รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี เผย รัฐจ่อจัดเก็บภาษีขายหุ้น ยกเว้นบางกองทุน ปีแรก 0.195% ใกล้เคียงชาติอื่นในเอเชีย ยันคุยกับ ตลท.มานานนับปี อ้างไม่เก็บเฉพาะพวกขายได้กำไรเหตุมีความซับซ้อน บอกยกเว้นเก็บโปรกเกอร์เพื่อให้เกิดการพัฒนาและลงทุนใหม่ๆ เหมือนต่างชาติ ส่วนนักลงทุนซื้อขายเองรายใหญ่ก็ต้องเสีย
วันนี้ (3 ธ.ค.) นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตราภาษีธุรกิจเฉพาะและกำหนดกิจการที่ได้รับยกเว้นภาษีธุรกิจเฉพาะ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ซึ่งเป็นการยกเลิกการยกเว้นภาษีธุรกิจเฉพาะสำหรับการขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์ โดยกำหนดให้จัดเก็บในอัตราครึ่งหนึ่งของอัตราตามประมวลรัษฎากร
โดยการจัดเก็บภาษีขายหุ้นนั้น ปีแรกจะจัดเก็บในอัตรา 0.055% รวมภาษีท้องถิ่นแล้ว ส่วนปีถัดไปจัดเก็บในอัตรา 0.11% รวมภาษีท้องถิ่นแล้ว และเมื่อนำมารวมกับค่าธรรมเนียมการขายหุ้นในปัจจุบัน ผู้ขายหุ้นจะเสียภาษีขายรวมค่าธรรมเนียม ปีแรกในอัตรา 0.195% ส่วนปีถัดไปในอัตรา 0.22% ถือว่าใกล้เคียงกับภูมิภาคเอเชีย และต่ำกว่าตลาดหุ้นหลัก เช่น ฮ่องกงจัดเก็บในอัตรา 0.38% มาเลเซีย 0.29% และ สิงคโปร์ 0.20% ซึ่งใกล้เคียงกับประเทศไทย โดยหลายๆ ประเทศ จัดเก็บอัตราเดียวกันหมด ยกเว้นสหรัฐอเมริกา ที่จัดเก็บภาษีหุ้นจากกำไรการขายหุ้น (Capital Gains) ทั้งนี้ กระทรวงการคลังได้มีการหารือเรื่องการจัดเก็บภาษีขายหุ้นร่วมกับตลาดหลักทรัพย์ และสภาตลาดทุนไทย มานานกว่า 1 ปีแล้ว ซึ่งวันนี้ก็ได้มีการผ่อนคลายโดยการยกเว้นเรื่องกองทุนต่างๆ ให้ รวมถึงการลดอัตราภาษีให้ในระยะแรก
รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การจัดเก็บภาษีขายหุ้นนั้น ไม่ได้จัดเก็บทันที ยังมีเวลาให้ตลาดหุ้นปรับตัวเนื่องจากกฎหมายยังอยู่ในขั้นตอนการตรวจพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และเมื่อประกาศในราชกิจจานุเบกษาครบ 3 เดือน หรือ 90 วัน จึงจะมีผลบังคับใช้ ดังนั้น ผู้ขายหุ้นยังมีเวลาปรับตัวและทำความเข้าใจเกี่ยวกับภาษีขายหุ้น โดยกระทรวงการคลังยืนยันว่าไม่ได้นำแนวทางการจัดเก็บภาษีจากกำไรขายหุ้นมาใช้ เนื่องจากมีความซับซ้อน และหลายๆ ประเทศก็ไม่ได้นำมาใช้ โดยมีข้อยกเว้นการจัดเก็บภาษีขายหุ้น เช่น กองทุนประกันสังคม กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ และกองทุนการออมแห่งชาติ
“ทั้งนี้ กระทรวงการคลังได้พิจารณาแล้วเห็นว่า การยกเว้นภาษีสำหรับการขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์ ได้ดำเนินการมาเป็นเวลากว่า 30-40 ปีแล้ว และปัจจุบันตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยได้เติบโตขึ้นอย่างมาก โดยมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Market Capitalization) เพิ่มขึ้นถึง 22 เท่าจาก 30 ปีก่อน จึงเห็นควรยกเลิกการยกเว้นภาษีธุรกิจเฉพาะสำหรับการขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์” รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี กล่าว
นายอนุชา กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ ตามที่ได้มีการนำเสนอข่าวการเก็บภาษีหุ้น ว่าจะมีการยกเว้นภาษีให้นักลงทุนรายใหญ่นั้น เป็นการนำเสนอข่าวที่คลาดเคลื่อน ทั้งนี้ การเก็บภาษีขายหุ้น มิได้ยกเว้นภาษีให้แก่นักลงทุนรายใหญ่ แต่ยกเว้นภาษีให้แก่ผู้ดูแลสภาพคล่อง (Market Maker) กับกองทุนบำนาญ ซึ่ง Market Maker คือ บริษัทหลักทรัพย์ (Broker) ที่ขึ้นทะเบียนกับตลาดหลักทรัพย์ ทำหน้าที่เป็นผู้ดูแลสภาพคล่องในตลาดให้มีความต่อเนื่อง เพื่อให้เกิดการพัฒนาและซื้อขายผลิตภัณฑ์การลงทุนใหม่ๆ ในตลาดหลักทรัพย์ฯ จึงกำหนดให้มีการยกเว้นให้ Market Maker เช่นเดียวกับต่างประเทศ อาทิ อังกฤษ ฮ่องกง ฝรั่งเศส อิตาลี ทั้งนี้ สำหรับนักลงทุนรายใหญ่ ไม่ว่าบุคคลธรรมดา นักลงทุนสถาบันที่ไม่ใช่กองทุนบำนาญ หรือบริษัทหลักทรัพย์ที่ทำหน้าที่ซื้อขายในบัญชีบริษัทหลักทรัพย์เองตามคำสั่งของผู้ถือหุ้น (ไม่ใช่บัญชี Market Maker) ไม่ได้รับยกเว้นภาษีแต่อย่างใด