“อัษฎางค์” อ่านเกม ปิดตำนานพี่น้อง 3 ป. ด้วยน้อง ป. แนะ รทสช. ดัน “ประยุทธ์” หน.พรรค ขาย “แฟนคลับ” ถ้าอยากลุ้นสู้ “เพื่อไทย” “ดร.เสรี” ทิ้งปริศนาถึงใครสาเหตุที่น้องตีจาก เพราะพี่รัก “ลูกน้องสอพลอ” มากกว่า
น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (18 ม.ค. 66) เพจเฟซบุ๊ก เอ็ดดี้ อัษฎางค์ ยมนาค ของ อัษฎางค์ ยมนาค นักวิชาการอิสระ ในฐานะ “กองเชียร์ลุง” โพสต์ภาพ พร้อมข้อความระบุว่า
“ปิดตำนานพี่น้องสาม ป. ด้วยน้อง ป.
ผมเคยเขียนอยู่เรื่อยๆ ว่า คนหรืออะไรที่ยิ่งใหญ่แบบสุดๆ จนไม่มีใครจะล้มลงได้ มักจะล้มลงด้วยตนเองเสมอ
ไทยรักไทยก็เคยยิ่งใหญ่จนทักษิณประกาศจะอยู่เป็นรัฐบาลไป 12 ปี แต่สุดท้าย แทนที่จะค่อยๆ กิน ค่อยๆ แจก ค่อยๆ แบ่ง แต่ทักษิณกระหายจัด กินมูมมาม เลอะเทอะ จนตัวเองก็ล่ม เพราะตัวของตัวเอง เพราะหลงในตัวเอง
พลังประชารัฐก็เป็นไปตามกฎนี้ พลัง 3 ป. นั้นมั่งคงด้วยการสนับสนุนจากหลายฝ่าย ซึ่งรวมถึงประชาชน จนไม่มีหนทางที่ใครจะล้มได้ สุดท้ายล่มลงด้วยตัวของตัวเอง เพราะหลงในตัวเอง
พี่ป้อมเทน้องตู่ เพื่อจะเอาน้องแป้งกลับมา น้องแป้งกลิ่นหอมกว่าน้องประยุทธ์ไปได้ยังไง กองเชียร์ยังสงสัย
พี่ป้อมควงน้องแป้งประกาศเป็นนายกฯ คือ จุดขายที่พลังประชารัฐ มั่นใจว่า จะกลับมายิ่งใหญ่อย่างนั้นหรือ เอาอะไรคิด ถ้าไม่ใช่ความหลงตัวเอง
นี่คือ สัญญาณที่ส่งไปถึงเพื่อไทยและก้าวไกล ว่า พลังประชารัฐแตกแล้ว และจะแพ้ตั้งแต่ก่อนเลือกตั้ง
รัฐบาลประยุทธ์ หรือรัฐบาลพลังประชารัฐ นั้น มีผลงานมากมาย และมากกว่าไทยรักไทยที่เล่าลือกันว่า มีผลงานที่ทำให้ประชาชนติดอกติดใจมาถึงทุกวันนี้หลายเท่า
แต่ผลงานของรัฐบาลประยุทธ์ หรือรัฐบาลพลังประชารัฐ กลับไม่ถูกยกให้เป็นที่ 1 เพราะสังคมไทยยุคปัจจุบันถูกข่าวเท็จข้อมูลปลอมทำให้ถูกเป็นผิด และผิดเป็นถูก
เพื่อไทยที่แปลงร่างมาจากไทยรักไทย ที่เป็นต้นเหตุของความแตกแยก และความวุ่นวายมาหลายสิบปี กลับยังได้รับความนิยมเป็นที่ 1
เพราะเพื่อไทยดำเนินกิจกรรมทางการเมืองเหมือนเป็นกิจการส่วนตัว มีเจ้าของกิจการที่กำหนดทิศทางของพรรคชัดเจน มั่นคง ทำให้ทั้งพรรคและกองเชียร์ยังคงเหนียวแน่น
ผิดกับพรรคประชารัฐที่ไม่ใช่กิจการส่วนตัว แถมมีหลายก๊กหลายเหล่า เลยแย่งกันเป็นใหญ่ สุดท้ายก็แตกกันเอง
หรือไม่ก็ถูกฝ่ายตรงข้าม เล่นของ ยัดไส้ ยัดหนอน วางระเบิดภายในพรรคให้แตก ซึ่งสำเร็จเรียบร้อยแล้ว
กลยุทธ์ทำให้แตกแล้วตี ยังใช้ได้ทุกยุคสมัย
ในขณะที่ลุงตู่ตัดสินใจเป็นนักการเมืองเต็มตัวกับพรรคเกิดใหม่ๆ ก็ไม่ได้หมายความว่า จะสามารถกวาดคะแนนเสียงท่วมท้น
ผลงานมากมายของรัฐบาลประยุทธ์ ไม่ได้หมายความว่า เป็นฝีมือของ ป.ประยุทธ์ คนเดียว
