“จตุพร” ขยี้อีก “ทักษิณ” นิสัยเสียตรงปาก ไม่รักษาคำสัญญา แนะตั้งสติทบทวนช้าๆ ไปรับปากใครไว้แล้วไม่ทำตาม ชี้ ปากเสียเป็นจุดเริ่มต้นความเสียหายทั้งหมด แซะปมหมกมุ่นคิดใหญ่ โชว์เหนือเอาเปรียบ หวังกวาดเรียบชนะทั้งกระดานการเมืองจนแพ้เรียบ ฉิบหายทั้งถูกยุบพรรค ยึดอำนาจ แต่ไม่เข็ดคิดกลับบ้านอีก ติงระวังเอฟเฟกต์รุมขยี้ เผยดีลลับก่อนดัน พ.ร.บ.สุดซอย
เมื่อวันที่ 3 ก.พ. 2566 นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน เฟซบุ๊กไลฟ์ประเทศไทยต้องมาก่อน ตอน ยังไม่เข็ด? โดยระบุว่า ความสูญเสียย่อยยับทางการเมืองของทักษิณ ชินวัตร และพรรคเพื่อไทย ล้วนมาจากต้นเหตุคิดใหญ่ โชว์เหนือ ปากกับใจไม่ยึดมั่นสัญญา โดยมุ่งแต่จะเอาชนะ จึงเกิดเอฟเฟกต์ทำซ้ำถาโถมขยี้จนเสียหายย่อยยับ แต่ไม่เข็ด ยังคิดใหญ่กลับบ้านไม่ใช้กฎหมาย เตือนระวังย่ำรอยทางความฉิบหายเดิมๆ
นายจตุพร กล่าวว่า ทุกคนอยู่ด้วยสัจจะกันทั้งนั้น เมื่อเสียสัจจะมากขึ้นๆ และวันหนึ่งตนทนไม่ได้ แน่นอนคนจำนวนหนึ่งต้องโกรธ แต่ตนไม่ได้มีปัญหากับคนเหล่านั้น เพราะเราต้องพยายามสละทั้งความรักและความชังให้ได้ ซึ่งเป็นเรื่องที่ยากของมนุษย์ แต่ถ้าไม่เลือกหนทางนี้เราจะไม่กล้าทำอะไรเลย ดังนั้น เมื่อตัดสินใจทำอะไรแล้วต้องยอมรับผล ไม่มีปัญหาอะไร แต่ตนขอสงวนสิทธิ์ตอบโต้ทุกกรณีเช่นกัน
“การเล่นสองหน้าที่เรียกว่า หน้าไหว้หลังหลอกกับผมทำได้ ถ้าผมยอมให้ถูกทรยศหักหลัง ถูกกระทำก็ไม่เป็นไร แต่คนอีกจำนวนหนึ่งท่านทำได้ไม่นานหรอก ที่ผ่านมา ท่านทรยศมาตลอดเส้นทาง เมื่อผมไม่ยอมให้ทรยศจึงกลายเป็นคนชั่ว ก็ว่ากันไป” นายจตุพร กล่าวถึงทักษิณทรยศหักหลัง และว่า สิ่งที่ตนพูดมาไม่ใช่เรื่องส่วนตัว แต่ทักษิณพยายามพูดเรื่องส่วนตัวตน แต่ตนจะไม่พูดเรื่องส่วนตัวท่านถ้าไม่จำเป็น และตนจะพยายามหลีกเลี่ยง
อีกทั้งกล่าวถึงทักษิณประกาศกลับบ้านว่า แม้มีบางฝ่ายวิเคราะห์ว่า เพื่อเป็นประโยชน์ต่อเสียงแลนด์สไลด์ ทักษิณต้องกลับบ้านก่อนเลือกตั้ง แล้วเดินเข้าคุก แต่ตนย้ำถึงดีลที่ไม่ควรดีลที่ผ่านมาหลายครั้งแสดงว่า ยังไม่เข็ด เนื่องจากการเล่นใหญ่เพื่อเอาเปรียบคนอื่น พรรคอื่น ถ้าไม่ประสบความสำเร็จ ก็ต้องแลกกับการสูญเสียย่อยยับเช่นกัน
