เมืองไทย 360 องศา
คำว่า “ของร้อน” ที่ว่านี่ ไม่ได้นิยามว่าบวกหรือลบ แต่เอาเป็นว่ามันมีความหมายในทาง “ร้อนแรง” ก็แล้วกัน สำหรับ “ผู้กองธรรมนัส” หรือ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ที่ไม่ว่าจะไปอยู่ที่ไหน ก็ต้องมีเรื่องให้ติดตามอยู่ตลอดเวลา เพราะไม่ว่าจะอยู่กับพรรคพลังประชารัฐ เคยเป็นเลขาธิการพรรค ที่ต้องแลกมาด้วยความขัดแย้งแตกหัก กับกลุ่ม “สามมิตร” จนทำให้ นายอนุชา นาคาศัย อดีตเลขาฯพรรคในตอนนั้น ต้องกระเด็นตกเก้าอี้ หรือแม้กระทั่งด้วย “กลเกม” ถูกขับออกจากพรรคไปสังกัดพรรคเศรษฐกิจไทย ก็ดันไป “หัก” กับพล.อ.วิชญ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา คนใกล้ชิดอีกคนหนึ่งของ “พี่ป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ จนในที่สุดยึดเก้าอี้หัวหน้าพรรคมานั่งแทน และหมางใจกับ พล.อ.วิชญ์ มาตั้งแต่นั้น
แม้ว่า ในเวลาต่อมา ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ได้ลาออกจากหัวหน้าพรรคเศรษฐกิจไทย ทำให้ต้องมีการเลือกคณะกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ไปแล้ว โดยที่ “ทีมผู้กอง” ที่ยกขบวนออกมาจากพรรคพลังประชารัฐ ไม่มีชื่อเป็นคณะกรรมการบริการพรรคเศรษฐกิจไทย แม้แต่คนเดียว ท่ามกลางข่าวคราวในตอนนั้น ว่า เตรียมที่จะย้ายกลับไปพรรคเพื่อไทยอีกครั้ง แต่หลังจากนั้นไม่นาน นายทักษิณ ชินวัตร ก็กล่าวทำนองว่า หากจะกลับมาก็มาได้ เหมือนกับสมาชิกพรรคเพื่อไทยทั่วไป ที่เคยแยกตัวออกไปแล้วไม่ได้เป็นศัตรู หรือทำลายพรรคก็ไม่มีปัญหา ซึ่งน้ำเสียงของ “เจ้าของคอก” ออกมาในโทน “ไม่ให้น้ำหนัก” แทบไม่มีราคา
อีกทั้งยังมีรายงานกระแสต่อต้านในพรรคเพื่อไทย ทั้งในเรื่อง “ภาพลักษณ์” จากการที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจเมื่อหลายเดือนก่อน ที่ ร.อ.ธรรมนัส เมื่อครั้งที่ยังเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เคยถูก “ซักฟอกเรื่องแป้ง” เป็นคดีอื้อฉาวในต่างประเทศ กลายเป็นสัญลักษณ์ติดตัว หากรับกลับมามันก็ต้องอธิบายกับสังคม อะไรประมาณนั้น
แต่ที่สำคัญก็คือ การเข้ามาของ ร.อ.ธรรมนัส ที่ต้องเข้ามาพร้อมกับทีม ส.ส.ในหลายจังหวัด ซึ่งส่วนใหญ่มีการวางตัว หรือมีการเปิดตัวไปแล้ว จะเกิดการ “ทับซ้อน” กัน ทำให้เป็นสาเหตุของแรงต้าน เพราะต้องไม่ลืมว่าผู้สมัครแต่ละคนก็ย่อมต้องมีสังกัด ประเภท “เด็กเจ๊” หรือเด็กนาย คนนั้นคนนี้ ทำให้ “ดีลลับ” ถึงขนาดที่เคยมีข่าวว่า ร.อ.ธรรมนัส เคยบินไปดูไบ มีการเปิดภาพโชว์ออกมา แต่ในที่สุดทุกอย่างก็เงียบหายไป
อย่างไรก็ดี ล่าสุด ก็มีรายงานข่าวอีกว่า ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า พร้อมกับ ส.ส.ในกลุ่มที่เวลานี้สังกัดพรรคเศรษฐกิจไทย จะหันหัวเรือกลับมายังพรรคพลังประชารัฐอีกรอบ แม้ว่าหากพิจารณาจากจำนวน ส.ส. จะมีตัวเลขเหลืออยู่กี่คนกันแน่ เพราะก่อนหน้านี้ มีการยืนยันแน่นอนแล้วว่า บางส่วนย้ายไปสังกัดพรรคภูมิใจไทย และมีการเปิดตัว ยืนยันกันแบบไม่เป็นทางการไปแล้ว
