เมืองไทย 360 องศา
สำหรับพรรคเพื่อไทย โดยเฉพาะ “โทนี่” นายทักษิณ ชินวัตร นาทีนี้ ยังถือว่า “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม เป็นคู่แข่งสำคัญอันดับหนึ่งอยู่ต่อไป และยังเชื่อว่า การดำรงอยู่ทางการเมืองของ “บิ๊กตู่” ย่อมมีผลกระทบต่อพวกเขาอย่างแน่นอน
ล่าสุด แม้ว่ายังไม่มีคำยืนยันออกมาว่า พล.อ.ประยุทธ์ จะไปร่วมงานกับพรรครวมไทยสร้างชาติ หรือไม่ แต่เมื่อถูกถามซ้ำๆ เกี่ยวกับการสมัครเป็นสมาชิกพรรคดังกล่าวหรือไม่ โดยกล่าวว่า “กำลังพิจารณาอยู่” รวมถึงบอกว่าจะประกาศความชัดเจนหลังปีใหม่ ประกอบกับท่าทีและความเคลื่อนไหวในช่วงเวลาไม่นานก่อนหน้านี้ และต่อเนื่องกัน รวมไปถึงคำพูดของคนรอบข้างมันก็เป็นคำตอบอยู่ในตัวแล้วว่า เขาไปพรรครวมไทยสร้างชาติ แน่นอนร้อยเปอร์เซ็นต์
เมื่อวกกลับมาที่ นายทักษิณ ชินวัตร และพรรคเพื่อไทย ที่ยังมองว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นคู่แข่งหรือจะเรียกว่าเป็น “ศัตรูทางการเมือง” ก็อาจกล่าวแบบนั้นก็ได้ และเมื่อรับรู้ว่าจะไปต่อในแนวทางอย่างที่เห็น ในความเป็นจริงมันก็ย่อมหวั่นไหว และเมื่อสกัดเอาไม่อยู่แล้ว ต่อไปก็ต้องหาทาง “ดิสเครดิต” ด้อยค่าให้หนักกว่าเดิม ล่าสุด เมื่อวันอังคารที่ 22 พฤศจิกายน ก็ตามคาดเมื่อ นายทักษิณ ชินวัตร โผล่ในสื่อโชเชียลฯ “กลุ่มแคร์” เครือข่ายของตัวเองหยามหยันไม่มีดี
“ยังไงก็ต้องมีการเลือกตั้ง ถ้ายังไม่มีนะ เขาไม่เรียกว่ายื้อแล้ว เขาเรียกว่าแหกกฎหมาย ซึ่งต้องด้านสุดๆ นะถึงทำได้”
หลายคนกังวลว่าจะมีการเลือกตั้งหรือไม่ ผมว่ายื้อไม่ได้แล้ว เพราะว่ามันสิ้นสุดแล้ว ยังไงก็ต้องเลือกตั้งภายในเดือนพฤษภาคม ถ้ายังไม่มีการเลือกตั้งนะ เขาไม่เรียกว่ายื้อแล้ว เขาเรียกว่าแหกกฎหมายแล้ว ซึ่งต้องด้านสุดๆ นะถึงทำได้ อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด แต่บางครั้งมันก็ไม่ควรเกิด การที่เราอยู่ร่วมสังคม ถ้าไม่เคารพกติกาก็อยู่ร่วมกันยาก ถ้ากติกาแบบนี้ ตกลงกันแบบนี้ มันก็อยู่กันยาก หลักการต้องเป็นหลักการ
“ผมไม่เชื่อว่า เพื่อไทยจะคิดว่าจะจับมือกับใครในวันนี้ เพื่อไทยเขาคงคิดว่าจะทำยังไงให้ตัวเองได้ 280 ก่อน”
