“ประยุทธ์” ประกาศร่วมงาน “รวมไทยสร้างชาติ” เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี อ้างเพื่อไม่ให้เกิดความสับสนทางการเมือง ยันคุยกับ “บิ๊กป้อม” ไม่มีปัญหา ความสัมพันธ์ลึกซึ้งไม่มีใครลบล้างได้ เผย ครอบครัวเข้าใจ ส่วนอนาคตการจับขั้วทางการเมืองต้องฟังเสียงของ ปชช. ชี้ ยุบสภา-อยู่ครบวาระ ต้องรอดูจังหวะเป็นไปตาม กม. ลั่นหน้าที่หลักดูแลชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ปชช. ขอหยุดเถอะ ทำสังคมแตกแยก ชี้ มันอันตราย บิดเบือนปลูกฝังความคิดผิดๆ ย้ำจำเป็นใช้ กม. หลังเหิมเกริม
วันนี้ (23 ธ.ค.) เมื่อเวลา 09.30 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีให้สัมภาษณ์ก่อนเป็นประธานในพิธีมอบโล่เชิดชูเกียรติ 10 สุดยอดชุมชนต้นแบบ “เที่ยวชุมชน ยลวิถี” ประจำปี 2565 โดยเดินมาให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนเอง มีความยาว 24 นาที ว่า วันนี้ทราบดีว่าทุกคนให้ความสนใจกับสถานการณ์ทางการเมือง และหลายพรรคการเมืองก็ออกมาเคลื่อนไหวกันเยอะแยะไปหมด และก็เห็นว่า ทุกคนอยากทราบว่า นายกรัฐมนตรีจะไปอย่างไรต่อไป วันนี้จากสถานการณ์ ที่ได้ติดตามมาตลอดเวลาที่ผ่านมาและเห็นถึงความเคลื่อนไหวของหลายพรรคการเมืองมีการเสนอชื่อผู้ที่จะได้รับการคัดเลือกเป็นนายกรัฐมนตรีของแต่ละพรรค
“ที่ผ่านมา นายกฯก็พยายามพิจารณาในเรื่องต่างๆ ด้วยหลักการและเหตุผลต่างๆ มากมายหลายประการ วันนี้ ทางพรรครวมไทยสร้างชาติก็ได้เสนอมาแล้วว่ายินดีสนับสนุนนายกฯ คือ ผมให้เป็นนายกรัฐมนตรีในการเลือกตั้งครั้งต่อไป ผมจึงจำเป็นต้องทำให้เกิดความชัดเจนเกิดขึ้นไม่เช่นนั้นก็จะเกิดการวิพากษ์วิจารณ์กันไป ให้เกิดความเสียหายหลายอย่างด้วยกัน ซึ่งผมก็เคยบอกแล้วว่าในช่วงที่ผ่านมาผมได้รับการสนับสนุนจากพรรคพลังประชารัฐ แต่วันนี้พรรคพลังประชารัฐก็ได้มีการตกลงใจที่จะเสนอชื่อหัวหน้าพรรค คือ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นนายกรัฐมนตรีไปแล้ว เพราะฉะนั้นผมจึงได้ตัดสินใจวันนี้แล้วกัน ซึ่งความจริงก็ได้เตรียมการมาพอสมควรแล้วว่าจะไปอยู่กับพรรครวมไทยสร้างชาติ ก็จะได้สบายใจกันและก็สุดแล้วแต่ประชาชนก็แล้วกันว่าจะให้การสนับสนุนหรือไม่อย่างไร สิ่งที่ผมต้องตัดสินใจแบบนี้เพราะว่าเพราะสิ่งหลายๆ อย่างที่ผมได้ทำไว้มาอย่างต่อเนื่องหลายปี ที่ผ่านมานั้นก็น่าจะได้มีการสานต่อถ้าหากว่าผมสามารถอยู่ได้ในระยะเวลาตามที่กำหนด ในระหว่างนั้นก็จะได้สานต่อในสิ่งที่ยังค้างคา ยังไม่สำเร็จและยังมีปัญหาอยู่เพื่อแก้ไขปัญหาเหล่านั้น” นายกรัฐมนตรี กล่าว
