xs
xsm
sm
md
lg

ปรับ ครม.สูตรแบ่งครึ่ง “บิ๊กตู่” ลากยาว!?

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา - ธนกร วังบุญคงชนะ - สุนทร ปานแสงทอง - นริศ ขำนุรักษ์
เมืองไทย 360 องศา


เห็นรายชื่อรัฐมนตรีหน้าใหม่จำนวน 3 ท่าน ที่เพิ่งได้รับการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งลงมา เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา อันประกอบด้วย นายธนกร วังบุญคงชนะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายสุนทร ปานแสงทอง รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และ นายนริศ ขานุรักษ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย


โดยสองคนแรกเป็นรัฐมนตรีจากพรรคพลังประชารัฐ และคนที่สาม มาจากพรรคประชาธิปัตย์ อย่างไรก็ดี หากพิจารณาจากรายชื่อแล้ว ย่อมมองเห็นว่า เป็นการปรับคณะรัฐมนตรีเพื่อหวังผลในทางการเมือง โดยเฉพาะในเรื่องของการเลือกตั้งที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า รวมไปถึงการ “แบ่งโควตา” ในแบบ “ครึ่งครึ่ง” ของสองลุง คือ ลุงตู่ กับ ลุงป้อม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รวมไปถึงเรื่อง “การตอบแทน” เพื่อสกัดกั้นเลือดไหลออก

แน่นอนว่า สำหรับพรรคประชาธิปัตย์ ที่เสนอชื่อ นายนริศ ขำนุรักษ์ ส.ส.พัทลุง มาเป็นรมช.มหาดไทย แทน นายนิพนธ์ บุญญามณี ที่ลาออกไปหลังจากถูกฟ้องดำเนินคดีอาญา ย่อมหวังผลทางการเมือง อย่างน้อยก็ในพื้นที่ และการเมืองในภาคใต้ที่กำลังแข่งขันกันหนัก และภาพที่ปรากฏออกมาย่อมอธิบายได้ชัดเจนในตัวอยู่แล้ว

อย่างไรก็ดี หากแยกโฟกัสเฉพาะรายชื่อรัฐมนตรีจากพรรคพลังประชารัฐ จำนวน 2 รายชื่อ คือ นายธนกร วังบุญคงชนะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และ นายสุนทร ปานแสงทอง รมช.เกษตรและสหกรณ์ โดยหากพิจารณาจาก “แบ็กกราวด์” ของทั้งคู่ ก็ยังมีรายละเอียดแยกย่อยออกมาอีก โดย นายธนกร ซึ่งเดิมอยู่ในกลุ่ม “สามมิตร” แต่ระยะหลังมีความใกล้ชิดกับพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม มากเป็นพิเศษ เคยดึงมาเป็นโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ก่อนที่จะลาออกไปหลังจากเลื่อนขึ้นมาเป็น ส.ส.บัญชีรายชื่อของพรรค แต่ก็ยังทำให้หน้าที่ชี้แจง แก้ต่างให้กับนายกรัฐมนตรีอยู่เสมอ รวมไปถึงการติดตามนายกฯ อยู่ตลอดเวลา และก่อนหน้านี้ ก็เคยมีรายงานข่าวข่าวว่าจะได้รับการแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ หากมีการปรับ ครม. ซึ่งในที่สุดก็เป็นไปตามนั้น

นอกเหนือจากนี้ ในช่วงสามสี่วันที่ผ่านมา ยังมีรายงานอีกว่า นายธนกร วังบุญคงชนะ ยังนำ ส.ส.ภาคใต้ จากพรรคพลังประชารัฐ จำนวนหนึ่งเข้าพบ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่บ้านพัก พร้อมกับ นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ที่พา ส.ส.ในกลุ่มเข้าพบเช่นเดียวกัน โดยมี นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ที่ปรึกษานายกฯ และหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ ซึ่งเชื่อว่า พล.อ.ประยุทธ์ จะไปสังกัด และเป็นแคนดิเดตนายกฯในบัญชีของพรรค สำหรับการเลือกตั้งครั้งหน้าอีกด้วย

