“อัษฎางค์” ถามใจชาวจุฬาฯ กับคำถามของสังคม แง้มรู้แล้วคนอยู่เบื้องหลังครูบูลลี่ “ป๋าเปรม” “ดร.ไตรรงค์” ในฐานะคนใกล้ชิด เผย เหตุ พล.อ.เปรม ไม่แต่งงาน เพราะรักเดียวใจเดียว “นิพิฏฐ์” ลั่น หลุดสถานะความเป็น “ครู”
น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (24 ธ.ค. 65) เพจเฟซบุ๊ก เอ็ดดี้ อัษฎางค์ ยมนาค ของนายอัษฎางค์ ยมนาค นักวิชาการอิสระ โพสต์ภาพที่ชี้ให้เห็นว่า “ครูบูลลี่ ป๋าเปรม” จบจากไหน พร้อมข้อความระบุว่า
“ถามใจชาวจุฬาฯ กับคำถามของสังคม”
ก่อนหน้านี้ เพจเฟซบุ๊ก เอ็ดดี้ อัษฎางค์ ยมนาค โพสต์ภาพ พร้อมข้อความระบุว่า
“บอกตรงนี้เลยว่า เรารู้แล้วว่า….
คนที่อยู่เบื้องหลังอาจารย์วิชาสังคมคนนั้นเป็นใคร มาจากที่ไหน !
ตัวนางเองก็เป็น LGBTQ แต่เสี้ยมคนอื่นด้วยการ bully เรื่องเพศสภาพ (โดยไม่มีหลักฐาน)
นี่นะหรือความเท่าเทียมกันที่เรียกร้อง ?
บรรดา activist ของ LGBTQ จะว่าอย่างไร
ในเมื่อ LGBTQ ฝ่ายนั้นเอาเรื่องเพศสภาพมา bully คนอื่น ยอมรับกันได้หรือไม่ ?
ด้วยความเคารพกับท่านอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวข้อง”
ขณะเดียวกัน ดร.ไตรรงค์ สุวรรณคีรี อดีตรองนายกรัฐมนตรี โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊ก ว่า #อนาคตเด็กไทยมืดบอด #แม่พิมพ์ไทย #ไร้การสั่งสอน #ไร้สามัญสำนึก วันนี้ผมอยากขยายความหมายของคำว่า “โคตรพ่อโคตรแม่ไม่สั่งสอน” ครับ
ช่วงนี้มีการวิพากษ์วิจารณ์แสดงความไม่พอใจอย่างหนาหู ที่มีคลิปครูผู้หญิงคนหนึ่งในโรงเรียนหนึ่ง ได้ใช้บทบาทการเป็นครูบาอาจารย์ในทางที่ไม่ควร บิดเบือนประวัติศาสตร์อย่างไม่มีสามัญสำนึก บังอาจสอนนักเรียนให้เข้าใจผิดในสาระสำคัญของความเป็นคนดีอย่าง พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ อดีตนายกรัฐมนตรี อดีตประธานองคมนตรี และรัฐบุรุษของประเทศไทย
คนเป็นครูนั้น ควรตระหนักน้ำหนักของบทบาท หน้าที่ และความรับผิดชอบของตน ว่า เป็นถึงแม่พิมพ์ของชาติ เป็นสิ่งที่น่ากังวลใจมากครับที่ระบบการศึกษาของไทยหละหลวมให้คนเช่นนี้มาปลุกปั้น ปลูกฝัง แนวคิดผิดๆ ให้ลูก ให้หลาน เราได้อย่างไร