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ทั้ง 4 ปีแรก และ 4 ปีหลัง ก็ทำมาอย่างต่อเนื่อง ถึงแม้ระยะแรกจะเป็นรัฐบาลไม่ปกติก็ตาม ในการเป็นรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งมีการเสนอชื่อก็เป็นวาระที่สอง ที่ผ่านมา นายกฯเป็นผู้ที่กำหนดนโยบายและดูแลทุกพื้นที่ ซึ่งในความเป็นจริงก็ดูแลทุกพรรค จะเห็นได้ว่า แผนงานโครงการต่างๆ ลงไปทุกจังหวัดไม่ได้แบ่งแยกว่าเป็นของใคร และหลายจังหวัดที่นายกฯ ลงพื้นที่ไปก็ไม่ได้มี ส.ส.ของฝ่ายรัฐบาล คือ พรรคพลังประชารัฐที่สนับสนุนตน แต่ก็พร้อมลงไปอย่างวันก่อนที่ไปจังหวัดเชียงรายก็ไม่ได้มี ส.ส. ของรัฐบาลสักคน แต่ตนก็ไปให้ เพราะตนมองประชาชนเป็นหลัก ขณะเดียวกัน ส.ส.ทุกคน ต้องถือว่าเป็นตัวแทนของราษฎรที่คัดเลือกเข้ามาอะไรที่ต้นทำให้ได้อะไรที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศก็นำเสนอเข้าสู่ที่ประชุม ครม. จัดสรรงบประมาณลงไปให้แต่ทุกอย่างต้องทำอย่างโปร่งใสและเป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมายเป็นสิ่งที่ตนยึดมั่นมาโดยตลอดและไม่เคยคิดแสวงหาผลประโยชน์ใดๆ ทั้งสิ้น “ผมยืนยันว่าตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาผมไม่เคยคิดแสวงหาผลประโยชน์แม้แต่เพียงเล็กน้อย”
ผู้สื่อข่าวถามว่า ได้มีการปรึกษาในเรื่องดังกล่าวกับ พล.อ.ประวิตร หรือยัง พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า “เรื่องนี้ได้กราบเรียนท่านไปนานแล้ว ว่า ผมอาจจะมีความจำเป็นบางอย่าง ก็กลับเรียนกับท่านไปหลายครั้งแล้ว จนครั้งสุดท้ายได้ตัดสินใจไปแล้วและคุยกับท่านแล้ว ก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร ไม่มีความขัดแย้งอะไรกันทั้งสิ้น อันนี้เป็นเรื่องของการเมืองก็ว่ากันไปตามการเมืองตามระบบประชาธิปไตยก็ว่ากันไป”
เมื่อถามว่า ถือว่า เป็นการจากกันด้วยดีใช่หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า “ผมไม่ได้จากกันไปไหนนี่ ก็ยังคงพูดคุยกันอยู่เหมือนเดิม ไม่มีปัญหาอะไร อย่าลืมว่าความสัมพันธ์ของทหารกับทหารด้วยกันมันลึกซึ้ง ลึกซึ้งยิ่งกว่าและผมก็จบมาก็อยู่ในการดูแลของท่าน และท่านก็เป็นผู้บังคับบัญชาของผมคนแรกในการที่ผมจบจากโรงเรียนในร้อยไปแวะรับราชการตั้งแต่ร้อยตรี จนกระทั่งอยู่ด้วยกันมาตลอดชีวิตรับราชการมาจนถึงวันนี้ ความผูกพันอันนี้มันไม่มีใครลบล้างผมได้ ท่านเองก็รู้สึกเหมือนกันและท่านก็ไม่ได้ว่าอะไร ซึ่งผมก็ได้บอกท่านว่าท่านจะได้สบายใจเพราะว่าท่านมีแรงกดดันมากมายหลายประการด้วยกัน ซึ่งทุกคนก็ทราบดีกันอยู่แล้ว”
เมื่อถามว่า จะต้องสมัครเข้าเป็นสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติ หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ก็น่าจะต้องคงสมัคร ส่วนจะสมัครได้เป็นทางการเมื่อไหร่นั้นอย่าเพิ่งถาม
