xs
xsm
sm
md
lg

ศึกเลือกตั้งกำลังมา แต่ “โทนี่” แค้นจุกอก !?

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


 ทักษิณ ชินวัตร
เมืองไทย 360 องศา

ไม่ว่าใครจะมอง นายจตุพร พรหมพันธุ์ แบบไหนก็ตามที แต่การที่เขาออกมาให้ข้อมูลอีกด้านหนึ่ง โดยพุ่งเป้าไปที่ นายทักษิณ ชินวัตร หรือ “โทนี่ วู้ดซั่ม” และพรรคเพื่อไทย กำลังสร้างความสั่นสะเทือนไม่น้อย หรืออย่างน้อยก็กำลังทำให้ นายทักษิณ ต้องเกิดอาการ “แค้นจุกอก” กันเลยทีเดียว เพราะคำพูดเปิดโปงล่าสุดของนายจตุพร ที่เกี่ยวกับ “คำสั่งลับ” ในการชุมนุมของคนเสื้อแดง เมื่อปี 53 กำลังย้อนกลับมาสร้างปัญหาอย่างจังหรือเปล่า

แน่นอนว่า คำพูดที่พรั่งพรูออกมาจากปากนายจตุพร พรหมพันธุ์ อย่างต่อเนื่อง นานนับสัปดาห์ในช่วงเวลานี้ แม้ว่าส่วนสำคัญมองออกว่า ระหว่างเขา กับนายทักษิณ นั้น คงแตกหักกันมานานแล้ว เห็นได้ชัดตั้งแต่การช่วยผู้สมัครนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงใหม่ ฝ่ายตรงข้ามกับผู้สมัครที่พรรคเพื่อไทยให้การสนับสนุน เมื่อปลายปี 2564 ดังที่ได้รับรู้กันมาพักหนึ่งแล้ว
แต่ล่าสุดที่ นายจตุพร ออกมาแบบ “ชุดใหญ่” แบบต่อเนื่อง เริ่มจากที่เขาอ้างว่าถูก นายทักษิณ พูดจาในทางลบกับคนที่ไปพบที่ฮ่องกงเมื่อช่วงต้นปีนี้เอง จน นายจตุพร ต้องตอบโต้กลับไปอย่างรุนแรง แต่หากสังเกตในตอนแรก นายทักษิณ ก็ไม่ได้ตอบโต้ หรือตอบโต้ไม่ได้ ก็ไม่อาจทราบได้ เพราะอย่างที่ทราบดีว่าเขาเป็นคน “พูดไม่เป็น (ไม่เก่ง)” จึงไม่กล้าพูด หรือไม่กล้าเถียง เพราะยิ่งพูดอาจจะยิ่งเข้าตัว จึงทำได้เพียงแค่ใช้วิธีอ้อมแอ้ม ด้อยค่าเทียบเคียง “สุนัขเห่า” ก็ยิ่งโดนตอกกลับอย่างเจ็บแสบ ทำนองว่า “ทักษิณเป็นหมายังไม่ได้ เพราะไม่ซื่อสัตย์” และอีกสารพัดคำพูด
เอาเป็นว่า หลังจากนั้น พรรคเพื่อไทยก็มีท่าทีที่จะให้เรื่องราวหยุดลงเพียงเท่านั้น มีการแถลงชัดว่าจะไม่ตอบโต้ นายจตุพร พรหมพันธุ์ ซึ่งหลายคนมองว่าเป็นเรื่องแปลกมาก เพราะที่ผ่านมา ไม่ว่าใครก็ตามเพียงแค่ตอม หรือเฉียดเข้าใกล้ นายทักษิณ ชินวัตร และคนในครอบครัวของเขาเป็นต้องมี ส.ส. คณะโฆษกพรรค จะดาหน้าแข่งกันออกมาตอบโต้ทันควัน ไม่ต่างจาก “เดือดร้อนแทนนาย” ไม่มีผิด แต่คราวนี้ นายทักษิณ และ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร โดนเข้าไปเต็มๆ กลับนิ่งเงียบ แม้แต่ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ที่เคยเป็นเลขาฯ นปช. ก็ยังวิงวอนให้หยุด และไม่ (กล้า) ตอบโต้