ส่วนอีกรายชื่อหนึ่ง คือ นายสุนทร ปานแสงทอง รมช.เกษตรและสหกรณ์ รัฐมนตรีใหม่ป้ายแดง ที่สังกัด “กลุ่มสมุทรปราการก้าวหน้า” แม้ว่าไม่ได้เป็น ส.ส. เคยเป็นรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสมุทรปราการ ซึ่งกลุ่มนี้มี ส.ส.อยู่จำนวน 6 คน แยกเป็น ส.ส.เขตจำนวน 5 คน

นายต่อศักดิ์ อัศวเหม ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ให้สัมภาษณ์ถึงจุดยืนของ ส.ส.กลุ่มสมุทรปราการก้าวหน้า ภายใน พปชร.ขณะนี้ ว่า ส.ส.กลุ่มสมุทรปราการก้าวหน้า มี 6 คน เเบ่งเป็น ส.ส.เขตสมุทรปราการ พปชร. 5 คน รวมกับตน ที่เป็น ส.ส.บัญชีรายชื่อ อีก 1 คน ส่วน น.ส.ไพลิน เทียนสุวรรณ ส.ส.สมุทรปราการ พปชร. ไม่ได้อยู่กับกลุ่มสมุทรปราการก้าวหน้า ตั้งแต่แรก เขาอยู่ตรงข้ามเราในฝั่งการเมืองท้องถิ่น ณ ปัจจุบันเขาไปกับ นายสุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงงาน จุดยืนเรา 6 คน แสดงออกชัดเจน เลือกอยู่กับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ ในฐานะหัวหน้าพรรคพปชร. เพราะที่ผ่านมา พล.อ.ประวิตร เมตตาพวกเรามาก ทั้งๆ ที่เราเองไม่เคยเรียกร้องตำแหน่ง และ พล.อ.ประวิตร ลุยลงพื้นที่สมุทรปราการตลอด

เเม้ว่าที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และ รมว.กลาโหม รวมถึง พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย ท่านก็เคยลงมา แต่ว่าเราก็ไม่ได้ใกล้ชิดกับพวกท่าน มากเท่า พล.อ.ประวิตร บอกก่อน เราไม่เคยมีปัญหากับผู้ใหญ่ เคารพนายกฯเช่นกัน แต่ในแง่การทำงาน พล.อ.ประวิตร เป็นหัวหน้าพรรค เราเป็นส.ส.ในกลุ่มเดียวกันที่ทำงานเหนียวแน่น เราไม่อยู่มุ้งนั้นมุ้งนี้ เราอยู่ตรงนี้มาตลอด พล.อ.ประวิตร เมตตาพวกเรา ก็เท่านั้นเอง

ก่อนหน้านี้ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ เคยรับปากเอาไว้ขณะลงพื้นที่ จ.สมุทรปราการ เมื่อครั้งเป็นรักษาราชการนายกรัฐมนตรี ว่า หากมีการปรับ ครม. กลุ่มปากน้ำต้องมีตำแหน่งรัฐมนตรี ซึ่งที่ผ่านมาหากจำกันได้กลุ่ม ส.ส.กลุ่มนี้ เคยโหวตไม่ไว้วางใจ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทยมาแล้ว โดยพวกเขาเคยมีการเคลื่อนไหวกดดันให้มีการเปลี่ยนตัว และต้องการให้ พล.อ.ประวิตร มาดำรงตำแหน่ง มท.1 แทน เนื่องจากมีผลต่อการเลือกตั้ง

ดังนั้น หากพิจารณาจากภาพที่ปรากฏ และแยกโฟกัสเฉพาะภายในพรรคพลังประชารัฐ และระหว่างสองลุง คือ “ลุงตู่” กับ “ลุงป้อม” มันก็เหมือนกับ “สูตรคนละครึ่ง” นั่นคือ แบ่งโควตารัฐมนตรีฝ่ายละคน นั่นคือกลุ่ม “สมุทรปราการก้าวหน้า” และ “กลุ่ม ส.ส.ภาคใต้” กลุ่มใหม่ ที่จะย้ายไปสังกัดพรรครวมไทยสร้างชาติ

