ข่าวปนคน คนปนข่าว
**“ชูวิทย์” รุกฆาต ฟาดอาญา “สันธนะ” บวกฟ้อง 100 ล้าน งานนี้..สู้กันถึงม้วยมรณัง
อย่างที่บอกไว้มวยคู่อาฆาตระหว่าง “เฮียชู” ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ กับ “สันธนะ ประยูรรัตน์” จะสู้กันสุดซอยปลายทางสุดท้าย ไม่เราสิ้นก็เป็นท่านจบที่คุกตะราง
ว่าแล้ว “เฮียชู” ควงคู่ “อนันต์ชัย ไชยเดช” ทนายความชื่อดัง เดินขึ้นศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก เพื่อยื่นฟ้อง “สันธนะ ประยูรรัตน์” อดีตตำรวจสันติบาล ในข้อหาแจ้งความเท็จ, สร้างพยานหลักฐานเท็จ และหมิ่นประมาท พ่วงด้วยการฟ้องเป็นคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา เรียกร้องค่าเสียหายเป็นเงิน 100 ล้านบาท
เรื่องนี้ก็ต้องเท้าความจากกรณี “สันธนะ” ไปกล่าวหาว่าที่โรงแรมเดอะเดวิส คอนเนอร์วิงค์ ของบุตรชายชูวิทย์ เป็นแหล่งมั่วสุมเสพยาเสพติดของนักเที่ยว มีการสร้างพยานหลักฐานเท็จด้วยการแอบถ่าย และนำคลิปวิดีโอไปแจ้งความกับตำรวจ สน.ทองหล่อ ซึ่งพยานหลักฐานดังกล่าว ยังไม่มีความชัดเจน ส่งผลให้ชื่อเสียงของโรงแรมและชูวิทย์ เสื่อมเสียนั่นเอง
“ทนายอนันต์ชัย” บอกว่า ได้ติดตามคดีนี้มาสักระยะหนึ่ง ในช่วง ก.ค. 65 เวลานั้น ชูวิทย์ ได้ตีแผ่ “กลุ่มทุนจีนสีเทา” ที่พัวพันยาเสพติด สิ่งผิดกฎหมาย และบ่อนพนัน จนต่อมามี “ไฮโซสาวชาวจีน” เสพยาเสพติดเสียชีวิต จนกลายเป็นข่าวโด่งดัง ทำให้ “บิ๊กโจ๊ก” พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. เข้ามากำกับดูแล จากนั้น “ชูวิทย์” จึงออกมาตีแผ่อย่างต่อเนื่อง ดังนั้น คู่กรณีจึงไม่ใช่สันธนะ แต่เมื่อวันที่ 4 พ.ย. ที่ผ่านมา สันธนะ ได้ไปประกันตัว “เดวิด” ที่ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง ต่อมา วันที่ 5 พ.ย. ได้มีการไปแจ้งความที่ สน.ทองหล่อ พร้อมนำภาพวิดีโอ และกล่าวอ้างว่า โรงแรมของลูกชายเฮียชู น่าจะมีการมั่วสุมยาเสพติด และเปิดสถานบันเทิงเกินเวลา จนเป็นผลให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.ทองหล่อ เข้ามาตรวจค้น แต่กลับไม่พบสิ่งผิดกฎหมาย
“สันธนะ” ก็ยังกล่าวใส่ร้ายโรงแรมของลูกชายชูวิทย์ ตามไปก่อกวน การให้ข้อมูลกับ “บิ๊กโจ๊ก” พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ จนหวุดหวิดจะวางมวยกันตามที่โลกโซเชียลฯ เป็นพยานตามที่เห็นๆ กัน ดูยังไง “เฮียชู” ก็เสียหายกับการกล่าวหาร้ายแรงของอีกฝ่าย จึงต้องฟ้อง