ถ้ายังจำกันได้ รัฐบาลไทยรักไทย ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างสูงในการเข้ามาบริหารราชการแผ่นดิน ก็ไม่ใช่ฝีมือของทักษิณคนเดียว
แต่เกิดผู้บริหารและนักปกครองขึ้นมาเฉิดฉายขึ้นมาพร้อมรัฐบาลไทยรักไทยหลายคน ทั้ง ปุระชัย สมคิด สุรเกียรติ์ หรือแม้แต่สุดารัตน์
แต่เมื่อไทยรักไทยล่ม บุคคลมีชื่อเหล่านั้น ซึ่งรวมถึงตัวทักษิณเอง ก็ไม่สามารถสร้างผลงานใดๆ เหมือนสมัยที่อยู่กับไทยรักไทยได้เลย
กล่าวคือ ไม่ว่าจะเป็นตัวทักษิณเอง ถ้าไม่มีทีมงานเดิมทีมนั้น ก็ไม่มีวันที่จะสร้างประวัติศาสตร์ได้
เช่นเดียวกับทีมรัฐบาลพลังประชารัฐ เมื่อแตกกันแล้ว ก็ไม่มีทางที่ใคร ไม่ว่าจะเป็น ป.ไหน ที่จะสามารถสร้างผลงานเป็นประวัติศาสตร์เหมือนที่ผ่านมาได้อีกแล้ว
เลือกตั้งคราวนี้ ถ้ายังเป็นแบบนี้ ผมฟันธงว่า ถึงแม้เพื่อไทยไม่แลนด์สไลด์ แต่เพื่อไทยจะชนะการเลือกตั้งได้ ส.ส.เข้ามามากสุด โดยได้อย่างน้อยที่สุดเกินร้อย
ในขณะที่ อันดับที่ 2 อาจจะเป็นภูมิใจไทย เพราะเป็นพรรคที่มีความมั่นคงสูงไม่น้อยกว่าเพื่อไทย และมากกว่าพลังประชารัฐ และ รวมไทยสร้างชาติ
พลังประชารัฐอาจจะกลายเป็นพรรคขนาดกลางที่ค่อนไปทางเล็กเสียด้วยซ้ำ
ส่วน รวมไทยสร้างชาติ ถ้าอยากเป็นที่ 2 (ย้ำว่า ถ้าคิดว่าตนเองจะเป็นที่ 1 ก็จงตื่นจากฝันกลางวันในเร็วที่สุด) ต้องเริ่มทำอะไรอีกหลายสิ่ง เช่น ควรให้ พลเอก ประยุทธ์ เป็นหัวหน้าพรรคหรือไม่ เพราะพรรคของท่านมีจุดขายที่โดดเด่นที่สุดอยู่ที่ตัว พลเอก ประยุทธ์ เอาให้มันชัดเจนไปเลยว่า ยกให้เสียงของ พลเอก ประยุทธ์ เป็นใหญ่ที่สุดในพรรคแบบเดี่ยวๆ โดดๆ ไปเลย
อย่าลืมว่า กองเชียร์ลุงตู่นั้น อุ่นหนาฝาคั่งสุดๆ และหนาแน่นกว่ากองเชียร์ทักษิณและธนาธร หรือแม้แต่อนุทินรวมกันด้วยซ้ำ
ย้ำว่า คะแนนนิยมของทั้งหมดนั้น รวมกันยังไม่เท่ากับลุงตู่คนเดียว ผมฟันธง
ถ้าท่านทำให้กองเชียร์มั่นใจ คะแนนเสียงที่จะได้รับจากประชาชนทั้งประเทศที่จะไปลงคะแนนเลือกตั้ง อย่างน้อยอาจจะรดคอเพื่อไทย หรือไม่ก็อาจจะแซงหน้าไปเลย ก็เป็นไปได้
ถ้านำความนิยมของลุงตู่ดีเลิศอยู่แล้วมาทำให้เกิดประโยชน์ หลังเลือกตั้ง ทั้งภูมิใจไทย พลังประชารัฐ กล้าพัฒนาชาติ และแน่นอนว่า พรรคไทยภักดี จะมาร่วมตั้งรัฐบาลแน่นอน
ลุงตู่ไม่ได้ดีไปเสียทุกอย่าง ไม่ได้ทำงานสำเร็จไปเสียทุกอย่าง ยังมีอีกหลายเรื่องที่อยากให้แก้ และทำให้สำเร็จ เช่นจัดการกับพวกจ้องล้มล้างการปกครองและจาบจ้วงสถาบันฯ การทวงคืนไทยคม ฯลฯ
แต่….อัษฎางค์ ยมนาค
เชียร์ลุง…ตู่
เป็นนายกฯ อีกสมัย เพราะเป็นความหวังเดียวที่มีในเวลานี้”
ขณะเดียวกัน ดร.เสรี วงษ์มณฑา นักวิชาการด้านการตลาดและการสื่อสาร โพสต์เฟซบุ๊กว่า