#ผมขอสร้างความกระจ่าง ผมเป็นคนหนึ่งที่ใกล้ชิด เข้าออกนอกในบ้านสี่เสาเทเวศร์ตั้งแต่เมื่อครั้งท่านดำรงตำแหน่ง ผบ.ทบ. และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เพราะท่านเป็นคนเชิญให้ผมไปสอนวิชาเศรษฐศาสตร์ให้กับท่านเป็นการส่วนตัวที่บ้านสี่เสาเทเวศร์ และหลังจากท่านได้รับเลือกจากสภาผู้แทนราษฎร ให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ผมก็กลายเป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี เป็นโฆษกรัฐบาล และโฆษกส่วนตัวให้กับท่าน จึงมีโอกาสมากกว่าใครๆ ในการเข้าออกนอกในของบ้านสี่เสาเทเวศร์
ผมรู้จักทหารทุกคนที่อยู่รับใช้ พล.อ.เปรม ตั้งแต่สมัยท่านเป็น ผบ.ทบ.ตลอดเวลามากกว่า 8 ปี ที่ท่านดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย ทหาร ตำรวจ ทุกคนที่ท่านเลือกให้ไปรับใช้อารักขา และช่วยงานด้านการเมืองการปกครองล้วนแล้วแต่เป็นคนที่มีความรู้ความสามารถมีความจงรักภักดีต่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ กันทุกคน
พล.อ.เปรม จะไม่ชอบคนที่ไม่สะอาด (เช่น ไม่โกนหนวดโกนเครา) และแต่งตัวไม่ถูกกาลเทศะและต้องมีมารยาทที่คนซึ่งได้สัมผัสจะไม่รู้สึกว่าน่ารังเกียจ เช่น ไม่สะอาด พูดจาไม่ไพเราะ มารยาทการกินอยู่ไม่สุภาพ ไร้คุณสมบัติความเป็นผู้ดี ทหาร ตำรวจ เหล่านั้นแม้จะไม่หล่อลากดินอย่างดาราหนัง แต่ก็สะอาดและมีปัญญาน่ายกย่อง เช่น พล.อ.มงคล อัมพรพิสิฎฐ์ พล.อ.อู้ด เบื้องบน พล.อ.ไพโรจน์ พานิชสมัย และลูกหลานของ พล.ต.ต.ม.ร.ว.เจตจันทร์ ประวิตร เป็นต้น
ย้อนไปเมื่อท่านเป็นนักเรียนโรงเรียนนายร้อย จปร. ท่านเคยพบรักกับสาวสวยตระกูลดี มีฐานะคนหนึ่ง (ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทของคุณหญิงพิมพา สุนทรางกูร) ทั้งคู่รักกันมาก สัญญาว่าเรียนจบเมื่อไรก็จะแต่งงานกัน แต่เมื่อเรียนจบพ่อแม่ฝ่ายหญิงไม่ยินดีให้ลูกสาวแต่งงานกับนายทหารที่มีฐานะครอบครัวห่างกันมาก ฝ่ายหญิงจึงถูกจับให้แต่งงานกับชายที่อยู่ในฐานะของสังคมในชนชั้นเดียวกัน นายร้อยเปรมได้แต่เสียใจเสียดาย แต่ก็เข้าใจผู้หญิงของท่านดี ท่านไม่ตำหนิแต่สัญญาว่าชีวิตนี้จะรักเธอเพียงคนเดียว จะไม่แต่งงานกับผู้หญิงอื่น ไม่ว่าจะสวยเลิศฟ้ามาดินหรือมีฐานะทางสังคมสูงเช่นใด
พล.อ.เปรม เป็นคนพูดจริงทำจริง รักเดียวใจเดียว เหมือนอย่างที่ท่านเคยลั่นวาจาว่าจะรัก “ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ และเกิดเป็นคนต้องตอบแทนบุญคุณแผ่นดิน” ท่านก็ปฏิบัติให้เห็นแล้วเป็นประจักษ์ว่ายอมทำทุกอย่างเพื่อรักษาชาติให้เป็นปึกแผ่น รักษาศาสนาทุกศาสนาให้เป็นหลักในการชี้ทางธรรมให้แก่คนไทย และพร้อมจะตายเสมอถ้าใครจาบจ้วงและมุ่งทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์อันเป็นจุดศูนย์รวมของประชาชนทุกชนเผ่าที่เป็นประชากรของประเทศไทย