งานนี้ “ชูวิทย์” บอกว่า ในชีวิตนั้นไม่เคยเป็นโจทก์ฟ้องคดีใคร เคยเป็นแต่จำเลยมาทุกคดีเพราะคิดว่าตัวเองถูกกลั่นแกล้ง ถูกกระทำมาตลอด แต่ก็เป็นเรื่องในอดีตที่ผ่านไป แล้วสิ่งที่พูดสาระสำคัญอยู่ที่ “มาเฟียจีนสีเทา” ที่กำลังกัดกินประเทศนี้ จู่ๆ “สันธนะ” อดีตตำรวจที่ถูกไล่ออกจากราชการ ก็มาที่โรงแรมของลูกชาย มาป้ายสีและไปแจ้งความ จนกระทั่งเมื่อ 2-3 วันนี้ ก็มาพูดอีกในเรื่องของสถานอาบอบนวด ซึ่งต้องบอกว่า ได้ขายทั้ง 6 แห่ง ไปตั้งแต่ปี 2546-2547 นู่น
เพราะตอนนั้น “ชูวิทย์” ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเป็น ส.ส. พรรคชาติไทย
อีกทั้ง “สันธนะ” ยังได้กล่าวถึงการจ่ายภาษี 4 พันล้าน แต่ สันธนะ ไม่รู้เรื่อง เพราะสถานอาบอบนวดของเขา ไม่มีที่ดินที่ตัวเขาเองเป็นเจ้าของ โดยใช้วิธีเช่าเอา ดังนั้น มูลค่าจริงๆ จึงไม่มี ซึ่งก็ไม่อยากตอบโต้ ก็สู้มาตลอด สู้ทางสื่อ สู้ทั้งข้างถนน สู้ไปทุกรูปแบบ แต่ สันธนะ กลับไม่สู้ อย่างนี้ต้องให้มาเจอที่ศาลดีกว่า มาสู้โดยวิธีการของกฎหมาย
ข้างฝ่ายคู่กรณีอย่าง “สันธนะ” ก็ไม่อยู่เฉย เคลื่อนไหวเดินทางไปที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก เช่นกัน หลังทราบว่า “ชูวิทย์” ฟ้องคดีอาญาเเละเรียกค่าเสียหาย 100 ล้าน โดยขอสำเนาคำฟ้องจากศาล เพื่อเป็นข้อมูลในการต่อสู้คดี และยังยืนยันว่า คลิปในโรงแรมเดวิส คอนเนอร์วิงค์ ของลูกชายชูวิทย์ เป็นคลิปเหตุการณ์จริง ไม่ได้ตัดต่อ หรือสร้างสถานการณ์แต่อย่างใด อีกทั้งยังเก็บคลิปบางส่วนไว้กับตนเอง ไม่ได้มอบให้พนักงานสอบสวนทั้งหมด เพราะไม่เชื่อมั่นในพนักงานสอบสวน ซึ่งก็พร้อมสู้คดี เพราะมั่นใจในพยานหลักฐาน
“สันธนะ” ยังบอกว่า วันนี้ (23 พ.ย) ที่ชูวิทย์จะเดินทางที่ไปรัฐสภา ตัวเขาจะไปรอพบชูวิทย์ที่รัฐสภาด้วยเช่นกัน
งานนี้ต้องบอกว่า หากมวยคู่อาฆาตนี้เผชิญหน้ากัน ชาวโซเชียลฯ เตรียมปูเสื่อรอเฝ้าหน้าจอดูความบันเทิงเรียกน้ำย่อยกันได้เลย
ขณะที่คดีความ หลัง “เฮียชู” ยื่นฟ้อง ศาลพิจารณาแล้วรับไว้เป็นคคีหมายเลขดำ อ.2892/2566 นัดไต่สวนมูลฟ้อง วันที่ 6 ก.พ. 66 เวลา 13.30 น. ส่วนนี้ต้องรอติดตามข้ามปีกันหน่อย ซึ่งแน่นอนมาถึงตรงนี้ ไม่มีใครยอมใคร สู้กันให้ม้วยมรณังกันไปข้างแน่นอน!!