“น้องอยากไปต่อ เพื่อสานงานต่อ ไม่ได้อยากเป็นใหญ่ แต่ประเทศไทยจะต้องไปต่อ ยังมีงานที่ต้องสานต่อ เพื่อประเทศชาติและประชาชน
แล้วพี่อยากไปต่อ เพื่ออะไร ตอนนั้นก็บอกว่า น้องขับ พี่แค่นั่งมา แล้วใครบังคับให้นั่งมา จะลงตอนไหนก็ได้ ทำไมไม่ลง แล้วตอนนี้น้องไป ทำไมพี่จึงลุกขึ้นมาขับเอง
น้องจำเป็นต้องมีตำแหน่ง มีอำนาจ เพราะอยากทำงานเพื่อบ้านเมือง และพูดชัดเจนว่า “อำนาจต้องมาพร้อมกับความรับผิดชอบ” และทำงานเพื่อชาติเพื่อประชาชน
พี่อยากมีตำแหน่งเพื่ออะไร ก็ไม่อยากนั่งรถมาด้วย น้องไปขับรถคันอื่นแล้ว ทำไมไม่จอดรถไว้ในอู่ ออกมาขับเองทำไม ดูสังขารแล้ว ขับไหวเหรอคะ
น้องตีตนจากไปเพราะอะไร พี่น่าจะรู้อยู่แก่ใจ พี่รัก “ลูกน้อง” ที่สอพลอมากกว่าน้อง เวลาลูกน้องคิดทำลายน้อง พี่ทำอะไรที่ปกป้องน้องบ้าง พี่ถือหางข้างไหน
ตอนพี่นั่งรถมากับน้อง มีคนไม่พอใจ เพราะพี่ไม่ใช่คนโดยสารที่ดี มีคนเขาอยากให้น้องไล่พี่ลง แต่น้องเคารพพี่จึงไม่ไล่ ยอมให้พี่เป็นเหมือนกรวดในรองเท้ามาหลายปี พอกันทีนะพี่ ต่างคนต่างไปน่ะดีแล้ว”
แน่นอน, ประเด็นที่น่าสนใจ หนีไม่พ้น การแยกทางกันเดินทางการเมืองของ “พี่น้อง 2 ป.” จนบางคนถึงกับวิเคราะห์ว่า เป็นการ “ปิดตำนาน 3 ป.” ในพลังอำนาจ เลยทีเดียว
เนื่องจาก ป.พี่ ซึ่งร่ายยาวจดหมายเปิดใจ สะท้อนว่า ก่อนหน้านี้ ตัวเองเป็นคนทำทุกอย่างเพื่อสนับสนุน “น้อง ป.” ให้ได้เป็นนายกฯสมปรารถนา แต่การลาจาก แยกทางไปอยู่กับพรรคอื่น เป็นสิ่งที่ไม่สามารถบรรยายเป็นคำพูดได้ แม้จะกล่าวถึง “3 ป.” ว่า ยังรักกันตลอดไป ก็ตาม
ถ้ามองมุมนี้ อาจถือว่า เป็นการออกตัวเอาไว้ก่อนว่า การแยกทางครั้งนี้ เป็นการตัดสินใจแยกทางของ “น้อง ป.” เอง ไม่ได้มีปัญหามาจาก “พี่ ป.” จนกลายเป็นประเด็นตามมาว่า “พี่ ป.” เขียนเอง หรือใครเขียน กระทั่ง “พี่ ป.” มาเฉลยในภายหลังว่า พรรค พปชร.เป็นคนทำขึ้น เพื่ออธิบายกับประชาชน
ส่วน “น้อง ป.” ก็ได้แต่ยืนยันว่า ยังรักกันไม่เปลี่ยนแปลง ไม่มีอะไรขัดแย้ง
จริงอยู่, ไม่มีใครรู้ว่า แท้จริงแล้ว เกิดอะไรขึ้น เป็นอย่างที่สื่อหลายสำนักวิเคราะห์กันหรือไม่ ว่า ต่างคนต่างต้องการ “สร้างดาวคนละดวง” เพราะมีที่ปรึกษาคนละทีม มีมุ้งการเมืองสนับสนุนคนละมุ้ง และ ทีมที่ปรึกษา “พี่ ป.” คงอ่านเกมขาด ถ้าหากยังกระเตง “น้อง ป.” อยู่ต่อไป โอกาสที่จะอยู่ในอำนาจแทบมองไม่เห็นหรือไม่
เพราะอย่าลืม มีบางพรรคที่เชื่อกันว่าจะชนะเลือกตั้งแบบแลนด์สไลด์ ตั้งเงื่อนไขเอาไว้ก่อนแล้วว่า จะจับมือกับทุกพรรคที่ไม่มี “ประยุทธ์”
ส่วนกองเชียร์ “น้อง ป.” คิดอย่างไร ดูเหมือนทั้งสองโพสต์ได้สะท้อนให้เห็นเรียบร้อย