เมืองไทย 360 องศา
“ว่างตรงไหนก็ปรับตรงนั้น” โดยจะปรับก่อนปีใหม่ คำพูดของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ตอบคำถามเมื่อสองวันก่อน
ซึ่งคำพูดดังกล่าวของ นายกรัฐมนตรี เพื่อยืนยันถึงการปรับคณะรัฐมนตรีที่กำลังจะมีขึ้น หลังจากพรรคประชาธิปัตย์ได้เริ่มกดดันจากการส่งรายชื่อที่ผ่านมาการเห็นชอบของพรรค คือ นายนริศ ขำนุรักษ์ ส.ส.พัทลุง เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทยคนใหม่ โดยผ่านมากว่าหนึ่งเดือนแล้ว และผ่านช่วงการประชุมเอเปก ไปแล้ว
ในตอนแรกเคยรับรู้กันไปแล้วว่า การปรับคณะรัฐมนตรีที่จะเกิดขึ้นน่าจะมีการปรับแค่ตำแหน่งเดียวของพรรคประชาธิปัตย์ ในโควตารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย แทน นายนิพนธ์ บุญญามณี ที่ลาออกไปก่อนหน้านี้ ขณะที่พรรคร่วมรัฐบาลอื่นๆ โดยเฉพาะพรรคภูมิใจไทย แม้ว่าจะมีรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ นางกนกวรรณ วิลาวัลย์ จะถูกศาลสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ จากคดีบุกรุกป่าสงวนฯ แต่ทาง นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรค ก็ยืนยันแล้วว่าไม่ปรับ
ส่วนพรรคพลังประชารัฐ ที่มีเก้าอี้รัฐมนตรีว่างอยู่สองตำแหน่งนานปีกว่า หลังจากปลด ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า พ้นจากรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และ นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ จากรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน ในตอนแรกยังคิดว่าไม่น่าจะปรับ เนื่องจากเกรงว่าจะเกิดแรงกระเพื่อมภายในพรรค อาจส่งผลต่อเสถียรภาพของรัฐบาล และกระทบภาพลักษณ์ จะส่งผลในทางลบ กับการเลือกตั้งที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า
แต่พลันที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา บอกว่า “ว่างตรงไหนก็ปรับตรงนั้น” ทำให้มั่นใจว่า คราวนี้ในส่วนของพรรคพลังประชารัฐ ที่ว่างอยู่สองตำแหน่ง ก็ต้องปรับด้วย ดังนั้น เมื่อรวมกับโควตาของพรรคประชาธิปัตย์ อีกหนึ่งเก้าอี้รวมแล้วเป็นสามตำแหน่ง ซึ่งเป็นระดับรัฐมนตรีช่วยว่าการทั้งหมด
สำหรับพรรคพลังประชารัฐ สองตำแหน่งนั้น ล่าสุด มีรายงานว่า ในส่วนของรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เบื้องต้น ส.ส.กลุ่มปากน้ำ จ.สมุทรปราการ ได้รับสัญญาณได้รับโควตาดังกล่าว และส่งรายชื่อคนนอก เข้ามาในโควตารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรฯแล้ว และขณะนี้ได้ส่งเอกสารข้อมูลมายังสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เพื่อตรวจสอบคุณสมบัติ ซึ่งเป็นผู้ชาย
ส่วนอีก 1 เก้าอี้รัฐมนตรีช่วยว่าการที่ว่างลงนั้น นายกรัฐมนตรีให้อำนาจ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ พิจารณาส่งชื่อบุคคลที่เหมาะสม
สำหรับกลุ่ม ส.ส.ปากน้ำ ในพรรคพลังประชารัฐ ประกอบด้วย 1. นายกรุงศรีวิไล สุทินเผือก 2. นายฐาปกรณ์ กุลเจริญ 3. น.ส.ภริม พูลเจริญ 4. นายยงยุทธ สุวรรณบุตร 5. นายอัครวัฒน์ อัศวเหม และ 6. นายต่อศักดิ์ อัศวเหม ส.ส.บัญชีรายชื่อ ทั้งนี้ คนที่จะมารับตำแหน่งรัฐมนตรี เป็นบุคคลที่คนในพื้นที่รู้จักเป็นอย่างดี
