xs
xsm
sm
md
lg

“หมอหนู” แม่ทัพสาธารณสุข “กระชับ” อำนาจ พร้อมรบศึกนอก สยบศึกใน **“เสี่ยเฮ้ง” ทิ้ง พปชร. ไปทำภารกิจสำคัญ บอกยิ่ง “ลุงตู่” อยู่ต่อได้แค่ 2 ปี ยิ่งต้องตามไปดูแล

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ข่าวปนคน คนปนข่าว

** “หมอหนู” แม่ทัพสาธารณสุข “กระชับ” อำนาจ พร้อมรบศึกนอก สยบศึกใน

กระแสการเมืองช่วงนี้ ต้องบอกว่า แปรปรวนพอๆ กับภูมิอากาศ แต่ไม่ว่าใครจะอยู่ใครจะไปพรรคไหน ลุงจะปรับ ครม.เมื่อไหร่ อย่างไร ดูเหมือนจะไม่ส่งผลอะไรกับ “หมอหนู” อนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย รองนายกฯ และ รมว.สาธารณสุข ที่นิ่ง และยังโฟกัสกับงานในกระทรวงของตัวเองเป็นหลัก

ถามว่า กระทรวงสาธารณสุข มีดรามาและประเด็นปัญหาอะไรที่ยิ่งใหญ่กว่าการเคลื่อนไหวทางการเมืองด้วยหรือ? ก็ต้องบอกว่า มีทั้ง “ศึกนอก” และ “ศึกใน” ที่ อนุทิน ในฐานะแม่ทัพต้องบัญชา สะสาง

ว่าไปแล้วตลอดเวลามากกว่าสามปีที่ “อนุทิน” ในบทบาท “หมอหนู” ก็เอาอยู่ โดย “ศึกนอก” นั้น จะเห็นว่า กระทรวงสาธารณสุขในยุคปัจจุบัน ภายใต้การบริหารงานของ “หมอหนู” นับวันดูยิ่งจะแน่นแฟ้น ไม่ว่าจะกี่กระแสดรามา กองทัพหมอ พยาบาล ที่นำโดยหมอหนู ก็ทะลวงผ่านทุกวิกฤตด้านสุขภาพไปได้ด้วยดี อาจด้วยเพราะกำลังพลที่แข็งขัน ทำงานเป็นทีมกันอย่างจริงจัง มีความไว้วางใจต่อกัน

งานนี้ส่องลึกลงไป การจัดวางขุมกำลังในการบริหารกรมกองทั้งหลาย ตั้งแต่ “นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์” ปลัดคนใหม่ป้ายแดง ที่แสดงฝีมือให้เป็นที่ประจักษ์ในวิกฤตโควิด-19 “รองปลัด สธ.” คนที่ 5 ตำแหน่งที่ไม่เคยมีใครคิดว่าจะเกิดขึ้นได้ ก็เกิดขึ้นแล้วในยุคหมอหนู ที่ยกระดับจากกระทรวงรอง มาเป็นกระทรวงหลักของประเทศ ดูแลทุกข์สุขประชาชน ทั้งสุขภาพ เศรษฐกิจ ตลอดจนการท่องเที่ยว

อนุทิน ชาญวีรกูล
ว่ากันว่า แม่ทัพออกรบจำเป็นต้องมี “ขุนพลคู่ใจ” ฉันใด การวางตัวผู้บริหารในกระทรวง ต้องเป็นกลุ่มบุคคลที่หมอหนูไว้ใจสูงสุด ตั้งแต่ตัวปลัดกระทรวง รองปลัดกระทรวง อธิบดีกรมการแพทย์ กรมควบคุมโรค กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กรมอนามัย กรมสุขภาพจิต กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ซึ่งล่าสุด “หมอหนู” ได้วางตัวบุคคลให้มาทำงานร่วมกันอย่างสอดประสานได้เป็นอย่างดียิ่ง เรียกว่า ไร้ข้อครหา มีความเหมาะสม สะท้อนภาพชัดเจนถึงการ “กระชับอำนาจ” อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดในกระทรวงหมอ

ขณะที่ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) หนึ่งในหน่วยงานตระกูล “ส.” ที่ใครๆ ก็มองว่า เป็นไม้เบื่อไม้เมากับ สธ.มาตลอด แต่ “หมอหนู” ก็ประสานเชื่อมความร่วมมือได้อย่างอยู่หมัด คณะกรรมการ สปสช. เองก็ทำงานควบรวมกันอย่างลงตัว จนมาเป็นนโยบายขับเคลื่อนระบบสาธารณสุขอย่างที่เห็นในปัจจุบัน เพิ่มสิทธิประโยชน์ด้านสุขภาพให้กับประชาชน เพื่อการเข้าถึงบริการอย่างเท่าเทียม