นายจตุพร ยกตัวอย่างการเล่นใหญ่เอาเปรียบพรรคอื่นว่า กรณีเลือกตั้งทั่วไปปี 2562 การเสนอแคนดิเดตนายกฯ ของพรรคไทยรักษาชาติ ถือเป็นการเอาเปรียบเพื่อนทั้งกระดาน เพราะไม่มีพรรคใดสู้ได้ และไม่ต้องการแข่งขันด้วย ดังนั้น เมื่อเล่นใหญ่ทั้งกระดานเลือกตั้งแล้ว ถ้าเสียจึงเสียทั้งกระดานเหมือนกัน โดยความสูญเสียนั้น ได้นำไปสู่การแพ้ทางการเมือง ตกเป็นฝ่ายค้าน 4 ปี หากไม่เล่นใหญ่เอาเปรียบแล้ว เพื่อไทยคงได้เป็นรัฐบาล
สิ่งสำคัญเน้นว่า เมื่อไทยรักชาติถูกยุบแล้ว บางเรื่องทักษิณต้องหยุดกระทำได้แล้ว แต่ไม่เป็นเช่นนั้น โดยก่อนเลือกตั้งปี 2562 สองวัน มีการจัดงานแต่งงานที่ฮ่องกง จนเกิดภาพซึ่งเรียกว่า ปรากฏการณ์ฮ่องกงเอฟเฟคที่สั่นกระเทือนมาก
นายจตุพร ย้ำว่า สัญญาณเตือนกับการยุบไทยรักษาชาติต้องตระหนักแล้วว่าที่คิดเล่นใหญ่จะกวาดทั้งกระดานนั้น อะไรทำได้ อะไรทำไม่ได้ ต้องไม่ทำซ้ำแต่จัดงานแต่งงานที่ฮ่องกงกลับไปทำซ้ำ และหนักกว่าเดิม แล้วต้องเสียอะไรมากมายในชั่วง 4 ปีที่ผ่านมา เมื่อถ้าไม่ทำซ้ำเชื่อว่า คะแนนเสียงที่ได้รับจะกลายเป็นคนละเรื่อง
“มาครั้งนี้กำลังจะเอาอีก ทำซ้ำอีก และยังไม่เข็ด ขอให้ทบทวนช้าๆ ว่า ไม่มีใครไปทำอะไรเลย เพราะทั้งหมดผลของความหายนะทั้งปวงตั้งแต่ต้นจนจบเริ่มต้นมาจากการทำตัวเอง สำคัญคือหนึ่งปากกับการไม่รักษาคำพูดเป็นจุดสตาร์ทเริ่มต้น ลองทบทวนช้าๆ ว่า ไปรับปากกับใคร แล้วไม่ทำตาม แป๊บเดี่ยว (จากรับปากไว้) ภายในไม่กี่นาทีก็พลิก นั่นเป็นจุดเริ่มต้นเลย”
นายจตุพร กล่าวว่า ถ้าคิดใหญ่ตามที่วิเคราะห์กันนั้น ตนยังมีความทรงจำจาก พ.ร.บ.สุดซอย ที่ว่ากันว่า ในห้องประชุมหารือต้องสูญเสียเครื่องบินหลายลำ พร้อมกับหักกับคนอีกหลายคนและตนด้วย ทั้งหมดล้วนมาจากคิดใหญ่เอาเปรียบคนอื่น แล้วสูญเสียใหญ่ตามมา โดยถูกประชาชนอีกฝ่ายชุมนุมต่อต้าน ทหารยึดอำนาจ ประชาชนหมดโอกาสได้รับนิรโทษกรรมในคดีชุมนุมทางการเมือง แล้วยังไม่เข็ดอีก
“ถ้าเดินเกมต้องการให้เกิดเสียงแลนด์สไลด์ ผมถึงว่าเป็นการเล่นใหญ่เลย เมื่อปลุกไม่ขึ้น จึงต้องแลกด้วยผู้สมัครกาฬสินธุ์ หรือในพื้นที่อื่นๆ ที่มีปัญหากระทบกับคนเสื้อแดง ซึ่งผมไม่เคยยุ่งเกี่ยวให้แกนนำเสื้อแดงเลือกเพื่อไทยเลย”