เมื่อสมัยหนุ่มๆ ตอนเป็นพันเอกท่านเป็นผู้การ ม.พัน 4 (กรมที่มีรถถังใหญ่และมีอานุภาพมากที่สุดของกองทัพ) ทหารที่คอยขับรถให้กับท่านในขณะนั้นชื่อ ร.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ ซึ่งตอนหลังได้เลื่อนตำแหน่งเป็นพลตรีสมัย พล.อ.ชาติชาย เป็นนายกรัฐมนตรี พลตรีสนั่น ซึ่งมีความสนิทสนมกับผมเป็นพิเศษได้เล่าให้ผมฟังว่า พล.อ.เปรม ไม่เคยยุ่งเกี่ยวใดๆ ที่เกี่ยวกับเพศสัมพันธ์ คงเป็นคนที่ยึดมั่นวาจาสัตย์ว่าจะรักเดียวใจเดียวกับผู้หญิงคนนั้นที่ทำให้ท่านอกหัก
#ความจริงที่มีอยู่เพียงหนึ่งเดียว ครับ นอกเหนือจากนี้ ล้วนเป็นความเท็จที่ผู้ไม่หวังดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์พยายามบิดเบือนใส่ความชั่วร้ายให้กับ พล.อ.เปรม (คนดีของประเทศ) ก็เพื่อปลูกฝังความเกลียดชังให้กับสถาบันฯ ว่าเลือกคนและเลือกใช้แต่คนที่ไม่ดี ไม่มีคุณธรรม และไม่มีศีลธรรม
คนเป็นครู ต้องตระหนักว่าตนต้องไม่เอาทัศนคติส่วนตัวมาใช้ในการสั่งสอน แต่ควรยึดมั่นในหลักการ และหลักความเป็นจริง ที่มีหลักฐาน เชื่อถือได้ เด็กๆ เขากำลังสร้างความเข้าใจ สร้างทัศนคติที่เขามีต่อโลกอยู่ครับ อย่าทำร้ายพวกเขาด้วยการใส่ข้อมูลผิดๆ เลยครับ
ถ้าคนเป็นครูที่มีอคติ เพราะได้รับข่าวสารมาผิดๆ แล้วนำความคิดอคติ หรือมิจฉาทิฎฐินั้น มาสอนเด็กๆ เด็กเหล่านั้นโตขึ้นมาก็จะเป็นภัยกับความมั่นคงของประเทศอย่างแน่นอน
ผมเป็นครูแต่เขาเรียกอาจารย์สอนที่คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มีอายุราชการ 16 ปี (พ.ศ. 2510-2526) สอนนักศึกษาตั้งแต่ปีที่ 1 ถึงปริญญาโท ผมสำนึกตลอดในการไม่สอนนักเรียนของผมให้มีอคติใดๆ ตามความเชื่อส่วนตัวของผมเอง เพราะผมรู้สึกว่าการเป็นครูสอนคนมันเป็นอาชีพครึ่งพระครึ่งข้าราชการ อาจารย์ หรือครู ที่ดีจึงควรมีความซาบซึ้งพอสมควรกับศีลธรรมอันดีของทั้งศาสนาพุทธ ศาสนาอิสลาม ศาสนาคริสต์ และศาสนาอื่นๆ เพราะทุกศาสนาล้วนสอนให้คนละเว้นทำชั่วไม่เบียดเบียนคนอื่น