ผู้สื่อข่าวถามว่า ถึงวันนี้ พล.อ.ประยุทธ์ ยังคงเป็นแคนดิเดตเพียงคนเดียวที่พรรครวมไทยสร้างชาติเสนอใช่หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ก็ตอนนี้ก็เห็นว่ายังมีคนเดียว แต่อย่าพึ่งไปถามอะไรล่วงหน้าเลย อย่าถามนี่ไปนั่นไปโน่นไปเรื่อย แล้วจะตอบได้อย่างไรเล่า
เมื่อถามว่า จะยังคงจับมือทางการเมืองกับ พล.อ.ประวิตร ต่อไปใช่หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า อันนั้นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งซึ่งเป็นเรื่องของการเลือกตั้ง มันขึ้นอยู่กับผลการเลือกตั้ง ประชาชนจะเลือกใครเข้ามาวันนี้ยังไม่มีใครรู้ ถึงเวลานั้นสถานการณ์การเมืองที่เรียกว่าการจับคู่ทางการเมืองใครจะเป็นฝ่ายค้านเป็นฝ่ายรัฐบาล ซึ่งก็เหมือนครั้งที่แล้ว ก็จะมีพรรคร่วมฝ่ายรัฐบาลและพรรคร่วมฝ่ายค้าน ถ้าคะแนนเสียงมารวมกันได้ และมากกว่าก็จะได้เป็นฝ่ายรัฐบาล ครั้งที่แล้วตนก็มาอย่างนั้นไม่ใช่หรือ
เมื่อถามว่า วันนี้ ถือว่า นายกรัฐมนตรีได้ประกาศสู้ศึกเลือกตั้งครั้งหน้าอย่างเต็มตัวใช่หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวย้อนถามว่ายังไม่ชัดอีกหรือ ทำไมต้องถามย้ำกันอีก ผู้สื่อข่าวถามว่า การตัดสินใจคนนี้ครอบครัว สนับสนุนเต็มที่ใช่หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า “ก็เข้าใจกันละนะ เขาเข้าใจว่าผมทำเพื่ออะไรนะ”
เมื่อถามย้ำว่า ถือเป็นการท้าทายหรือไม่ในการที่โดดลงมาทำพรรคเองในครั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า รวมไทยสร้างชาติ มีหัวหน้าพรรคอยู่แล้ว หัวหน้าพรรคเขาก็ทำและดำเนินการทางการเมืองของเขาอยู่ สิ่งสำคัญที่สุดก็จะต้องคุยกันว่าสิ่งใดที่รัฐบาลนี้ได้ทำไว้ก็คงจะต้องเป็นการสานต่อไปสู่อนาคตอย่างมั่นคงยั่งยืน ไม่ใช่แค่ผิวเผินหรือเป็นนโยบายที่จับต้องไม่ได้ ถ้าประกาศว่าจะทำนั่นทำนี่ก็ต้องดูว่าทำได้จริงหรือเปล่า ถ้าบอกว่าจะให้นี่ให้โน่น ก็ต้องดูว่าจะมีเงินจากที่ไหนหาเงินได้อย่างไรซึ่งตนก็พยายามทำในเรื่องนี้มาโดยตลอด ซึ่งตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาทั้งสี่ปีแรกและสี่ปีหลัง ต้นพยายามหารายได้เข้าประเทศเพราะก็รู้อยู่ว่าจะต้องดูแลประชาชนให้ได้มากยิ่งขึ้น แต่ทั้งหมดก็ต้องมีกติกาพอสมควรมากน้อยเพียงไรก็จะต้องไม่ให้เกิดภาระ ตลอดระยะ เวลาที่ผ่านมาเราพยายามระมัดระวังในการใช้งบประมาณ แต่โชคไม่ดีที่เราเจอกับการแพร่ระบาดของไวรัส โควิด-19 รวมทั้งวิกฤติสงครามซึ่งมีผลกระทบกระเทือนไปทั้งหมด รัฐบาลก็พยายามบริหารให้ดีที่สุดถ้าเปรียบเทียบกับหลายประเทศถือว่าเราทำได้ดี ฐานะการเงินการคลังก็ยังดีอยู่ แต่แน่นอนว่าย่อมมีความเดือดร้อนบ้างก็ต้องหาวิธีการแก้ไขไป วันนี้เรายังมีโอกาสอีกมากก็ขอให้ทุกคนอย่าท้อแท้อย่าทะเลาะเบาะแว้งกัน อย่าขัดแย้งกัน ถ้าเรามัวแต่เอาชนะคะคานกันทะเลาะและขัดแย้งกันทุกอย่างก็จะกลับสู่ที่เดิมทั้งหมด