สำหรับความเคลื่อนไหวที่มีความเป็นไปได้ว่า “ทีมผู้กอง” จะหวนกลับมาที่พรรคพลังประชารัฐ ก็มาจากภาพข่าวที่มีกลุ่ม “กำแพงเพชร” ที่มี นายไผ่ ลิกค์ อดีตเลขาธิการพรรคเศรษฐกิจไทย คนใกล้ชิด ร.อ.ธรรมนัส ไปรอต้อนรับ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี หัวหน้าพรรค พร้อมกับ ส.ส.ในกลุ่มอีกราวสามสี่คน เมื่อสองสามวันก่อน ขณะลงพื้นที่ที่นั่น พร้อมกับคำพูดที่ว่า “พร้อมสนับสนุนลุงป้อม” อะไรประมาณนั้น ทำให้หลายฝ่ายมองว่า นี่คือสัญญาณการกลับมาอีกครั้ง
ขณะเดียวกัน ข่าวการกลับมาของ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า กับพวก มันก็ทำให้เกิดความเคลื่อนไหวแบบต่อเนื่องเชื่อมโยงขึ้นมาทันที โดยเฉพาะภายในพรรคพลังประชารัฐ ซึ่งอย่างที่รับรู้กันก็คือ เขาก็มี “โจทก์เก่า” ในพรรคไม่น้อยเหมือนกัน ตามรายงานข่าวความเคลื่อนไหวก่อนหน้านี้ ตั้งแต่เมื่อครั้งที่เขาก้าวขึ้นมาเป็นเลขาธิการพรรค อย่างน้อยก็กับกลุ่ม “สามมิตร” ที่มี นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม และ นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ และอดีตเลขาธิการพรรค เป็นแกนนำ รวมไปถึงกลุ่มของ นายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เลขาธิการพรรคคนปัจจุบันอีกด้วย รวมไปถึงกลุ่มของนายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นต้น
นอกจากนี้ ยังมีความเชื่อมโยงความไม่พอใจของ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เมื่อครั้งปรากฏความเคลื่อนไหวโค่นล้มในศึกซักฟอก เมื่อปีก่อน จนนำไปสู่การปลด ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า พ้นจากตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในเวลาต่อมา และข่าวความเคลื่อนไหวว่า ร.อ.ธรรมนัส หวนกลับมาสู่พรรคพลังประชารัฐอีกครั้ง ก็ทำให้มีการคาดการณ์กันว่า พล.อ.ประยุทธ์ ต้องแยกทางกับ “บิ๊กป้อม” ไปร่วมกับพรรครวมไทยสร้างชาติ ค่อนข้างแน่นอน
อีกทั้งเมื่อพิจารณาจากกลุ่มการเมืองที่มีข่าวจะย้ายตาม “บิ๊กตู่” ไปพรรครวมไทยสร้างชาติ ก็ล้วนแล้วแต่เคยเป็น “โจทก์” เก่ากับ ร.อ.ธรรมนัส มาก่อนทั้งสิ้น
อย่างไรก็ดี ที่ต้องบอกว่า ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า เป็น “ของร้อน” ก็คงไม่เกินเลย เพราะล่าสุดยังเจอผลกระทบจากคำพูดของ นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตนักการเมืองและนักธุรกิจ “จอมแฉ” มีการระบุพาดพิงชื่อ “ผู้กองคนดัง” เกี่ยวพันไปถึง “นายทุนสีเทา” ชาวจีน และคราวนี้ยังมีการเชื่อมโยงไปถึง “คนสะสมนาฬิกา” ซ้ำเข้าไปอีก มันก็ยิ่งทำให้ทุกอย่างเพิ่มดีกรีร้อนฉ่า แต่แน่นอนว่า ไม่น่าจะส่งผลในทางบวก
และแม้ว่า นาทีนี้ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า จะยังไม่มีท่าทีชัดเจน หรือประกาศออกมาว่าจะย้ายเข้าสังกัดพรรคพลังประชารัฐอีกครั้งหรือไม่ มีแต่เคยโพสต์ปฏิเสธความเกี่ยวข้องกับกลุ่มทุนสีเทาของจีน ซึ่งเชื่อว่า เพียงเรื่องนี้เรื่องเดียวก็น่าจะเหนื่อยแบบ “หัวจะปวด” อยู่แล้ว แต่ขณะเดียวกัน หากมีการเชื่อมโยงไปถึงระดับ “บิ๊ก” ในพรรค มันก็ส่งผลกระทบในวงกว้างขึ้นมาอีกรอบ รวมไปถึงหากข่าวการกลับมาเป็นความจริงก็น่าเชื่อว่าจะทำให้เกิดแรงกระเพื่อมในพรรคอีกครั้งแน่นอน
ถึงได้บอกว่า สำหรับ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า คนนี้ ถือว่า “ของร้อน” ของจริง ไปไหน รับประกันได้เลยว่า “กระฉ่อนทุกที่” !!