ดังนั้น ทุกหน่วยงานของกระทรวง ต้องมองเห็นประโยชน์ของ “ประชาชน” เป็นที่ตั้ง หากจะนับรวม องค์การเภสัชกรรม (อภ.) สถาบันวัคซีนแห่งชาติ สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ ต่างก็รับทุกนโยบายของหมอหนูไปปรับใช้ ให้เข้ากับสถานการณ์ด้านการสาธารณสุขของประเทศอย่างมีประสิทธิภาพ

นอกจากนั้น อำนาจบริหารไปยังหัวหน้าส่วนราชการก็ไม่แผ่วลง ผู้ตรวจราชการเขตสุขภาพทั้ง 12 เขต ทำงานทุ่มเทขันแข็ง เห็นได้จากเวลาที่ “หมอหนู” เดินทางไปภารกิจราชการในพื้นที่ใด ไม่ว่าวันทำงานหรือวันหยุด ทุกคนต่างมาร่วมต้อนรับ ร่วมคณะลงพื้นที่เผชิญปัญหากับเจ้ากระทรวงไปทุกหนแห่ง ปราศจากพิธีรีตองในการต้อนรับบุคคลระดับรองนายกรัฐมนตรี เป็นอีกภาพที่คนกระทรวงสาธารณสุข ได้พบเห็นจนคุ้นเคย ดังนั้น สำหรับศึกภายนอก หมอหนูแทบหมดห่วง

นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์
ทว่า “ศึกภายใน” ที่ยังมีความคุกรุ่นมาโดยตลอด อย่างเช่น “ชมรมแพทย์ชนบท” ที่ตั้งตัวเป็นกลาง แบ่งฝั่งดีและเลว โดยให้ตัวเองเป็นคนขีดเส้น จึงไม่แปลกที่ทุกอย่างดูบิดเบี้ยวไปหมด ในยุคที่ยังมีความเรืองอำนาจ อาจเพราะอดีตรัฐมนตรีคนแล้วคนเล่า ต่างไม่กล้าปะทะกับกลุ่มแพทย์ชนบท แต่ในยุคที่เจ้ากระทรวงชื่อ “อนุทิน” ชมรมแพทย์ชนบท ต้องใช้ความพยายามอย่างมากเพื่อชิงพื้นที่ความสนใจ ปลุกปั่นทุกกระแส หาพรรคพวกเล่นงานหมอหนูและทีมงานผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข ให้อ่อนแอ โดยอาศัยพื้นที่ หมั่นโพสต์ข้อความรายวันผ่านโซเชียลเน็ตเวิร์ก แต่ดูเหมือนไม่เป็นผล เพราะไม่ว่าจะอย่างไร ก็ยังไม่สามารถทำให้หมอหนูหวั่นไหว หรือให้ความสนใจได้ แถมการกระทำของประธานชมรมแพทย์ชนบท ที่ฝีมือหน่อมแน้ม อย่าง “นพ.สุภัทร ฮาสุวรรณกิจ” ผอ.รพ.จะนะ ซึ่งยังขาดทั้งวุฒิภาวะ และบารมี ยังทำให้พี่น้องร่วมอุดมการณ์หลายคนต้องพลอยเสี่ยงได้รับความเดือดร้อนไปด้วย จนหลายคนถึงขั้นต้องโบกมือลา เพราะบารมีอันน้อยนิดและอุดมการณ์ของ “หมอสุภัทร” น่าจะเน้นไปในทางสร้างแสงให้กับตนเองมากกว่าส่วนรวม

อีกทั้งพฤติกรรมที่ส่อไปในทางที่ทำให้สังคมเคลือบแคลงใจในความโปร่งใส เช่น การเข้ามารับดูแลเรื่องโควิดในกรุงเทพฯ และการจัดซื้อ ATK ที่มีราคาสูงกว่าปกติ ก็ทำให้เกิดข้อกังขาของมวลหมู่สมาชิกกันเอง มีการพูดกันแพร่หลายในหมู่แพทย์ว่า เวลา “หมอสุภัทร” โพสต์ข้อความภายใต้ “เพจชมรมแพทย์ชนบท” นั้น อันที่จริงคือการโพสต์ของหมอสุภัทรแต่เพียงผู้เดียว ชมรมฯ ไม่ได้รู้เห็นเป็นใจอะไรด้วยเลย

