เมืองไทย 360 องศา
ทำไปทำมาการเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึงกลายเป็นสนามเลือกตั้งโคราช หรือนครราชสีมา จะกลายเป็นสนามที่ดุเดือดมากที่สุดจังหวัดหนึ่ง เพราะนอกเหนือจากจำนวน ส.ส.ที่เพิ่มขึ้นจาก 14 เขต เป็น 16 เขต หรือมีจำนวน ส.ส.รวม 16 คน เป็นรองแค่กรุงเทพมหานคร ที่มีจำนวน 33 คน
จากผลการเลือกตั้งที่ผ่านมา มี ส.ส.กระจายกันไป นั่นคือ พรรคพลังประชารัฐ ได้ไป 6 ที่นั่ง พรรคเพื่อไทย 4 ที่นั่ง พรรคภูมิใจไทย 3 ที่นั่ง และพรรคชาติพัฒนา 1 ที่นั่ง
ขณะเดียวกัน เมื่อพิจารณาแยกย่อยลงไปก็จะเห็นว่า จากผลการเลือกตั้งครั้งเมื่อปี 2562 แม้ว่าพรรคพลังประชารัฐ จะชนะได้ส.ส.มากที่สุด แต่ในสถานการณ์และบรรยากาศการเมืองที่เปลี่ยนแปลงไป ประกอบกับแต่ละพรรคได้ปรับกลยุทธ์กันใหม่เพื่อรับศึกเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึง โดยพรรคพลังประชารัฐ แม้ว่าครอบครัว “รัตนเศรษฐ” ของ นายวิรัช รัตนเศรษฐ จะมีจำนวน ส.ส.รวมทั้งบัญชีรายชื่อ รวม 4 คน แต่วันนี้ด้วยสภาพภายในพรรคที่เปลี่ยนไป แต่ถึงอย่างไรพวกเขาก็พยายามแผ่บารมีในพรรคออกไปเรื่อย ทำให้ นายวิรัช มีบทบาทสูงมากในเวลานี้
ขณะที่ พรรคเพื่อไทย ที่คาดว่า จะต้องกลับมาทวงคืน ส.ส.กลับมาให้มากที่สุด หรือแม้กระทั่งพรรคชาติพัฒนา ที่วันนี้เปลี่ยนมาเป็น “ชาติพัฒนากล้า” ที่โคราชเปรียบเสมือนเมืองหลวงทางการเมืองของพวกเขามาตั้งแต่ “ยุคน้าชาติ” ที่มี นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ เป็นแกนหลัก ก็ปรับกระบวนกันใหม่หวังกลับมาทวงคืนเหมือนกัน หลังจากเกือบสูญพันธุ์ได้มาแค่ที่นั่งเดียวเมื่อคราวที่แล้ว
แต่ที่ต้องโฟกัสเป็นพิเศษ ก็คือ พรรคภูมิใจไทย ของ “เสี่ยหนู” นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรค ที่ไม่กี่วันก่อนมีการเคลื่อนไหวของ “ขุนพล” ในพื้นที่อย่าง นายวีรศักดิ์ หวังศุภกิจโกศล รมช.คมนาคม และกรรมการบริหารพรรคภูมิใจไทย ประกาศจะยุติบทบาททางการเมือง อ้างว่า มีปัญหาสุขภาพ แต่ยังคงให้การสนับสนุนพรรคภูมิใจไทยอยู่ต่อไป
แต่เมื่อสอบถามเรื่องนี้กับ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และ รมว.สาธารณสุข หัวหน้าพรรค กลับบอกในทำนองว่า เขาไม่ทราบเรื่องมาก่อน เมื่อถามว่า แม้เจ้าตัวยืนยันจะไม่เล่นการเมือง แต่ยังช่วยงานพรรคภูมิใจไทย ได้หรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า โดยมารยาทพรรคภูมิใจไทย มอบหมายหน้าที่ รมช.คมนาคม ให้รับผิดชอบ ซึ่งครบสมัยก็ไม่เคยมีการปรับเลย และพรรคได้มอบหมายให้ดูแลการเมืองในพื้นที่ภาคอีสานตอนล่างอยู่ เขาก็ยังเป็นแกนหลักบริหารจัดการการเมืองให้พรรคภูมิใจไทยอยู่ใน จ.นครราชสีมา โดยกติกาและมารยาท ก็ต้องทำงานต้องร่วมกับพรรคต่อไป
แต่ทั้งนี้ เจ้าตัวยังไม่เคยมาพูดคุยกับตนเรื่องจะไม่อยู่กับพรรค มีแต่แค่บ่นว่าเหนื่อย หัวใจไม่ค่อยดี ต้องฉีดยาบำรุงหัวใจ แต่เรื่องการรับผิดชอบผู้สมัคร ส.ส.ก็เปรียบเสมือนบ้านของตนหลังหนึ่ง ตนก็ดูแลในภาพรวมอยู่แล้ว ไม่น่ามีปัญหาอะไร และนายวีรศักดิ์มาคอยช่วยตนตามที่สั่งการไปในแต่ละเรื่อง