อย่างไรก็ดี สำหรับ “ลุงป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ งานนี้ถือว่าป้องกันไม่ให้เลือดไหลออกเพิ่มเติม เป็นการรั้งเอาไว้ให้ได้มากที่สุด ขณะที่ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ถือว่ารุกคืบเข้ามาเรื่อยๆ อย่างน้อยจากการปรับครม.คราวนี้ แสดงให้เห็นถึงความพยายามในการ “รุกคืบในภาคใต้” จากการ “อัปเกรด” นายธนกร วังบุญคงชนะ ขึ้นมาเป็นรัฐมนตรี และเป็นหนึ่งในขุนพลภาคใต้ ที่มีการดึงมาได้แล้วอย่างน้อย 4 คน ทั้งใน จ.นครศรีธรรมราช และสงขลา และเวลาที่เหลืออยู่ของการเป็นรัฐบาล ก็น่าจะทำให้สนามภาคใต้เข้มข้นขึ้นไปอีก เพราะเป็นพื้นที่ที่มีแนวโน้มแข่งขันกันรุนแรง ไม่เว้นแม้แต่พรรคพลังประชารัฐ กับพรรครวมไทยสร้างชาติ และอีกหลายพรรคต้องการยึดพื้นที่ หรือรักษาพื้นที่เดิมเอาไว้

นอกเหนือจากสนามเลือกตั้งภาคใต้แล้ว ยังต้องจับตาสนามเลือกตั้งภาคอีสาน โดยเฉพาะการ “แย่งชิงมวลชน” ที่เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา พรรครวมไทยสร้างชาติ นำโดย นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ลงพื้นที่ จ.อุดรธานี และขอนแก่น และปรากฏแกนนำคนเสื้อแดงและสมาชิกจำนวนไม่น้อยมาร่วมต้อนรับ และเตรียมเปิดตัวเป็นผู้สมัคร ส.ส.ในนามพรรคอีกด้วย

และหากสังเกตให้ดีจะเห็นว่าในช่วงนี้จะเห็นการปรากฏตัวของ “แรมโบ้” นายเสกสกล อัตถาวงษ์ อดีตผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ หัวหน้าพรรคเทิดไทย มาคอยติดตาม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ระหว่างลงพื้นที่ตลอดเวลา ล่าสุด ก็ยังร่วมเดินทางไป จ.เชียงราย อีกด้วย และหากพิจารณาจากแบ็กกราวด์ ก็ไม่น่าแปลกใจเพราะเขาเคยเป็นแกนนำคนเสื้อแดง และมีภูมิลำเนาในภาคอีสาน และประกาศสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ มาตลอด ซึ่งไม่กี่วันมานี้ นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ เคยบอกใบ้ว่า “จะมีคนที่เคยร่วมงานกันมาแล้วแยกตัวออกไปจะกลับมาร่วมกันอีก” ทำให้มีความเป็นไปได้มากว่า ในที่สุดแล้ว นายเสกสกล จะมาร่วมงานกับพรรครวมไทยสร้างชาติ อีกครั้งก็ได้ หากมองจากความเคลื่อนไหว และการติดตามนายกฯในช่วงนี้ เพื่อหวังผลในด้านมวลชน และฐานเสียงในภาคอีสาน

ดังนั้น การปรับ ครม. คราวนี้ มองได้ว่า เป็นการต่อรองแบบ “คนละครึ่ง” ระหว่าง “สอง ป.” ที่แบ่งกันไป ขณะเดียวกันสำหรับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา งานนี้ชัดเจนเลยว่า “ลากยาว” ไปให้นานที่สุด แต่เชื่อว่า จะไม่ไปถึงครบวาระในวันที่ 23 มี.ค. ปีหน้า โดยจะยุบสภาเสียก่อน เพื่อให้มีเวลาย้ายพรรค 30 วัน และระหว่างนี้จะเร่งเดินสายทำคะแนนรวมทั้ง “เพิ่มพลังดูด” เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการเลือกตั้งให้มากที่สุด!!


กำลังโหลดความคิดเห็น