อย่างไรก็ดี เรื่องราวทำท่าจะสงบลงตามกาลเวลา แต่เมื่อ นายอดิศร เพียงเกษ อดีตแกนนำคนเสื้อแดง ไปกล่าวปราศรัยพาดพิง นายจตุพร พรหมพันธุ์ ในเรื่องที่ว่า “ลงก่อนที่สถานีบางซื่อ ไม่ลงที่หัวลำโพง” อะไรประมาณนั้น ก็เหมือนกับการแหย่รังแตน ทำให้ถูกตอบโต้กลับมาชุดใหญ่ แต่กลายเป็นว่า นายทักษิณ ชินวัตร โดนเข้าไปเต็มๆ และคราวนี้เหมือนกับการประทับตราความเชื่อที่หลายคนมั่นใจว่าต้องมีคนสั่งการให้ “เผาบ้านเผาเมือง” รวมถึงเรื่อง “คนชุดดำ” เพียงแต่ว่าไม่มีใครยอมรับ แต่คราวนี้มาจากคำพูดของนายจตุพร ที่ถือว่าอยู่ในเหตุการณ์ชุมนุม ที่กล่าวถึงคำพูดจนเห็นภาพได้ชัดเจนมาก
“เพราะเจ้าของจ่ายค่าเวทีตัวจริงนั้น เขาไม่ต้องการให้ยุติเวที แต่ทุกคนถอดใจหมดแล้ว ผมอธิบายให้ฟังว่า ประชาชนอย่างไรก็ไม่กลับ เมื่อเขาไม่กลับแล้ว คิดจะลงเลือกตั้งคุณจะมีหน้าไปพบคนอีกหรือ ถ้าวันนั้นไม่มีการคิดเอาอีกชุดหนึ่งซ้อนยึดเวทีแล้ว ก็ยังพอถูไถอธิบายกับประชาชนได้ แต่ทุกคนก็ให้ยุติการชุมนุม แล้วเราก็กล่าวคำลากัน ผมพูดทิ้งท้ายว่า พฤษภา 2535 ผมอยู่ในบรรยากาศนำการต่อสู้คนเดียวที่รามคำแหงมาแล้ว ผมจึงขออยู่ส่งประชาชน และก็แยกย้ายกันไป” นายจตุพร เล่าถึงเหตุการณ์การประชุมหารือยุติชุมนุมหรือไม่ ซึ่งในช่วงนั้น พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือ  เสธ.แดง ยังไม่ถูกสไนเปอร์ยิงเสียชีวิต”
นายจตุพร ระบุว่า จะมีการวางแผนซ้อนยึดเวทีอยู่แล้ว และคนที่ทำได้มีอยู่คนเดียวเท่านั้น ซึ่งพอประชุมแกนนำเสร็จ ตนก็ได้รับโทรศัพท์จาก ทักษิณ ชินวัตร โทร.มาถาม ซึ่งเรื่องนี้ไม่ควรพูดเลย แต่เมื่อ นายอดิศร ยกเรื่องนี้มา โดยทักษิณ บอกว่า “หยุดเวทีได้อย่างไร ผม (ทักษิณ) ได้อะไร”