มีหลายคนพูดอยู่นั่นว่า เพื่อไทยจะจับมือคนนั้นคนนี้ อันนี้ผมมองในฐานะคนนอกมองการเมืองนะ ผมไม่เชื่อว่า เพื่อไทยจะคิดว่าจะจับมือกับใครในวันนี้ เพื่อไทยเขาคงคิดว่าจะทำยังไงให้ตัวเองได้ 280 ก่อน ถ้าถึง 280 แล้ว เพื่อไทยเขาคงค่อยคิดว่าจะเอาใครมาเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับรัฐบาล ซึ่งมีเยอะแยะ พรรคการเมืองมีตั้งหลายพรรค โดยเฉพาะพรรคที่เคยทำงานร่วมกันมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นพรรคชาติไทยพัฒนา ประชาชาติ เสรีรวมไทย ก้าวไกล อะไรพวกนี้
“นายกฯ คงย้ายไปอยู่รวมไทยสร้างชาติ พวกที่ตามไปก็คงมีกลุ่ม สุชาติ ชมกลิ่น ไม่เกิน 12 คน กับพวกประชาธิปัตย์ที่สอบตก”
ผมเดานะ ท่านนายกฯ น่าจะกำลังดูว่า แววของพรรครวมไทยสร้างชาติ ไม่รู้จะต้องสร้างใหม่ไหม ถ้ามองเห็นว่า ท่านมีโอกาสได้คะแนนเยอะ ท่านคงยุบสภาเลือกตั้งใหม่ แต่ถ้ามองเห็นว่าไม่น่าจะไหว ท่านก็คงอยู่ครบวาระ เพราะท่านไม่สามารถเอาคะแนนจากพลังประชารัฐได้ แล้วพรรคพลังประชารัฐ ของป้อม ไม่รู้จะเหลือซักกี่คน เป็นการเมืองที่น่าเหนื่อยใจแทนประเทศไทย
แต่นายกฯคงย้ายไปอยู่รวมไทยสร้างชาติ พวกที่ตามไปก็คงกลุ่มสุชาติ ชมกลิ่น ไม่เกิน 12 คน กับพวกประชาธิปัตย์ที่สอบตก เพราะเห็นว่า คะแนนภาคใต้ดี ก็คิดว่าถ้าไปรวมกับเขา เผื่อได้ฟื้นกลับมาบ้าง คนที่สอบได้จริงๆ ตามนายกฯไปอยู่คงมีไม่มากหรอก แต่จะรอดเท่าไหร่ก็ไม่รู้ ไอ้ 72 คน ที่จะไปรวมกับเขา เหลือไม่มากหรอก
ถามว่า รวมไทยสร้างชาติ จะได้ ส.ส.เท่าไหร่ ก็คงยากอยู่ เพราะส่วนใหญ่เป็นนักการเมืองหน้าเก่า แถมสอบตกอีก! นักการเมืองปัจจุบันก็มีไม่มาก ส่วนนายกฯ ก็อยู่ได้แค่ 2 ปี แล้ววันนี้นายกฯ ก็หมดเสน่ห์ไปเยอะ จะดึงได้ซักกี่คะแนนเชียว ผมยังคิดไม่ออก
จากคำพูดดังกล่าวข้างต้นของ นายทักษิณ ชินวัตร จับประเด็นหลักๆ อยู่หนึ่งถึงสองอย่าง คือ “ปรามาส” พล.อ.ประยุทธ์ ในการเข้าร่วมกับพรรครวมไทยสร้างชาติ ไม่ประสบความสำเร็จ และไม่เชื่อว่า จะมี ส.ส.ของพรรคนี้ได้รับการเลือกตั้งเข้ามามากนัก โดยเห็นว่า เป็น ส.ส.และผู้สมัครเกรดไม่ดี ส่วนใหญ่จะสอบตก
ขณะเดียวกัน นายทักษิณ ยังเชื่อว่า พรรคเพื่อไทยจะสามารถกวาด ส.ส.เข้ามาได้เกิน 280 ที่นั่ง ซึ่งจากตัวเลขดังกล่าวล่าสุดนี้ ถือว่ามีจำนวนมากขึ้นกว่าเดิมที่ก่อนหน้าที่เขาเคยคาดหมายว่ามีไม่ต่ำกว่า 250 เสียง ที่เรียกว่า “ชนะแบบแลนด์สไลด์” และยังมีการกล่าวถึงพรรคร่วมฝ่ายค้าน ที่จะดึงมาร่วมรัฐบาลเป็นครั้งแรก รวมไปถึงมีการพูดถึงพรรคก้าวไกล แต่เป็นลักษณะการพูดถึงเป็นพรรคท้ายๆ ในลักษณะที่จับอาการแล้วเหมือนกับไม่ได้ให้ความสำคัญมากนัก ไม่ใช่ลักษณะของการตั้งใจพูด