ต้องบอกว่า ตลอดเวลา 3 ปีที่ “อนุทิน” นำทัพไปสู้ศึกต่างๆ ต้องยอมรับว่า กระสุนพุ่งลงหลังคาบ้านไม่เว้นวัน แต่เจ้าตัวก็ทำงานอย่างได้ใจคนในบังคับบัญชา การแอ่นอกรับกระสุนจนบางครั้งถึงขั้นเลือดสาด ก็เพื่อปกป้องให้คนทำงานได้ทำหน้าที่ของตัวเองอย่างเต็มที่ ไม่ต้องมีห่วงหรือต้องเกรงกลัวอะไร หาได้ไม่มากนัก ที่ผู้นำจะปล่อยอิสระให้คนทำงานได้ลงมือบรรเลงเอง ไม่ล้วงลูก ขอเพียงทุกอย่างต้องโปร่งใส และตรวจสอบได้ “หมอหนู” ก็พร้อมผลักดันสนับสนุนให้อย่างเต็มที่

 อนุทิน และผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข
ความหนักแน่นไม่หวั่นต่อการคุกคามใดๆ จากผู้ที่เป็นปฏิปักษ์ ทำให้ภาพของ “หมอหนู” ในกระทรวงสาธารณสุขตอนนี้ได้รับการยอมรับและเกิดความร่วมมือในการทำงานอย่างสมบูรณ์แบบ ไม่บ่อยนักที่จะมีนักการเมืองทำงานร่วมกับข้าราชการประจำได้อย่างลื่นไหลเช่นที่เกิดขึ้นในยุคนี้

“หมอหนู” ใช้กุศโลบายกระชับอำนาจให้เกิดประสิทธิภาพ ไม่ใช่เพื่อเพิ่มอำนาจให้ตัวเอง ดูแลบุคลากรสาธารณสุขอย่างทั่วถึง ผลลัพธ์ที่ได้ ทำให้กระทรวงสาธารณสุข สามารถดูแลสุขภาพประชาชนได้ในแทบทุกสถานการณ์ ได้รับการยอมรับ และชื่นชมจากต่างประเทศและองค์การอนามัยโลก ว่า ประเทศไทยมีระบบการสาธารณสุขที่เข้มแข็งเป็นลำดับต้นๆ ของโลก

“หมอหนู” ในวันนี้ดูจะมีความสุขกับงานที่กระทรวงสาธารณสุขเป็นอย่างมาก หลายคนเป็นห่วงว่า งานนี้อนุทินจะติดใจ ไม่ยอมไปที่อื่นหลังการเลือกตั้งในปีหน้า แต่ผลงานที่ได้ฝากไว้ในกระทรวงสาธารณสุขเกือบสี่ปี คงทำให้หมอหนูได้วางโรดแมป ทางการเมืองไว้อย่างรอบคอบตามสไตล์ “สบายแต่โคตรละเอียด” แล้วอย่างแน่นอน

ส่วนหลังเลือกตั้ง “หมอหนู” จะไปอยู่ตรงไหน อย่างไร อีกไม่นานก็จะรู้กัน!!

**“เสี่ยเฮ้ง” ทิ้ง พปชร. ไปทำภารกิจสำคัญ บอกยิ่ง “ลุงตู่” อยู่ต่อได้แค่ 2 ปี ยิ่งต้องตามไปดูแล

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ
เช้าวันก่อน (28 พ.ย.) หลังจาก “ลุงป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ออกมาแถลงความชัดเจนทางการเมือง ว่า ไม่ขัดข้อง หาก “ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี จะแยกทางไปอยู่พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) และถ้าจะมี ส.ส.ตามไปอยู่ด้วยก็ไม่ว่าอะไร เพราะ “พปชร.- รทสช.” เปรียบเสมือนพรรคเดียวกัน

ตกบ่าย “ลุงป้อม” ก็เรียกประชุม ส.ส.พรรค ที่มูลนิธิป่ารอยต่อฯ โดยให้ “ไพบูลย์ นิติตะวัน” รองหัวหน้าพรรค เป็นประธานการประชุม วาระหารือก็ไม่มีอะไรมาก แค่กำชับให้ ส.ส.เข้าประชุมร่วมรัฐสภา ในวันที่ 29-30 พ.ย.นี้ โดยพร้อมเพรียง

