก่อนและหลังการเลือกตั้ง แล้วส่อเป็นชนวนวิกฤตทุกเรื่องราวของประเทศไม่มีวันจบสิ้น
“แต่ที่บอกใช้ใจกลับบ้านอย่างเดียว ถ้ายังมีใจอยู่ก็เร่งกลับ รีบมาจบเรื่องนี้ด้วยกันเถอะ (ทักษิณ) กลับมา ลูกน้องท่านก็อยู่ในคุกมากมาย ผมเข้ามา 5 ครั้งแล้ว หลายคนจ่อเข้าคุกยังมีอีก ดังนั้น ถ้าไม่มีความชัดเจน เพียงนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ทางการเมืองเพื่อกวาดคะแนนเสียงอย่างเดียว ความขัดแย้งไม่มีวันจบและประเทศไม่ได้ก้าวข้ามกับดักนี้มายาวนาน”
นายจตุพร กล่าวถึงกรณีพลังประชารัฐ กับ พรรคเพื่อไทย ว่า การปฏิเสธความสัมพันธ์แบบไม่ขาดชัดเจน โดยแม้หัวหน้าพรรคแถลงตามมติพรรคว่าจะไม่จับมือกันเด็ดขาด แต่คนไม่ได้เป็นสมาชิกพรรคกลับมาอธิบายว่า ไม่จับมือกันในเวลานี้ ซึ่งเกิดความรู้สึกทางการเมืองแบบอึมครึม
นอกจากนี้ ระบุว่า การไม่ตอบให้เด็ดขาดชัดๆ นั้น ในทางการเมืองจับตาการเคลื่อนไหวของแกนนำหลักพลังประชารัฐอย่างน้อย 3 คน เป็นสองรัฐมนตรีกับหนึ่งรองประธานสภาจะย้ายพรรคไปเพื่อไทย ซึ่งประเมินถึงความเติบโตในตำแหน่งอนาคตเมื่อทั้งสองพรรคได้จับมือร่วมเป็นรัฐบาลกัน เพราะถ้าอยู่พรรคเดิมอย่างพลังประชารัฐโอกาสมีโควต้ารัฐมนตรีมีน้อยจึงจำกัดการเติบโต ด้วยเหตุนี้จึงต้องโยกย้ายมาเพื่อไทยที่จะเป็นพรรคใหญ่ โควตารัฐมนตรีก็มากตามมาด้วย
นายจตุพร กล่าวว่า ถ้า ส.ตัวใหญ่มาเพื่อไทย ทางการเมืองอธิบายอนาคตของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ พร้อมมาเป็นรองได้ แต่ถ้าเป็นคนอื่น ขณะที่พลังประชารัฐมากบารมีในกลไกรัฐ ประกอบกับ หากในกรณี พล.อ.ประยุทธ์ ไปไม่ถึงนายกฯ แล้ว โอกาสของประวิตร ย่อมสวมเข้าแทนอำนาจเดิม ทั้ง ส.ว. และองค์กรอิสระ เพื่อเป็นนายกฯ สืบทอด ด้วยการจับมือกับเพื่อไทย
“ถ้าเพื่อไทยได้เสียงมาที่หนึ่ง แล้วไปยกมือให้ประวิตรเป็นนายกฯ ก็ถึงขั้นฉิบหายเลย ดังนั้น ปรากฏการณ์ของ ส.เสือ-สุรเกียรติ์ เพื่อต้องการให้ประวิตรยอมเป็นเบอร์สองแทน ถ้าสมมติอุ๊งอิ๊งเป็นนายกฯ แล้วบิ๊กป้อมจะมาเป็นรองนายกฯ หรือไม่? สิ่งนี้แสดงถึงเกม ซึ่ง สุรเกียรติ์ ต้องรู้ว่า อยู่กับใคร รับใช้ใคร และควรทำ ไม่ทำอะไร ย่อมรู้ดี”
รวมทั้ง ย้ำว่า สิ่งเหล่านั้น เป็นการออกแบบทางการเมืองของบางคน ซึ่งจะพิสูจน์ได้ไม่กี่วัน แต่ถ้าวันหนึ่งพรรคพลังประชารัฐกับเพื่อไทยจับมือกันจริง จะให้ประชาชนทำอย่างไร โดยมีกรณีของ พล.อ.สุจินดา คราประยูร ในปี 2535 มาแล้ว แม้รับปากไม่เป็นนายกฯ แต่มาอ้างเสียสัตย์เพื่อชาติ เข้ารับตำแหน่งนายกฯ ประชาชนจึงชุมนุมต่อต้านเต็มถนน กทม.