**“เสี่ยเฮ้ง” ประกาศศักดิ์ศรีนักเลงเมืองชล คนลูกน้ำเค็ม จะไม่ทิ้งลุงตู่ ไปไหนไปกัน!!
การประชุมเอเปกผ่านไปด้วยความมเรียบร้อย พร้อมเสียงชื่นชมจากนานาประเทศ “ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม จึงขอดื่มด่ำอยู่ใน “บรรยากาศของความสุข” นั้นก่อน จึงยังไม่บอกถึงอนาคตทางการเมือง ว่าจะเอาไง จะพอ หรือจะไปต่อ
แต่หลายคนเชื่อว่า “ลุงตู่” ต้องไปต่อ เพราะดูจากเหตุการณ์แวดล้อม และการให้สัมภาษณ์ของผู้เกี่ยวข้องที่ใกล้ชิดกับลุงตู่แล้วฟันธงได้ว่าต้องเป็นเช่นนั้น
อย่างเช่น มีรายงานข่าวว่า เมื่อวันที่ 20 พ.ย.ที่ผ่านมา “ลุงตู่” บึ่งไปพบ “ลุงป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ที่มูลนิธิป่ารอยต่อฯ เพื่อมาบอกลาว่าจะไปทำงานการเมืองกับพรรครวมไทยสร้างชาติ ที่ “พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค” ตั้งพรรคไว้รออยู่
ทั้งยังมีรายงานข่าวว่า หลังจาก “ลุงตู่” กลับไปแล้ว “ลุงป้อม” ก็รีบต่อสายเช็กแกนนำกลุ่มต่างๆ ในพรรค ว่า มีใครที่ยังคงอยู่กับพรรค หรือใครจะไปกับลุงตู่
มีการประเมินกันว่า ถ้า “ลุงตู่” เปิดตัวชัดเจนเมื่อไร โอกาสที่จะมี ส.ส.ไหลตามไป ทั้งจากพรรคพลังประชารัฐ และพรรคประชาธิปัตย์ ทั้งเก่า ใหม่ เบ็ดเสร็จไม่ต่ำกว่า 70 คน
คนจากพรรคพลังประชารัฐ ที่ชัดเจนว่าไปแน่ ก็มี “กลุ่มเสี่ยเฮ้ง” สุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงงาน ที่รั้งตำแหน่งผู้อำนายการพรรคอยู่ ซึ่งมี ส.ส.ในมุ้ง 12 คน
ที่มั่นใจว่าไปแน่ เพราะ “เสี่ยเฮ้ง” โพสต์เฟซบุ๊ก เป็นภาพขณะยกมือไหว้ “ลุงตู่” พร้อมข้อความว่า ... ผมคนจริงใจ จิตใจนักเลง เป็นนักรบ บาดเจ็บบ้าง เป็นเรื่องธรรมชาติ ขออย่าให้ใครมานินทา ว่าเอาแต่ได้ ถึงเวลาต้องแสดงความจริงใจ “คนชลบุรี” จิตใจ นักเลงจริง สมคำว่า “นักเลงเมืองชล” ลุงตู่ ปกป้องดูแลผมมาตลอดระยะเวลาเกือบ 3 ปี จะทิ้งลุงตู่ไปคนเดียว ผมจะเอาหน้ากลับมาบ้าน ได้อย่างไร เสียชื่อคนชลบุรี หมดสิครับ...
ด้วยศักดิ์ศรีนักเลงเมืองชล คนลูกน้ำเค็ม นับว่าชัดเจน!!