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
แต่ไฮไลต์อยู่ช่วงหลังการประชุม ที่บรรดา ส.ส.ต้องเข้าไปพบ “ลุงป้อม” ในห้องเป็นรายกลุ่ม รายบุคคล โดยในห้องลุงป้อม ก็มี “สันติ พร้อมพัฒน์” รมช.คลัง และเลขาธิการพรรค หัวหน้ากลุ่มเพชรบูรณ์ “วิรัช รัตนเศรษฐ” รองหัวหน้าพรรค หัวหน้ากลุ่มโคราช และ “นฤมล ภิญโญสินวัฒน์” เหรัญญิกพรรค นั่งอยู่ด้วย

คำถามจาก “ลุงป้อม” คือ ยังอยู่ด้วยกันใช่ไหม จะได้จัดพื้นที่ลงสมัครรับเลือกตั้งได้ถูก พร้อมให้ลงชื่อไว้เป็นหลักฐาน และเน้นย้ำ เรื่องความรัก ความสามัคคี อย่าทิ้งกัน ...กลุ่มปากน้ำ กลุ่มกำแพงเพชร กลุ่ม กทม.บางส่วน ล้วนรับคำ ส่วนส.ส.บางกลุ่มบางคน ที่คิดจะตาม “ลุงตู่” ไปก็เลี่ยงไม่เข้าพบ “ลุงป้อม” โดยแอบเดินทางกลับเลย บางกลุ่มที่พอรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น หรือไม่สะดวกใจที่จะมาเจอลุงป้อมก็ใช้วิธีลาประชุม

แต่ “เสี่ยเฮ้ง” สุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงงาน ในฐานะผู้อำนวยการพรรคพลังประชารัฐ ซึ่งประกาศตัวชัดเจนว่าจะขอตาม “ลุงตู่” ไป ถือโอกาสนี้เข้ามาลา “ลุงป้อม” และขอลาออกจากตำแหน่งผู้อำนวยการพรรคด้วย

สุชาติ ชมกลิ่น
“เสี่ยเฮ้ง” บอกว่า เมื่อตัดสินใจติดสอยห้อยตาม “ลุงตู่” ไป ก็ต้องแสดงจุดยืนให้ชัดเจน จึงเข้าไปกราบลาหัวหน้าพรรค เพื่อลาออกจากกรรมการบริหารพรรค ไปทำภารกิจสำคัญที่ตัวเองๆ ได้คิดเอาไว้ ซึ่ง “ลุงป้อม” ท่านก็เข้าใจ ก็ลูบหัว ให้พร

...จะบอกว่าใจไม่ได้อยู่กับ พปชร. ก็ไม่ใช่ เพราะยังรัก “ลุงป้อม” แต่ภารกิจที่จะไปทำนั้นมีความสำคัญ ต้องไปทำงานเพื่อประเทศชาติบ้านเมืองบางอย่าง ดังนั้น จึงต้องมาคิดว่า ไปตรงไหนแล้วทำประโยชน์ให้ได้มากที่สุด ก็ต้องไปตรงนั้น...

...ผมไม่ได้มองว่า หากไม่ได้อยู่ตรงนี้แล้วจะทำให้สอบผ่าน หรือไม่ผ่าน เป็นรัฐบาลหรือเป็นฝ่ายค้าน นั่นเป็นเรื่องอนาคต ไม่ได้สนใจ แต่สนใจเพียงว่า สิ่งที่ตัวเองทำจะต้องได้ประโยชน์ต่อประเทศชาติบ้านเมืองมากที่สุด ผมมองประชาชนและประเทศชาติเป็นหลัก...

ล่าสุด “เสี่ยเฮ้ง” โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กของตัวเองว่า มีนักข่าวถามผมว่า ... “ลุงตู่” อยู่ต่อได้อีกแค่ 2 ปี คุณสุชาติ ยังจะไปอยู่กับลุงตู่อีกเหรอ?

ผมตอบว่า...เหลือเวลาน้อยยิ่งจะต้องไป เหมือนที่เรารู้ว่า คนที่ “เรารัก” มีเวลาเหลืออยู่น้อยเต็มทีแล้ว เรายิ่งต้องดูแล ยิ่งต้องมอบความรักให้เขาอย่างเต็มที่

โอ๊ย...แฟนคลับลุงตู่ ได้ยินได้ฟังแล้วซาบซึ้ง น้ำตาจิไหล!!


กำลังโหลดความคิดเห็น