พร้อมระบุว่า ดังนั้น เกมนี้ถ้าต้องการจะเล่นใหญ่ให้ชนะขาด ถ้าไม่สำเร็จต้องรับความฉิบหายเช่นกัน วันนี้ทักษิณกลับบ้านได้ไปปลุกกระแสฝ่ายอนุรักษนิยม ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ประโยชน์ทางการเมืองด้วย และสิ่งสำคัญทักษิณ ทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ ได้แรงหนุนไปต่อ ดังนั้น จึงเป็นสัญญาณที่ดีของ พล.อ.ประยุทธ์
“เมื่อมีการวิเคราะห์ว่า ทักษิณจะมาก่อนเลือกตั้ง เพื่อหวังผลคะแนนเสียงแลนด์สไลด์ แล้วอย่างนี้จะได้เลือกตั้งหรือ? ความวุ่นวายจะเกิดขึ้น เช่นเดียวกับการเสนอแคนดิเดตนายกฯ ไทยรักษาชาติ ที่ทำให้สูญเสียใหญ่เช่นกัน ดังนั้น แนวคิดนี้ต้องคิดให้ดี การต้องการผลลัพธ์ที่เอาเปรียบคนอื่นมากเท่าใด ตัวเองก็ฉิบหายมากเท่านั้น”
นายจตุพร กล่าวถึง นายสุนัย จุลพงศธร ออกมาตอบโต้อีกเมื่อวานนี้ (2 ก.พ.) ว่า คนออกแบบวางแผนให้นายสุนัยตอบโต้ตนคงคิดว่าฉลาด แต่ตนเองเห็นว่า เป็นความโง่ที่สุด โดยนายสุนัยเริ่มต้นว่า ก่อนที่ตนจะออกมาพูดถึงทักษิณ ได้ไปพบคนหนึ่งที่โรงแรมดิ เอมเมอรัลด์ ถนนรัชดา ซึ่งตนไม่เคยไปโรงแรมนี้ประมาณ 3 ปีแล้ว ดังนั้น ทักษิณลูกพี่นายสุนัย มีเครือข่ายมากมายตรวจสอบวงจรปิดได้ เพราะตามอ้างนั้น ก็เพิ่งแค่ไม่กี่วันมาเอง ส่วนตนยืนยันไม่เคยไป ดังนั้น นายสุนัยกล่าวหาด้วยความเท็จแน่นอน
นอกจากนี้ นายสุนัย ยังกล่าวหาว่า ตนไปพบ น.ส.ชญาดา ตระกูลรุ่งโรจน์ อดีตพนักงานธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ หรือ “นุช ธ.ก.ส.” ซึ่งตนไม่เคยเจอผู้หญิงคนนี้ ไม่เคยคุยด้วย และไม่มีวงใดคุยเรื่องคดีจำนำข้าวเลย เมื่อนายสุนัย สร้างนิยายขึ้นมาอ้าง ตนจึงเถียงไม่ถูกเช่นกัน
อีกทั้ง นายสุนัย ยกกรณีมีคนสำคัญไปเยี่ยมเมื่อช่วงติดคุก นายจตุพร กล่าวว่า สิ่งสำคัญอยากให้ดูผลการติดคุกของตนที่ติดเต็ม 1 ปี 15 วัน แล้วยังมาติดซ้ำในคดีเดิมอีก 97 วัน ยิ่งกว่านั้นคนในเพื่อไทยก็มีคนสำคัญไปพบเช่นกัน ถึงที่สุดแล้ว ไม่มีข้อเท็จจริงตามการกล่าวหานั้นเลย ดังนั้น ผลการติดคุกเป็นสิ่งอธิบายถึงข้อกล่าวหาแลกประโยชน์ได้ชัดเจน เพราะตนติดเต็มจำนวนวัน ไม่มีลดหย่อน หรือได้รับอภัยโทษด้วย