“ยืนยันว่า ผมพยายามจะทำบ้านเมืองให้เกิดความสงบเรียบร้อยให้ได้มากที่สุด และดีที่สุดแต่ทั้งหมดผมทำคนเดียวไม่ได้ ก็ต้องขอความร่วมมือจากประชาชนทุกคนทุกภาคส่วน ซึ่งก็ต้องมีหลักคิดว่าจะทำอย่างไรจะเลือกใครและจะเลือกได้อย่างไร เพราะสิ่งสำคัญที่สุดในการเลือกพรรคการเมืองในการเลือก ส.ส.ก็คือ ท่านก็ต้องมองดูว่าจะได้ใครเป็นนายกล่ะ ท้ายที่สุดก็อยู่ตรงนี้อย่างที่บอกเมื่อเลือกตั้งมาแล้วท้ายที่สุดก็ต้องมารวมคะแนนเสียงกัน เพื่อให้เป็นฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาล ใครได้มาก็เป็นรัฐบาล และผู้ที่ถูกเสนอชื่อกอดจะได้เป็นนายกรัฐมนตรี เรื่องเหล่านี้ก็เป็นเรื่องของอนาคตซึ่งมันไม่มีอะไรแน่นอนหรอก ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของประชาชน ซึ่งครั้งนี้เป็นการเลือกตั้งที่ มีความสำคัญที่สุด ก็ขอให้คิดไตร่ตรองให้รอบคอบ มีเหตุและผลมีหลักคิด ถ้าสมมติว่า อยากได้นู่นนี่แต่เกินขีดความสามารถของรัฐบาล เกินขีดความสามารถของงบประมาณที่มีอยู่มันก็จะเดือดร้อนประเทศจะเสียหาย ก็ขอให้คิดให้ดี เพราะมีประโยชน์โดยรวมและประโยชน์ของแต่ละกลุ่มแต่ละอาชีพ เราก็ต้องเฉลี่ยการใช้จ่ายเงินให้ดีที่ผ่านมา นายกฯก็ใช้หลักการเหล่านี้บริหารงานมาโดยตลอด หลายอย่างก็ดีขึ้นแต่หลายอย่างก็ยังคงประสบปัญหาซึ่งมันขึ้นอยู่กับสถานการณ์โดยรอบด้วย ที่จำเป็นต้องพูดในวันนี้ เพราะเกรงว่าถ้าไม่พูดก็จะเกิดไปกันเรื่อย วิพากษ์วิจารณ์กันไปเรื่อยๆ ซึ่งผมก็ได้ตัดสินใจแล้ว อย่างไรก็ตาม ก็ต้องขอขอบคุณพรรคพลังประชารัฐในการสนับสนุนให้ผมเป็นนายกรัฐมนตรีในครั้งที่ผ่านมา เราไม่ใช่ศัตรูกัน” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามถึงสถานการณ์ภายในสภาที่ยังไม่สามารถที่จะพิจารณากฎหมายต่อไปได้จะแก้ปัญหาอย่างไร พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า เรื่องนี้ นายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร ได้พูดไปแล้ว ว่าเป็นเรื่องของ ส.ส. ซึ่งในชวนได้พูดแล้วว่า ส.ส. ที่มาอยู่ในสภากรุณาแสดงตนด้วย ถ้ามาแล้วไม่แสดงตนไม่ออกเสียงไม่ลงมติแล้วจะหมายความว่าอย่างไร ท่านได้ทำหน้าที่ของพวกท่านหรือเปล่า แล้วต้นจะไปบังคับเขาได้หรือไม่ล่ะ ในเมื่อตนก็ได้ขอร้องกันไปแล้วทั้งหัวหน้าพรรคก็ฝากไปแล้ว วิปรัฐบาล ก็พยายามไปเชื่อมต่อกับเว็บของแต่ละพรรคทั้งฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาล แต่ปัญหาก็ยังคงเกิดขึ้นอีก ดังนั้น สิ่งสำคัญที่สุด คือ การที่พวกท่านได้กล่าวว่าตนเองเป็น ส.ส. ได้รับการเลือกตั้งมาจากประชาชนก็ต้องทำหน้าที่ของท่าน เมื่อไหร่ที่ท่านทำหน้าที่ก็ต้องเข้าไปในสภา แต่ถ้าเข้าไปแล้วไม่แสดงตนจะเข้าไปทำไม ขอให้มองกันแบบนี้