กลุ่มปากน้ำดังกล่าว ก่อนหน้านี้ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ เคยรับปากเอาไว้ ขณะลงพื้นที่จังหวัดสมุทรปราการ เมื่อครั้งเป็นรักษาราชการนายกรัฐมนตรี ว่า หากมีการปรับคณะรัฐมนตรีกลุ่มปากน้ำต้องมีตำแหน่งรัฐมนตรี ซึ่งที่ผ่านมา หากจำกันได้ กลุ่ม ส.ส.กลุ่มนี้เคยโหวตไม่ไว้วางใจ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยมาแล้ว โดยพวกเขาเคยมีการเคลื่อนไหวกดดันให้มีการเปลี่ยนตัว และต้องการให้ พล.อ.ประวิตร มาดำรงตำแหน่ง มท.1 แทน เนื่องจากมีผลต่อการเลือกตั้ง
พวกเขาอ้างว่า ที่ผ่านมา พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ไม่มีความใกล้ชิดกับ ส.ส. เข้าถึงยาก และเสนอโครงการขอความช่วยเหลือก็มักไม่ค่อยได้รับการเหลียวแล เป็นต้น
อย่างไรก็ดี สำหรับ “บิ๊กป๊อก” พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย หนึ่งใน 3ป. ได้เคยแสดงท่าทีค่อนข้างชัดเจนว่าจะวางมือ ประกาศวางมือหลังจากจบรัฐบาลชุดนี้ โดยกล่าวที่ จ.เชียงใหม่ ระหว่างร่วมงานกับบุคลากรด้านท้องถิ่น เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า “หมดไฟแล้ว” และอีกไม่กี่เดือนก็จะกลายเป็นตาแก่คนหนึ่ง และย้ำว่า การเมืองไม่ใช่เป้าหมายของเขา
พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ยังกล่าวย้ำถึงแนวคิดวางมือทางการเมือง เมื่อถูกถามที่ทำเนียบรัฐบาล เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน ว่า ได้พูดไปแล้วก่อนหน้านี้ ไม่เข้าใจว่าจะถามอะไรอีก เมื่อถามว่าได้พูดคุยกับนายกฯ ในเรื่องนี้หรือไม่ พล.อ.อนุพงษ์ ปฏิเสธตอบคำถาม เมื่อถามว่า จะไปช่วยงานการเมืองกับนายกฯ ที่พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) หรือไม่ พล.อ.อนุพงษ์ ปฏิเสธตอบคำถาม พร้อมขึ้นรถทันที
เมื่อวกมาที่การปรับคณะรัฐมนตรีในครั้งนี้ ซึ่งมั่นใจว่าเป็นการปรับครั้งสุดท้ายในรัฐบาลชุดนี้ เนื่องจากเหลือวาระอีกประมาณสองสามเดือนเท่านั้น ขณะเดียวกัน ยังเชื่อว่า เป็นการปรับเพื่อรองรับการเลือกตั้ง และเหตุผลทางการเมืองภายในพรรคอีกด้วย นอกเหนือจากพรรคประชาธิปัตย์ในตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทยแล้ว สำหรับพรรคพลังประชารัฐ ที่มีรายงานว่า มีโควตาของ “กลุ่มปากน้ำ” ตามที่รับปากกันเอาไว้ อีกทั้งยังเป็นการ “รั้ง” ไม่ให้กลุ่ม “บ้านใหญ่” ไหลออกเพิ่มเติม
อย่างไรก็ดี ที่น่าจับตาก็คือ ในการปรับคณะรัฐมนตรีคราวนี้ จะมีเพิ่มเติมในตำแหน่งเลขาธิการนายกรัฐมนตรีด้วยหรือไม่ เนื่องจากมีรายงานข่าวว่า อาจมีการเปลี่ยนตัวจาก นายดิสทัต โหตระกิตย์ มาเป็น นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ที่ปรึกษานายกฯและหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ ซึ่งหากเป็นจริง ก็ถือว่าเป็นการหวังผลทางการเมืองค่อนข้างชัดเจน
ดังนั้น หากพิจารณาจากการปรับคณะรัฐมนตรีคราวนี้ โดยโฟกัสไปที่พรรคพลังประชารัฐที่มีรัฐมนตรีว่างอยู่สองเก้าอี้ เชื่อว่า เป็ม “เกมต่อรองของ 2ป.” อย่างลงตัว ประคองสถานการณ์ไปให้นานที่สุด ในแบบ “คนละครึ่ง” ทั้งในเรื่องตัวบุคคลที่จะมารับตำแหน่ง และหวังผลไปถึงการเลือกตั้ง ถึงได้บอกว่างานนี้ “เขี้ยว” กันทั้งคู่ !!