ส่วนกลุ่มที่มีความใกล้ชิดกับ “ลุงตู่” อย่างกลุ่มเพชรบูรณ์ ของ “สันติ พร้อมพัฒน์” รมช.คลัง ที่รั้งตำแหน่งเลขาพรรค พปชร. และ “กลุ่มสามมิตร” ที่มี “สมศักดิ์ เทพสุทิน” รมว.ยุติธรรม “สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ” รมว.อุตสาหกรรม และ “อนุชา นาคาศัย” รัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ เป็นแกนนำ ก็กำลังรอความชัดเจนบางอย่างประกอบการตัดสินใจอยู่... โดย “อนุชา” บอกว่า “อนาคตไม่แน่นอน” ขณะที่ “สมศักดิ์” ก็บอกว่า “ขึ้นอยู่กับข้อมูลใหม่ที่กำลังเปลี่ยนแปลงไป”
นั่นคือ รอดูว่า “ลุงป้อม” จะรับ “ก๊วนผู้กองธรรมนัส” ที่ออกไปตั้งพรรคเศรษฐกิจไทย กลับมาอยู่พรรคพลังประชารัฐเหมือนเดิมหรือไม่ ซึ่งก็มีสัญญาณบอกเหตุว่า มีโอกาสสูงมาก ดูจากการที่ “ลุงป้อม” ลงพื้นที่ จ.กำแพงเพชร เมื่อสองสามวันก่อน บรรดา ส.ส.ในกลุ่มของผู้กองธรรมนัส นำโดย “ไผ่ ลิกค์” ก็ไปรอต้อนรับ และบอกแบบไม่ต้องอ้อมค้อมว่า จะขอกลับมาช่วย “ลุงป้อม” ทำงานที่พรรคพลังประชารัฐ... ขณะที่ “ลุงป้อม”ก็ตอบว่า “ถ้ากำแพงเพชรแบบนี้ ก็แฮปปี้ ชนะทั้งจังหวัด”
ดังนั้น ถ้า “ก๊วนธรรมนัส” กลับมา ก็มีโอกาสสูงที่ “กลุ่มสามมิตร” จะไปอยู่กับ “ลุงตู่” ... ส่วน “สันติ” นั้น ดูจะชัดเจนกว่า เพราะล่าสุดได้วางโปรแกรมให้ “ลุงตู่” ลงพื้นที่ จ.เพชรบูรณ์ ในวันที่ 24 พ.ย.นี้ เพื่อเป็นประธาน KICK OFF มาตรการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าว และโครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการ และพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2565/66
แผนแยกกันเดิน รวมกันตี ของลุงป้อมกับลุงตู่ ที่ค่อนข้างชัดเจนเช่นนี้ ทำเอาขั้วตรงข้าม ออกอาการหวั่นไหวเช่นกัน อย่าง “สุทิน คลังแสง” ส.ส.เพื่อไทย ประธานวิปฝ่ายค้าน บอกว่า ไม่ว่าทั้งสองคนจะอยู่รวมกัน หรือแยกจากกัน ก็มีผลทางการเมืองทั้งสิ้น ...หากไปด้วยกันอาจทำให้ฝ่ายรัฐบาลมีเอกภาพ หากไม่ไป ก็ไม่เป็นเอกภาพ... หากไม่ไปต้องดูว่าเป้าหมายของ “ลุงตู่” นั้นอยู่ตรงไหน ถ้าเป้าหมายนั้นทำไม่ทันเวลา ก็มีผลเกี่ยวกับกฎหมายลูก ฉะนั้น 2 คนนี้ มีผลทำให้การเมืองของประเทศผันผวน อาจทำให้มีการช่วงชิง หักเหลี่ยมกันในรัฐบาล แบบเล่นการเมืองกันจนแหลกลาญ...
แน่นอนว่า สิ่งที่พรรคเพื่อไทยกำลังกังวลอยู่ ก็คือ กฎหมายลูกเลือกตั้ง 2 ฉบับ ที่อยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ ว่าตราขึ้นโดยขัดรัฐธรรมนูญหรือไม่ โดยกฎหมายพรรคการเมือง จะตัดสินกันในวันที่ 23 พ.ย.นี้ ส่วนกฎหมายลูกว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. จะตัดสินในวันที่ 30 พ.ย.
หากทั้งสองฉบับไม่ขัดรัฐธรรมมนูญ ก็จะได้รับการประกาศใช้ ถึงตอนนั้นก็รอเพียงว่า เมื่อไร “ลุงตู่” จะประกาศยุบสภา แล้วไปเลือกตั้งกัน แต่ถ้ามีฉบับใดฉบับหนึ่ง โดยเฉพาะกฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. เกิดขัดรัฐธรรมนูญ คราวนี้ล่ะเกมเปลี่ยน!!