พร้อมทั้งย้ำว่า ตนรู้เรื่องนี้มาแต่ต้นว่า จะมีการซ้อนยึดเวทีชุมนุมขึ้น แล้วจะเกิดความรุนแรงไปอีกมุมหนึ่ง และจะคุมประชาชนไม่อยู่ จึงจำต้องหักทุกคน ตนบอกทักษิณว่าถ้าอย่างนั้น เพื่อให้เวทีเดินต่อ ส่วนแกนนำคงไม่อยู่ครบแล้ว เราจึงตกลงกันว่า คนที่เคยเป็นลูกพรรคของทักษิณ ให้ไปเคลียร์กัน ส่วนบรรดาสายนักเคลื่อนไหว ตนจะเคลียร์เอง ทั้งๆ ที่ช่วงนั้นแกนนำเหลือตนอยู่คนเดียว
“ทักษิณก็ไปเคลียร์กับนักการเมือง ผมก็เคลียร์กับนักเคลื่อนไหว เวทีจึงเดินมาถึง 18 พ.ค. วันที่วุฒิสภามาเจรจา และมาเกิดเหตุการณ์ 19 พ.ค. ซึ่งเป็นความเจ็บปวดขมขื่น วันนั้นถ้าเราไม่ยืนแข็งแรงแล้ว ประชาชนหน้าเวทีก็ไม่กลับ เจ้าของเวทีก็ไม่เลิก และอีกชุดหนึ่งจะเข้ามาซ้อนยึดเวที ถ้าผมไม่อยู่คานกันเอาไว้ ในทุกนาทีของสถานการณ์โอกาสตายมี 100% อยู่แล้ว...และหากได้ยินเรื่องนี้มาก่อนก็ไม่ได้ออกจากปากผม ซึ่งผมเล่าเรื่องนี้ให้ฟัง ทั้งๆ ที่ไม่อยากเล่าเลย”
นั่นเป็นคำพูดบางตอนของ นายจตุพร พรหมพันธุ์ ที่ชี้ให้เห็นว่า “มีความพยายามสร้างสถานการณ์” ให้เกิดความวุ่นวาย ไม่ต้องการให้ “ยุติม็อบ” คนเสื้อแดง ในแบบที่สลายการชุมนุมโดยเป้าหมายยังไม่สำเร็จ แต่ต้องทำให้เกิดความรุนแรงโดยมีความพยายามสร้างความรุนแรง มีการอ้างถึงการเข้ามาจัดการทั้งแกนนำและผู้ชุมนุมที่ยังเหลืออยู่ เพื่อสร้างสถานการณ์
อย่างไรก็ดี จากคำพูดที่อ้างว่า “หยุดเวทีได้อย่างไร ผม (ทักษิณ) ได้อะไร” มันทำให้น่าคิด และเชื่อว่า ด้วยคำพูดแบบนี้ของนายจตุพร ย่อมทำให้หลายคนโดยเฉพาะทั้งคนเสื้อแดง และมวลชนที่สนับสนุน นายทักษิณ ชินวัตร และพรรคเพื่อไทย ต้องคิดหนักเหมือนกัน และที่สำคัญ หากยังไม่เชื่อในทันที แต่มันก็สามารถคิดทบทวนวันคืนเก่าๆ ในช่วงเหตุการณ์ชุมนุมในอดีตโดยเฉพาะการชุมนุมคนเสื้อแดง ตั้งแต่ปี 53 เป็นต้นมา ว่ามัน “เข้าเค้า” บ้างหรือไม่
ขณะเดียวกัน อีกมุมหนึ่งในมุมของ นายทักษิณ ชินวัตร และพรรคเพื่อไทย เชื่อว่า นาทีนี้คงรู้สึก “แค้นจุกอก” ในแบบที่ว่าไม่รู้จะหาทางออกอย่างไร ที่ต้องมาเจอกับการเปิดโปง ของ “ลูกน้องเก่า” อย่าง นายจตุพร พรหมพันธุ์ ในช่วงเวลาแบบนี้ ช่วงที่นกหวีดการเลือกตั้งกำลังจะเริ่มเต็มรูปแบบ และเป้าหมายของเขา ก็คือ “แลนด์สไลด์” ซึ่งหากจะได้ผลสำเร็จ มันก็ต้องพึ่งพา “กระแส” และความเป็นเอกภาพของมวลชนที่เคยสนับสนุนเขา

อีกทั้งภาพที่ออกมานอกจากส่งผลกระทบและเกิดความลังเลในหมู่คนเสื้อแดงที่จะว่าไปแล้วแตกฉานซ่านเซ็นไปไกลสุดกู่กันแล้ว ยิ่งมาเจอกับการ “กัดไม่ปล่อย” ของนายจตุพร แบบนี้ มันก็เป็นทวีคูณ เพราะเหมือนกับการยืนยันข้อสงสัยของหลายฝ่ายมานานแล้ว
และที่น่าจับตา ก็คือ เมื่อความเชื่อที่ว่ามวลชนของพรรคเพื่อไทย มีส่วน “ทับซ้อน” กับพรรคก้าวไกล มันก็ยิ่งน่าสนใจว่า คนพวกนี้จะไหลเทไปที่อีกพรรคหนึ่งมากน้อยแค่ไหน ในเมื่อ นายทักษิณ ชินวัตร ถูกเปิดโปงซ้ำๆ ว่า “ไม่ซื่อสัตย์” เป็นแค่ “นักธุรกิจการเมือง” ไม่มีอุดมการณ์ งานนี้มีสิทธิพลิกได้เหมือนกัน !!



กำลังโหลดความคิดเห็น