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวอีกว่า งานหลักของตนคือดูแลชาติ ศาสน์ กษัตริย์ และประชาชน นี่คืองานหลักของตน ไม่ว่าตนจะเป็นอะไรก็ตามต้องทำตรงนี้ให้ได้ นั่นคือ หน้าที่ของตนในการยืนอยู่ตรงนี้ ตนเคยบอกตั้งแต่แรกแล้วว่า ที่ตนเข้ามาด้วยเหตุผลอะไร ความจำเป็นมันคืออะไร ทุกคนก็ทราบกันอยู่แล้ว และลืมไปหมดแล้ว ขณะเดียวกัน ก็มีคนมาพูดจา เสียหายมาตำหนิตนเรื่องโน้นเรื่องนี้ ตนลืมไปหมดแล้วว่าท่านทำความเสียหายอะไรไปแล้วบ้าง แล้วตนเข้ามาแก้ไขปัญหาทุกอย่างให้มันดีขึ้น แต่ก็ยังมีปัญหาอยู่ด้วยความเข้าใจ ด้วยการเจริญเติบโตทางเทคโนโยีดิจิทัลต่างๆทำให้หลายๆ อย่างควบคุมลำบาก ถ้าเราใช้อะไรที่เด็ดขาดเกินไปก็ลำบากเหมือนกัน ที่สำคัญในวันนี้มากกว่าการเลือกตั้งทำอะไรให้ประชาชนของเรามีความรักความสามัคคี จริงๆแล้วนายกฯให้ความสำคัญในเรื่องนี้มาโดยตลอด ไม่ว่าจะเรื่องในสถานศึกษา เรื่องการบูลลี่ เรื่องของการบิดเบือนอะไรต่างๆ ก็ต้องไปดูว่าใครที่เป็นคนทำ แล้วมาจากไหน ต้นตอมาจากใคร สิ่งนี้มันอันตรายที่สุดเลยในการศึกษาครูมีหน้าที่ทำให้ผ้าสีขาวผืนนี้เป็นผ้าขาวที่บริสุทธิ์ เพราะเด็กเหล่านี้เป็นคนบริสุทธิ์ ภูมิต้านทานต่างๆอาจจะน้อย เชื่อง่าย เป็นสิ่งที่โลกปัจจุบันเป็นแบบนี้อยู่
นายกฯ กล่าวว่า เพราะฉะนั้นเราต้องสอนคนให้มีหลักคิดตั้งแต่เด็ก ให้รู้จักหน้าที่มีวินัย ใฝ่การเรียนรู้ เวลานี้คือเวลาศึกษาเล่าเรียน เพราะฉะนั้นครูมีบทบาทสำคัญ ที่ผ่านมา ไม่ใช่ว่าเราไม่ใส่ใจในเรื่องเหล่านี้ มีการตรวจสอบ มีการดำเนินคดี มีการสอบสวนอะไรต่างๆเยอะแยะไปหมด ซึ่งประการหนึ่งก็คือเราก็ต้องระมัดระวังไม่ให้อะไรบานปลายไป ฉะนั้น วันนี้อยากจะขอไปยังสถานศึกษา ครู อาจารย์ ซึ่งเท่าที่เรามีข้อมูลจากฝ่ายความมั่นคงก็มีอยู่หลายท่านด้วยกัน
“ผมขอเถอะครับ ผมขอเถอะในการที่เราจะเปลี่ยนแปลงประเทศของเรา ไม่ใช่เปลี่ยนความคิดให้คนไม่มีความรับผิดชอบ ให้คนไม่เคารพครอบครัว ให้คนไม่เคารพครูบาอาจารย์ไม่เคารพกฎหมายอะไรเลย สิ่งต่างๆ เหล่านี้เป็นสิ่งที่อันตรายที่สุด ถึงท่านจะชนะไปท่านก็จะได้ประเทศที่เสียหาย ที่มันแตกเป็นชิ้นๆ แล้วท่านจะมาประสานรอยร้าวกลับมาได้อย่างไร ผมขอร้องเถอะครับ หยุดกันเถอะครับ ไม่อย่างนั้นรัฐบาลจำเป็นต้องใช้กฎหมาย ที่ผ่านมา ก็ใช้กฎหมาย แต่กลไกทางกฎหมายมีกระบวนการของเขา เพราะฉะนั้นจะเห็นได้ว่าเมื่อมีการลงโทษ มีการประกันอะไรต่างๆผมไปยุ่งเกี่ยวอะไรไม่ได้ เป็นเรื่องของศาล เรื่องอัยการ แต่สิ่งสำคัญที่สุดก็คือถ้าเราร่วมมือกัน เราสร้างพลังประชาชนออกมาว่าอย่าทำกันได้ไหม ผมว่าคนที่คิดแบบผมมีเยอะ แต่อาจจะไม่ค่อยกล้าแสดงออกมา เพราะถือว่าไม่อยากทะเลาะด้วยอะไรกับคนพวกนี้ แต่คนพวกนี้ก็เหิมเกริม ทำขึ้นมามากขึ้นเรื่อยๆโดยที่ไม่ได้เกรงกลัวอะไรเลย อันนี้เป็นส่ิงที่อันตรายที่สุด กฎหมายมันก็ไม่เป็นกฎหมาย ผมเลยจำเป็นต้องย้ำไป”