อย่างไรก็ดี เมื่อประเมินจากสถานการณ์ความเป็นจริง และแนวโน้มที่เป็นอยู่ในเวลานี้มันแทบจะมองไม่เห็นเลยว่าพรรคเพื่อไทยจะชนะแบบแลนด์สไลด์ ชนะการเลือกตั้งได้ ส.ส.มากถึง 280 เสียง เมื่อพิจารณาจาก กระแสความนิยมของพรรคเพื่อไทย เมื่อเทียบกับในยุคของพรรคไทยรักไทย เมื่อปี 48-49 ก็ไม่ได้มีกระแสโดดเด่น
ขณะเดียวกัน ยังมีกระแสความนิยมจากพรรคอื่นมาตัดคะแนนด้วยกันเอง เช่นกับพรรคก้าวไกล ที่จากผลสำรวจไล่จี้ติดกันมาแบบหายใจรดต้นคอในทุกภูมิภาค รวมไปถึงพรรคภูมิใจไทยในภาคอีสาน ที่รุกคืบเข้ามาอย่างต่อเนื่อง จากการกำกับดูแลกระทรวงสำคัญสามารถสร้างผลงานได้อย่างต่อเนื่อง
ประกอบกับเมื่อพิจารณาจากผลสำรวจอีกส่วนหนึ่งที่น่าสนใจ ก็คือ เมื่อเปรียบเทียบแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ที่เป็นตัวบุคคลก็ปรากฏว่า รายชื่อจากพรรคเพื่อไทย ที่คาดว่า จะถูกชูขึ้นมา เช่น น.ส.แพทองธาร ชินวัตร กลับมีความนิยมไม่ได้ทิ้งห่างจากคนอื่นเลย และหากโฟกัสไปที่ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กลับพบว่าทุกโพล ก็มีชื่อเขาอยู่ในระดับติดอยู่ 1 ใน 4 ทุกโพล หรือบางโพลกลับชนะมาเป็นอันดับหนึ่ง หรือ ระดับรองลงมา ก็ไม่ได้ทิ้งห่างกันนัก
เมื่อมองจากบรรยากาศและความเป็นจริงที่มีอยู่ มันจึงแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่พรรคเพื่อไทยจะชนะการเลือกตั้งในแบบแลนด์ไสลด์ แบบ 250 เสียง หรือ 280 เสียง ก็ยิ่งแทบเป็นไปไม่ได้เลย แม้ว่าทุกฝ่ายยังเห็นตรงกันว่า พรรคเพื่อไทยน่าจะได้รับชัยชนะ มีส.ส.ได้รับเลือกเข้ามามากที่สุดก็ตาม
ดังนั้น คำพูดของ นายทักษิณ ชินวัตร ในเรื่องตัวเลข ส.ส.ที่อ้างว่าจะได้รับการเลือกตั้งเกิน 280 เสียง มันก็เป็นแค่การปลุกขวัญคนในพรรคเพื่อไทยเท่านั้น ขณะเดียวกัน อีกด้านหนึ่งก็เป็นการ “ดิสเครดิต” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ถือว่าเป็นคู่แข่ง หรือศัตรูคู่อาฆาตดั้งเดิม ทำทุกทางไม่ให้เขา “รีเทิร์น” กลับมาอีกรอบ เพราะนั่นเท่ากับว่าหนทางความฝันครั้งสุดท้ายที่วาดหวังเอาไว้ว่าจะได้กลับบ้านมันก็จะจบลงทันที !!