ส่วนนายสุนัยกล่าวหาว่า รับงานมาสลายเสื้อแดงนั้น นายจตุพร กล่าวว่า หลังจากพ้นโทษมาแล้วตนไม่เคยเดินทางไปพบเสื้อแดงเลย แต่มีกรณีเดียวซึ่งเป็นความผูกพันทางใจกัน เพราะมีลุงจากหนองบัวลำภูขณะที่เขาป่วยหนักได้มาเยี่ยมตนถึงคุก โดยเขาบอกจะไม่ตายจนกว่าตนจะออกจากคุก เมื่อตนออกจากคุกเขาก็ตาย ตนจึงไปงานศพลุง และกล่าวสดุดี นั่นเป็นงานเดียวเท่านั้นคือ ไปร่วมงานศพ ที่เหลือทั้งก่อนและหลังจากงานนี้ ตนไม่เคยไปหาคนเสื้อแดงเลย หาเสียงนายก อบจ.เชียงใหม่ ก็ไม่ไปหาคนเสื้อแดงด้วย การกล่าวหาเรื่องนี้ นายสุนัยจึงสร้างเรื่องราวเป็นเท็จอีก
รวมทั้งกล่าวว่า ถ้าพูดกันให้หมดเดี๋ยวพวกที่อยู่เพื่อไทยก็เดือดร้อนกันอีก ว่าใครไปพบใคร และก่อนมี พ.ร.บ.สุดซอยใครไปอยู่กับใคร ดีลกับใคร และก่อนยึดอำนาจใครไปอยู่กับใคร ไม่มีความลับในกระดานการเมืองแบบนี้เลย ตนเคยบอกว่า คุกนั้นเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินเสด็จไปเป็นปกติ สามัญชนและหน่วยงาน องค์กรอิสระมากมายก็ไป ศาลก็มา ผู้พิพากษายังไป ซึ่งทุกส่วนที่ไปต้องมาเจอตนทั้งนั้น จนกลายเป็นแหล่งเช็ดอินการท่องเที่ยวคนคุก และในคุกเราไม่มีสิทธิ์เลือกคนมาพบได้
“ตามที่นายสุนัยเข้าใจแล้ว พรรคพวกคนอย่างตนที่อยู่เพื่อไทยไม่ต่างกัน ก็มีคนไปเยี่ยมเหมือนกัน ส่วนตนยิ่งไล่ พล.อ.ประยุทธ์ แล้วมาถูกกล่าวหารับงาน พล.อ.ประยุทธ์ แล้วผมยังติดคุก เพราะ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวหารับงานสลายเสื้อแดงของนายสุนัยจึงไม่เข้าท่า และโง่บัดซบ”
นายจตุพร กล่าวว่า สิ่งที่ตนพูดถ้าเป็นความเท็จแล้ว ต้องถูกเรียงหน้ามาถล่มย่อยยับไปแล้ว ขณะนี้จะเจอวิชามารเยอะแยะไปหมด ใครดีลกับใครเห็นการหมด เพียงแต่จะพูดหรือไม่เท่านั้น กรณีก่อนออกนอกประเทศดีลกับใคร แค่คนไม่มีราคาอย่างตนพูดไม่ถึง 3 นาที ทหารมาถึงที่นำตัวไปปรับทัศนคติ แล้วคนมีราคาอย่างยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ทหารไม่ประกบตัวหรือ?
“ที่ผมตั้งคำถามก่อนยุบสภา (9 ธ.ค. 2556) ไง ในห้องหารือ เวลาตีหนึ่งโทร.หาทักษิณ บอกว่า ปชป.จะส่งลงเลือกตั้งหรือไม่ ซึ่งทักษิณยืนยันว่า ปชป.อย่างไรก็ลงเลือกตั้ง ถามว่า สุเทพ (เทือกสุบรรณ) จะหยุด (การชุมนุม) หรือไม่ และทักษิณ ตอบว่า อย่างไรสุเทพก็ต้องหยุด ถามมั่นใจทั้งสองข้อก็ยุบสภาไปเถอะ จึงยุบสภา แต่ ปชป.ก็ไม่ลงเลือกตั้ง สุเทพก็ไม่หยุด คำตอบจึงผิดทุกข้อ”