นายกฯ กล่าวว่า จริงๆ แล้วก็ทำมาตลอด ก็จะเห็นว่ามีความอดทนหลายประการด้วยกันเรียกมาอบรม เรียกมาให้โอกาส เรียกมาให้ปรับปรุงตัว ซึ่งวันนี้บางคนมันเกินเลยไปแล้ว หลายคนก็กลับมา หลายคนก็เข้าใจ หลายคนก็เปลี่ยนแปลงตัวเองไปเยอะแล้วพอสมควร แต่ส่วนหนึ่งมันอยู่ที่คนอยู่เบื้องหลัง ซึ่งตนก็ไม่ได้ไปขู่อะไรใคร เพียงแต่ก็ระมัดระวังก็แล้วกัน การทำอะไรก็ตามที่ผิดกฎหมาย ซึ่งตนก็อยู่ได้แค่ต้นทาง คือการที่ประชาชนร้องทุกข์ กล่าวโทษ แจ้งความ ก็แค่นั้นเองตำรวจก็ทำคดี แต่ละคดีไม่ได้ทำง่ายๆต้องมีหลักฐาน มีทั้งวัตถุพยาน พยานบุคคล เยอะแยะมากมายกว่าจะทำแต่ละคดี มันเป็นการเพิ่มภาระมากมาย ซึ่งทำเยอะ มีการส่งขึ้นไปอัยการ ขึ้นไปศาล ก็มีการต่อสู้คดี เยอะแยะหมดที่ผ่านมา แล้วเราจะปล่อยให้ส่ิงนี้เกิดขึ้นอีกเหรอ ตนเป็นห่วงตรงนี้เท่านั้นเอง
นายกฯ กล่าวว่า ตนไม่ได้ต้องการอำนาจ ไม่ได้ต้องการอะไรเลยสักอย่าง อำนาจมันต้องมาพร้อมความรับผิดชอบ แล้ววันนี้โลกเปลี่ยน ฉะนั้น การใช้อำนาจต้องใช้อย่างระมัดระวัง ไม่ใช่นึกจะทำอะไรก็ทำได้ ทุกอย่างตนดูแลทั้งหมด ทั้งเรื่องงบประมาณ แผนงานโครงการ เพราะตนเป็นผู้กำหนดนโยบาย และให้มีการตรวจสอบ เมื่อตรวจสอบแล้วก็นำสู่คณะรัฐมนตรี (ครม.) ทุกกระทรวงต้องผ่านตนทั้งสิ้น จะเห็นว่า ตนไม่ได้ไปกีดกันใคร และทำให้เกิดความก้าวหน้าของประเทศมากมายในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ไม่ใช่ว่าพรรคนี้ให้ พรรคนั้นตนไม่ให้ พรรคนั้นให้มากกว่าพรรคนี้ ไม่ใช่ ทุกอย่างมีนโยบายไว้อยู่แล้ว ยุทธศาสตร์ชาติก็มีอยู่แล้ว ถ้ามีเงินพอ มีกระบวนการที่ถูกต้องก็ทำไปหลักการของตนคือตรงนี้ ตนไม่ได้เป็นศัตรูกับใคร ไม่ว่าจะฝ่ายค้าน ฝ่ายรัฐบาล ก็จะเห็นว่า ทุกกระทรวงมีผลงานหมด แล้วมันไม่เกี่ยวกับตนเลยเหรอ ก็ตนเป็นคนเร่ิมนโยบาย ตนเป็นคนกำหนดกรอบ และอนุมัติงบประมาณโดยนำเข้าครม.พิจารณาในการคณะกรรมการ ตนไม่ได้ตัดสินใจคนเดียว ตนไม่ได้สั่งทำนี้ทำโน้น ตนสั่งอย่างนั้นไม่ได้ ไม่อย่างนั้นจะเกิดข้อครหาเหมือนที่ผ่านมา เพราะฉะนั้นอำนาจตนมันไม่ได้มากมาย ตนใช้เพียงแต่อำนาจตามกฎหมาย อำนาจตามระเบียบปฏิบัติต่างๆ กรรมการต่างๆ มีการคัดกรอง บางอย่างอยู่ในอำนาจของคณะกรรมการ ไม่ใช่อำนาจนายกฯด้วย เมื่อเขาทำผ่านมาก็ต้องรับผิดชอบ แต่ผลงานที่ออกมาตอนต้น ที่ตั้งใจไว้ทำโครงการ ทำเพื่ออะไร ทำเพื่อใคร ซึ่งคณะกรรมการมีอำนาจตัดสินใจและให้ทราบเท่านั้นเอง จึงอยากให้เข้าใจระบบงานบริหาร