ล่าสุด กลับมีรายงานว่า “นายอาทิตย์ หวังศุภกิจโกศล” กำนัน ต.กุดโบสถ์ ต.เสิงสาง อ.เสิงสาง จ.นครราชสีมา บุตรชาย นายวีรศักดิ์ มีแนวโน้มจะสมัครเข้าเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทย และจะลงสมัคร ส.ส.นครราชสีมา ในพื้นที่ อ.เสิงสาง เพื่อแข่งขันเลือกตั้งกับ “นายพรชัย อำนวยทรัพย์” ส.ส.นครราชสีมา พรรคภูมิใจไทย
รวมทั้ง “นายนรเสฏฐ์ ศิริโรจนกุล” รองนายก อบจ. นครราชสีมา หลานชาย นายวีรศักดิ์ ก็มีแนวโน้มสมัครสมาชิกพรรคเพื่อไทยเช่นกัน ซึ่งจะลงสมัคร ส.ส.นครราชสีมา ในพื้นที่ อ.ปักธงชัย ซึ่งเป็นพื้นที่ของ “นายสมศักดิ์ พันธ์เกษม” ส.ส.นครราชสีมา พรรคภูมิใจไทย
น่าสังเกตก็คือ นายนรเสฏฐ์ ศิริโรจนกุล เคยเป็นผู้สมัครพรรคภูมิใจไทย ในเขต 11 แต่พ่ายแพ้ให้กับ นายสมศักดิ์ พันธ์เกษม จากพรรคพลังประชารัฐ แต่ล่าสุด นายสมศักดิ์ ได้ย้ายพรรคมาสังกัดพรรคภูมิใจไทยแล้ว
อย่างไรก็ดี สำหรับ นายวีรศักดิ์ หวังศุภกิจโกศล หรือ “กำนันป้อ” นักธุรกิจ “แป้งมัน” ก็ถือว่าไม่ธรรมดา เพราะเมื่อย้อนกลับไปดูผลการเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เมื่อเกือบสองปีก่อน ภรรยาของเขา คือ “นางยลดา หวังศุภกิจโกศล” ชนะการเลือกตั้งแบบขาดลอย ซึ่งย่อมส่งผลไปถึงการเลือกตั้ง ส.ส.ในครั้งหน้าด้วย หากทีม “เสี่ยแป้งมัน” ยกขบวนย้ายไปพรรคเพื่อไทยจริงตามข่าว
แต่จะว่าไปแล้ว สำหรับความเคลื่อนไหวการย้ายพรรคของกลุ่ม นายวีรศักดิ์ มีมานานตั้งแต่กลางปีที่แล้ว ทำให้ นายอนุทิน ชาญวีรกูล และ “บ้านใหญ่บุรีรัมย์” ต้องแก้เกมลงมาดูแลพื้นที่ และ ส.ส.ด้วยตัวเอง นอกเหนือจากนั้นแล้ว ยังมี นายสุชาติ ภิญโญ ส.ส.เขต 14 พรรคเพื่อไทย ย้ายมาสังกัดพรรคภูมิใจไทย เช่นเดียวกัน
เมื่อได้เห็นความเคลื่อนไหวแบบนี้แล้ว มันก็ทำให้เห็นแนวโน้มในสนามเลือกตั้งโคราชคราวหน้า จะต้องดุเดือดเข้มข้นแน่นอน เพราะนอกจากมาในแบบ “มิตรกลายเป็นคู่แข่ง” หรือ คู่แข่งเก่าที่รอจังหวะเช็กบิล รวมไปถึงความพยายามกลับมาทวงความยิ่งใหญ่อีกครั้ง
สำหรับสนามเลือกตั้งโคราช ที่พอมองเห็นจะเป็นการต่อสู้กันระหว่าง 3-4 พรรค นั่นคือ พลังประชารัฐ เพื่อไทย ภูมิใจไทย และชาติพัฒนากล้า แต่ก็ประมาทพรรคน้องใหม่อย่าง รวมไทยสร้างชาติ ที่มี “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นสมาชิกคนสำคัญ ในฐานะ “คนโคราช” ด้วยเหมือนกัน อย่างไรก็ดี สำหรับพรรคภูมิใจไทย ที่คิดว่าในตอนแรกกำลังพุ่งทะยาน แต่เมื่อเจอสภา “แตกคอ” แยกวงออกไปแบบนี้ มันก็เกิดอาการ “ยวบ” ลงไปไม่น้อยเหมือนกัน
ดังนั้น สนามโคราชจึงเป็นการแข่งขันที่ดุเดือดอีกหนึ่งพื้นที่แน่นอน เพราะนาทีนี้ยังถือว่าไม่มีผูกขาด ยังไม่อาจเอาชนะได้เบ็ดเสร็จเด็ดขาด ทุกพรรคที่กล่าวมาล้วนมีโอกาส และเชื่อว่า ในที่สุดแล้วยังต้องแบ่งเก้าอี้กันเช่นเดิม เพียงแต่ว่าใครจะได้มากกว่าเดิม หรือน้อยลงเท่านั้นเอง!!