“ครั้งนี้เช่นนี้กัน บอกมาเลย ว่า ถ้าพลังประชารัฐกับเพื่อไทยจับมือกัน หากเรื่องนี้เกิดขึ้นจริง ให้ประชาชนมาขับไล่ได้เลย พูดสิๆๆ แล้วตัวเองจะออกมาจากพรรคมาร่วมขับไล่ด้วย พูดสิๆ เพราะกระดานทางการเมืองมันไม่มีความลับ”
นายจตุพร แนะว่า การเมืองและการจับมือกัน อย่าอ่านชั้นเดียวแค่การโยกย้าย ส.ส. เพราะยังมีการย้ายมาอยู่พรรคที่คาดจะได้เสียงมาก ส่วนแบ่งโควตารัฐมนตรีก็มาก โอกาสจึงเปิดกว้างกว่าการอยู่พรรคเล็กที่มีโควตาน้อยต้องแย่งชิงกัน
อย่างไรก็ตาม ยังมีความเห็นเชิงประชดเพื่อไทย ว่า สามารถอธิบายคนตัวใหญ่จากพลังประชารัฐย้ายมาเพื่อไทย ก็เคยอธิบายข้อกล่าวหาชิงชังฝ่ายสนับสนุนการสืบทอดอำนาจได้สั้นๆ มาแล้วว่า ปัจจุบันเขาเปลี่ยนใจแล้ว ดังนั้น ความไม่ดีที่เคยกล่าวหาไว้ก็ปลิวมลายหายไปทันที แล้วล้างให้เป็นนักประชาธิปไตยที่งามผ่องยองใย ซึ่งได้ทำเช่นนี้มาแล้วด้วย
เหนือกว่านั้น ยังกล่าวว่า เมื่อ พล.อ.ประวิตร เปิดประตูย้ายพรรคได้แล้ว การมาเพื่อไทยทำให้การจัดสรรผู้สมัครยากขึ้น ดังนั้นจึงเกิดปรากฏการณ์ ผู้สมัครเดิม หรือ ส.ส.เก่าในบางพื้นที่ไม่พอใจ รวมกลุ่มประท้วงแสดงออกให้เห็นชัดเจน ซึ่งตนไม่ได้ไปเกี่ยวข้องด้วย
อย่างไรก็ตาม เมื่อเพื่อไทยไม่ประกาศชัดเจนกับการจับมือกับ พล.อ.ประวิตร และพลังประชารัฐ แต่ภายหลังอาจอ้างความจำเป็นต้องจับมือกันเหมือนการอ้างของ พล.อ.สุจินดา ตลอดนโยบายค่าแรงขั้นต่ำ 600 บาท ไปได้ปี 2570 ซึ่งทางการเมืองอ่านกันออกว่า สัญญาใจที่เตรียมจะอ้างความจำเป็นว่า ทำไมได้
“ผมอยากได้ยินในสิ่งที่ประกาศไม่เป็นทางการทั้งหลาย ซึ่งจะม้วนได้ตลอดเวลาและอยากจะฟังว่า ถ้าจับมือกันจริงกับบรรดาทั้งหลายที่ว่านั้น คุณจะอยู่กับเขาต่อไปหรือไม่ หรือจะไปอธิบายเหตุผลสำคัญกลับไปกลับมา เรายังจะไม่ได้ยินจากคนของพรรคเพื่อไทยอย่างเป็นทางการ”
นายจตุพร ยกตัวอย่างเหตุการณ์ว่า แม้เพื่อไทยเคยประกาศอย่างเป็นทางการเรื่อง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฯ ให้เฉพาะประชาชน ก็ตระบัดสัตย์ไปแถลงเป็นสุดซอยได้ แล้วยังแถลงอีกครั้งถอนกฎหมายออก แต่ประชาชนเดินเข้าคุกกันฉิบหายวายวอดหมด เราในฐานะประชาชนจึงต้องการความจริง และยืนยันประชาชนจะเลือกใคร พรรคใดเป็นสิทธิ์ของประชาชน เราจะไม่ยุ่งเกี่ยว เพราะเราจะเน้นเรื่องประเทศชาติบ้านเมือง และเอาอำนาจประชาชนเป็นหลัก เป็นจุดมุ่งมั่น
แน่นอน, ประเด็นที่น่าสนใจของ “จตุพร” ก็คือ การหาคำตอบให้กับกระแสข่าว
ไม่ว่า จะเป็น กรณีที่ “ทักษิณ” พูดว่า จะกลับไทยแน่นอน โดยไม่พึ่งกฎหมาย ไม่พึ่งพรรคเพื่อไทย และไม่ติดคุกด้วย คือ อย่างไร?
โดยยก กรณีมีกระแสข่าวว่า พรรคเพื่อไทย อาจเลือก “ส.ตัวใหญ่” ที่มีความใกล้ชิดเบื้องสูง เป็นแคนดิเดตนายกฯ มาวิเคราะห์เกมการเมือง จับไต๋ “ทักษิณ”
รวมทั้ง วิเคราะห์ให้เห็นอีกชั้น ที่วางเกมทับซ้อนเอาไว้ด้วยก็คือ “ดีล” กับ พรรค พปชร. ที่ดูเหมือนยังไม่ลงตัวหาก “อุ๊งอิ๊ง” น.ส.แพทองธาร นั่ง นายกฯ แล้วให้ “บิ๊กป้อม” เป็นรองนายกฯ แต่ถ้าเป็น “ส.ตัวใหญ่” นั่งนายกฯ แล้วได้ “บิ๊กป้อม” เป็นรองนายกฯ ก็จะถือว่า ลงตัว และ พล.อ.ประวิตร น่าจะยอมรับได้
ทั้งนี้ ไม่ว่าในความเป็นจริงจะเกิดขึ้นได้หรือไม่? แต่ในแง่มุมวิเคราะห์ ก็นับว่าน่าคิดอยู่เหมือนกัน