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ฉะนั้น หลายคนที่ออกมาพูดนี้พูดโน้น ท่านไม่ได้พูดในเชิงบริหารกันเลยแล้วท่านจะทำได้จริงหรือเปล่า ตนห่วงตรงนี้แล้วถ้าทำไม่ได้ก็จะเกิดปัญหาอีก เรื่องความมั่นคงปลอดภัย การพัฒนาประเทศ มันก็หยุด ก็มาอยู่ท่ามกลางความขีดแย้งอีก เพราะฉะนั้นตนยืนยันว่าตนทำเพื่อประเทศไทยและร่วมมือกับทุกพรรค ในหลายพื้นที่ด้วยกัน ซึ่งท่านก็ทราบว่าหลายจังหวัดเป็นพื้นที่ของส.ส.ของฝ่ายค้าน ซึ่งตนก็ให้งบประมาณลงไป ลองไปเปรียบเทียบดูงบประมาณที่ผ่านมาหลายปีของตน เปรียบเทียบกับก่อนหน้านี้มาเหมือนกันหรือไม่ และเกิดอะไรขึ้นในแต่ละพื้นที่แต่ละจังหวัด ฉะนั้น การจะให้คนกลุ่มนั้นกลุ่มนี้มันต้องเป็นธรรม ทำไมตนถึงไม่อยากจะให้ล่ะ แต่ทั้งนี้ตนต้องระมัดระวัง งบกลางที่ตนเป็นห่วงกังวลก็ไม่ได้ใช้อย่างเละเทะ ใช้อย่างระมัดระวังที่ที่สุดแล้ว ก็ต้องระมัดระวังต่อไป เพราะเรายังมีเวลาอยู่ ที่ต้องใช้งบประมาณตรงนี้สำรอง เพื่อสถานการณ์ฉุกเฉิน งบกลางซึ่งที่ผ่านมาในการพิจารณางบกลางก็มีการตัดไปจำนวนมาก โดยเฉพาะฝ่ายความมั่นคงก็มีปัญหา ทั้งที่เป็นงบประมาณในส่วนของเขาเอง สิ่งเหล่านี้เป็นส่ิงที่เราต้องเตรียมงบประมาณให้เพียงพอ เพื่อให้งานเดินหน้าไปได้ และในช่วงที่ผ่านมาต้องอย่าลืมสถานการณ์ที่ผ่านมาสถานการณ์หนักที่สุดคือเรื่องโควิด-19 ด้านเศรษฐกิจ และวันนี้ดีขึ้นเพราะใครคนใดคนหนึ่งหรือไม่นายกฯก็เป็นผู้นำในการแก้ปัญหา ในการตั้งศบค.ขับเคลื่อนหน่วยงานต่างๆ ในการทำงาน จนถึงวันนี้
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ตนไม่ได้หมายความว่าตนเป็นคนเก่งที่สุด ไม่ใช่ แต่เป็นความรับผิดชอบร่วมกันทั้งหมด ในการขับเคลื่อน และวันนี้อยากฝากด้วยว่า กรุณาทำความเข้าใจประชาชนทั้งหมด ขอให้ได้รัฐบาลที่ดีๆเถอะ ตนไม่ได้อ้างถึงตนนะ ขอให้ได้รัฐบาลที่ดีๆ แบบที่ซื่อสัตย์สุจริตและทำในสิ่งที่เป็นไปได้ และทำในสิ่งที่ถูกต้อง ในส่วนที่ว่าจะมีคดีความอะไรต่างๆ ก็ค่อยว่ากันไปเพราะตนมีนโยบายอยู่แล้ว สั่งงานทุกครั้งเรื่องการอนุมัติต่างๆ ทุกอย่างต้องทำด้วยความสุจริตโปร่งใส เป็นธรรม เป็นไปตามระเเบียบกฎหมาย โดยเฉพาะสำนักงบประมาณ สภาพัฒน์ เป็นหน่วยงานราชการ ตนไม่อยากให้เขามาเดือดร้อนด้วย การใช้จ่ายงบประมาณต้องระมัดระวังอย่างที่สุดการจะให้อะไรต่างๆ ต้องคำนึงถึงงบประมาณสำคัญที่สุดว่าจะเอางบประมาณจากไหน ทั้งนี้ ตนไม่ว่าอะไรรายหัวเท่าโน้นเท่านี้ วันนี้เราใช้งบประมาณส่วนนี้ดูแลประชาชน เรื่องพื้นฐานเยอะมาก หลายคนบอกว่าจะรวยเท่ากันไม่ได้ มันเป็นไปไม่ได้ในโลกใบนี้ ฉะนั้น อยู่ที่การพัฒนได้อย่างไร นี้คือ ส่ิงที่รัฐบาลหน้าหรือรัฐบาลไหนใครเป็นก็ตามน่าจะต้องทำแบบนี้ ไม่สร้างภาระ