ทั้งทางกาย วาจา และใจ และสอนให้ทุกคนพยายามทำความดี (สุจริต 3) คือ ทำดีทั้งทางกาย (เช่น ไม่ทำร้ายผู้อื่น ไม่ทุจริตคอร์รัปชัน เป็นต้น) ทำดีทางวาจา (คือ ไม่พูดเท็จ ไม่พูดใส่ร้ายผู้อื่น ไม่พูดให้ผู้อื่นเข้าใจผิดในสิ่งที่ควรจะเป็น และสิ่งที่ได้เป็นจริงไปแล้วในอดีต) ทำดีทางมโน (คือ มีจิตใจไม่อาฆาตมาดร้ายคอยสาปแช่งผู้อื่นให้ประสบความหายนะทั้งทางอาชีพและเกียรติยศชื่อเสียงของวงศ์ตระกูลและรวมทั้งการสาปแช่งให้ผู้ใดป่วยหรือมีชีวิตสั้น เป็นต้น)
ธรรมะเหล่านี้จะถูกปลูกฝังในตัวเด็กๆ ได้ในชั้นแรกก็โดยการสั่งสอนอบรมของพ่อแม่ของครูบาอาจารย์ เอาเฉพาะพ่อแม่ย่อมมีความสำคัญมากกว่าครู เพราะอยู่ใกล้ชิดกับลูกมากกว่าครู ผู้ใหญ่ที่โตขึ้นมาจนมีอาชีพหลักเป็นของตนเองไม่ว่าจะเป็นครูหรือเป็นอะไรก็ตามจะเป็นคนที่มีจิตใจสูงปกคลุมด้วยธรรมะได้ต้องเป็นเด็กที่พ่อแม่เคยสั่งสอนมาตั้งแต่เล็กๆ
แต่เด็กบางคน #โคตรพ่อโคตรแม่ไม่สั่งสอน พ่อแม่ไม่สอนธรรมะก็เพราะพ่อแม่เองก็เป็นคนไม่มีธรรมะ เหตุที่พ่อแม่ไม่มีธรรมะก็เป็นเพราะปู่ย่าตายายเป็นคนไม่มีธรรมะ เหตุที่ปู่ย่าตายายไม่มีธรรมะก็เพราะทวดทั้งฝ่ายพ่อฝ่ายแม่ไม่มีธรรมะ และเราสามารถจะอธิบายเช่นนี้สืบต่อค้นไปจนถึงต้นตระกูลของพวกมันเหล่านี้ คนที่ไม่มีธรรมะเช่นนี้ ภาษาไทยเดิมเขาเรียกว่า “เป็นคนที่โคตรพ่อโคตรแม่มันไม่ได้อบรมสั่งสอน มันจึงเลวอย่างที่เห็น หาดูได้ไม่ยากทั้งในวงการราชการและวงการการเมืองของไทย”
ถ้าเป็นทางฝ่ายข้าราชการ ผู้บังคับบัญชาใดพบเห็นลูกน้องที่มีพฤติกรรม “ไร้ธรรมะ” เช่นนี้ ต้องรีบทำอะไรบางอย่างเพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างแก่ข้าราชการคนอื่นๆ ถ้าผู้บังคับบัญชาพบเห็นแล้วเฉยๆ เสียก็แสดงว่าผู้บังคับบัญชาเหล่านั้นก็น่าจะเป็นคนที่ “โคตรพ่อโคตรแม่ไม่ได้สั่งสอนพวกมันมาเช่นเดียวกัน”
พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ว่าการให้ธรรมทานร้อยครั้งก็ได้บุญน้อยกว่าให้อภัยทานเพียงหนึ่งครั้งเพราะอภัยทานจะเกิดได้ก็แต่เฉพาะกับคนที่เข้าถึงปรมัตถบารมีซึ่งเป็นผู้อยู่ใกล้พระนิพพานมากที่สุด
ผมให้อภัยทานแค่ครึ่งเดียวต่อผู้ใส่ร้าย พล.อ.เปรม และสถาบันพระมหากษัตริย์เพราะผมยังอยู่ห่างไกลจากพระนิพพานมากอยู่เหมือนกันครับ
ที่น่าสนใจไม่แพ้กัน นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ สมาชิกพรรคพลังประชารัฐ โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊กว่า
“เมื่อครูสอนให้เด็กบูลลี่ (Bully) คนอื่น
ในทางทฤษฎีการเมือง มีคำถามว่า “ประชาธิปไตยในโรงเรียนมีหรือไม่” นักรัฐศาสตร์ฝ่ายหนึ่งบอกว่า ไม่มีหรอก อีกฝ่ายหนึ่งบอกว่ามี แต่ส่วนใหญ่รับกันว่า ในโรงเรียนไม่มีประชาธิปไตยจริงๆ หรอก แต่โลกสมัยใหม่จะมีการทดลองให้นักเรียนฝึกวัฒนธรรมประชาธิปไตยบางอย่างภายใต้กฎกติกาเท่านั้น ไม่ถือว่าเป็นประชาธิปไตย 100%
ครูสอนให้นักเรียนบูลลี่ (Bully) คนอื่น นั่นก็ผิดมหันต์แล้ว ไม่ใช่เสรีภาพในการแสดงความเห็น หรือ เสรีภาพในการสอนหรอก ถ้าครูเริ่มต้นสอนอย่างนี้ ลองนึกดูว่า โตขึ้นเด็กจะเป็นอย่างไร สังคมจะเป็นอย่างไร นึกขึ้นมาก็ขนหัวลุกแล้ว สังคมนี้จะน่าอยู่ได้อย่างไร
ครู เป็นผู้ยกระดับวิญญาณของมนุษย์ให้รู้จักผิดชอบ ชั่ว-ดี การที่ครูสอนให้เด็กบูลลี่ พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ อดีตนายกรัฐมนตรี, อดีตประธานองคมนตรี ครูคนนั้นหลุดจากสถานะผู้ยกระดับจิตวิญญาณของมนุษย์ไปแล้ว ไม่อาจเรียกว่าครูได้เลย หากแต่เป็นอาชญากร ผู้ประกอบอาชญากรรมไปแล้ว
ผมฟังคำชี้แจงของครูคนนั้นแล้ว ยิ่งเห็นความมืดบอดทางจิตวิญญาณของครูคนนั้น
ผมได้แต่ภาวนาว่า ขอให้ประเทศนี้ มีครูแบบนี้เพียงคนเดียวเถอะ
ผมเคารพศรัทธา พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ แม้ท่านจะถึงแก่อนิจกรรมไปแล้ว หากเห็นว่าสิ่งไหนไม่ถูกต้อง ผมผู้อยู่หลังก็ยังปกป้องเกียรติยศของท่าน
หากครูพิสูจน์สิ่งที่ตนพูดไม่ได้ ก็เข้าสู่กระบวนการทางวินัย และกฎหมายเถอะครับคุณครู ผมจะติดตามเรื่องนี้ /
*บูลลี่ (Bully) หมายความว่า : ให้ร้าย, เยาะเย้ย, ทำให้ผู้อื่นเจ็บปวดทางกายหรือใจ”
แน่นอน, ประเด็นถือว่า เข้าใกล้ “ต้นตอ” ที่มาที่ไปของ “ครูบูลลี่ ป๋าเปรม” มากขึ้นทุกที แม้ว่า ยังไม่ถูกเปิดเผยออกมาอย่างชัดแจ้งก็ตาม แต่อย่างน้อย ก็ถือว่า บอกใบ้ได้บ้าง
อีกอย่าง ที่สะท้อนให้เห็นก็คือ การเลือกวิธี บิดเบือนความจริง ในการต่อสู้ทางการเมืองของบางฝ่าย ขณะที่อ้างตัวเองว่า เป็นฝ่ายก้าวหน้า สูงส่งกว่า ทุกคนที่ล้าหลัง กลับสะท้อนตัวตนที่ “ย้อนแย้ง” กับที่กำลังต่อสู้ อย่างนี้ จะนำพาการเปลี่ยนแปลงไปสู่สิ่งที่ดีขึ้นได้อย่างไร
นอกจากได้ชื่อว่า เป็นพวกชอบปลุกปั่นยุยง โฆษณาชวนเชื่อ ด้วยการบิดเบือนความจริงเท่านั้น!?