นายกฯ กล่าวว่า การที่กู้เงินมารัฐบาลอยากกู้หรือไม่ ก็เงินไม่พอ เงินไม่มี แล้วกู้มาทั้งหมดเพื่อทำอะไร เพื่อดูแลวัคซีน ยา การรักษาพยาบาล ดูแลภาคธุรกิจต่างๆเท่าที่สามารถให้ได้ ดูแลภาคธุรกิจไม่ให้ล้ม ดูแลแรงงาน ซึ่งทั้งหมดเป็นเงินที่ใช้ ตนไม่ได้มาใช้ส่วนตัวสักบาท เฉพาะฉะนั้นไม่อยากให้ฟัง และวิพากษ์วิจารณ์กันไปเรื่อยเปื่อยทุกเรื่อง เห็นใจประเทศของเรากันเองบ้าง นี้คือประเทศของเรา ถ้าเราแตกแยกกันอยู่อย่างนี้ มันไม่มีอะไรดีขึ้นเลย วันนี้ตนจำเป็นต้องพูด เพราะตนดูแล้วว่ามันแรงขึ้นทุกวัน เราต้องค่อยๆลดระดับ ลดอุหภูมิตรงนี้ให้มากที่สุด เพื่อเดินหน้าไปสู่การเลือกตั้ง
ผู้สื่อข่าวถามว่า อนาคตทางการเมืองชัดเจนแล้ว รัฐบาลจะอยู่ครบเทอมหรือจะมีการยุบสภาก่อน พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ก็เคยบอกไปแล้วว่าวันนี้ยังมีหลายอย่างหลายปัญหาที่ต้องดำเนินการอยู่ เพราะฉะนั้นก็ดูจังหวะเวลาก็แล้วกัน ยังไงก็ต้องเป็นไปตามกฎหมายนั้นแหละ รวมถึงคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) การย้ายพรรคก็ต้องดูไม่ให้มีปัญหา ซึ่งคงต้องหารือกับฝ่ายการเมืองกับพรรคใหม่อะไรด้วย และพรรคร่วมรัฐบาลด้วย
นายกฯ กล่าวอีกว่า ขณะเดียวกัน ต้องไปสู่การเลือกตั้งที่มีประสิทธิภาพ มีคุณภาพได้ ส.ส.ที่ดี ตนไม่ได้ว่าใครไม่ดี และเมื่อได้ส.ส.ดีเข้ามา ท่านก็จะฟอร์มทีมจัดตั้งรัฐบาลได้ และท่านจะได้นายกฯที่ท่านต้องการ ตนก็ไม่ได้ยืนยันว่าต้องเป็นตนตลอดไปเมื่อไหร่ ขึ้นอยู่กับประชาชนจะเลือกหรือไม่เลือกอย่างไร เพียงแต่วันนี้ไม่อยากให้โจมตีกันไปกันมาจนเสียหาย จะเห็นว่า ตนก็รักษามารยาทเต็มที่กับทุกพรรค โดยเฉพาะพรรคพลังประชารัฐ ตนก็รักษามารยาทตน เพราะเขาเสนอตนมาในครั้งที่แล้ว แต่วันนี้เขาเปิดตัวกันแล้ว ตนจึงจำเป็นต้องพูดวันนี้ เพื่อจะได้เลิกการสับสนอลม่านซักที เพื่อเดินหน้าไปสู่การเลือกตั้ง ช่วงนี้ขออย่างเดียวขอบ้านเมืองสงบ จะได้เลือกตั้งได้ ให้คนได้มีเวลาคิด ในส่ิงที่สร้างสรรค์ ในส่ิงที่เป็นไปไม่ได้ ในสิ่งที่มันควรจะเป็น นี้แหละคือปัญหาของพวกเราอย่างเดียวเท่านั้นเอง เรามีความพร้อมทุกอย่าง ถ้าเรานำพาประเทศในทางที่ถูกต้องที่มันดีงามในการที่สุจริต โปร่งใส ประเทศไทยไม่น้อยหน้าใครท้ังสิ้น หลายอย่างเราปรับแก้ไปแล้ว กรุณาให้ความสนใจด้วย ทั้งเรื่องระเบียบ วิธีการ กฎหมายต่างๆ มันถึงเกิดงานได้ แต่ก็ยังมีอีกเยอะที่ต้องทำต่อ อันนี้ถ้าตนไม่อยู่ก็ต้องฝากคนใหม่ทำไป ก็ขึ้นอยู่กับว่าเขาจะทำหรือไม่ ตนก็ไม่รู้เหมือนกัน
เมื่อถามว่า การเข้าไปอยู่พรรครวมไทยจะเป็นกรรมการบริหารพรรคด้วยหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ยังไม่ได้คิดตรงนั้น เมื่อถามว่า การเข้าไปสมัครเป็นสมาชิกยังไม่ชัดเจนใช่หรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า เดี๋ยวเขากำหนดมาเอง เมื่อถามถึงกรณีตั้งนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ เป็นเลขาธิการนายกรัฐมนตรี เพื่อมาสนับสนุนทางการเมืองใช่หรือไม่ นายกฯ ไม่เกี่ยวกัน เขาทำงานกับตนอยู่แล้ว ไม่ได้มองการเมืองอย่างเดียวหรอก