xs
xsm
sm
md
lg

“ไชยันต์” ไล่ไทม์ไลน์คนอังกฤษต่อต้านสถาบันฯ ก็ถูกจับ “อดีตรองอธิการ มธ.” ฟาด “ธนาธร” ความจริงเสี้ยวเดียว

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


ภาพ ศ.ดร.ไชยันต์ ไชยพร
ไม่แต่เฉพาะไทย! “ไชยันต์” ไล่ “ไทม์ไลน์” คนอังกฤษถูกจับ ข้อหาก่อกวนความสงบ จากการประท้วงสถาบันฯ “อดีตรองอธิการ มธ.” สุดทน “ธนาธร” ประจานไทยต่อชาวโลก พูดจริงแค่เสี้ยวเดียว จี้ “ดีอีเอส” เอาผิด
น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันที่ 11 พ.ย. 65 ศ.ดร.ไชยันต์ ไชยพร อาจารย์ภาควิชาการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว “Chaiyan Chaiyaporn” ระบุว่า

“คนอังกฤษถูกจับ ข้อหาก่อกวนความสงบจากการประท้วงสถาบันพระมหากษัตริย์”

11 กันยายน 2565
“หญิงสาววัย 22 ปี ถูกตั้งข้อหาในความผิดฐานก่อกวนความสงบสุข หลังจากถูกจับกุมที่ด้านนอกมหาวิหารเซนต์ไจลส์ ที่สกอตแลนด์ ในระหว่างพิธีประกาศให้กษัตริย์ชาร์ลส์ที่ 3 ทรงเป็นประมุขพระองค์ใหม่ โดยเธอมีกำหนดต้องขึ้นศาลในเมืองเอดินบะระในภายหลัง

ในวันเดียวกัน ไซมอน ฮิลล์ วัย 45 ปี ถูกจับกุมฐานต้องสงสัยทำความผิดฐานก่อกวนความสงบเรียบร้อยในสังคม หลังจากร้องตะโกนว่า “ใครเลือกเขามา” ในช่วงพิธีประกาศให้กษัตริย์ชาร์ลส์ที่ 3 ทรงขึ้นครองราชย์อย่างเป็นทางการที่เมืองออกซ์ฟอร์ด

9 พฤศจิกายน 2565
ตำรวจอังกฤษจับกุมชายคนหนึ่งในเมืองยอร์ก หลังพยายามปาไข่หลายฟองใส่สมเด็จพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3 ขณะเสด็จเยือนเมืองยอร์กเพื่อทรงประกอบพิธีเปิดพระบรมรูปสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2

หลังไข่พลาดเป้า มีเสียงโห่ไล่มือปา และเสียงตะโกนว่า “ขอพระเจ้าคุ้มครองพระราชา”

ฌอน ค็อกแลนด์ ผู้สื่อข่าวบีบีซีสายราชสำนัก บอกว่า เหตุการณ์ทำนองนี้สะท้อนให้เห็นถึงความสุ่มเสี่ยงที่กษัตริย์ทรงต้องเผชิญขณะมีปฏิสันถารกับประชาชน ที่ผ่านมา พระองค์ไม่ทรงถือพระองค์ ทรงยื่นพระหัตถ์ออกไปจับมือประชาชน ทรงพระสรวลกับประชาชนด้วยมุกตลก วัตรปฏิบัติที่นักการเมืองระดับสูงของประเทศแทบไม่กล้าทำ

#นักศึกษาสถาบันฯมหาวิทยาลัย

ภาพ รศ.หริรักษ์ สูตะบุตร จับโกหก “ธนาธร”
ขณะที่เมื่อวันที่ 12 พ.ย. รศ.หริรักษ์ สูตะบุตร อดีตรองอธิการบดีฝ่ายบริหารบุคคล มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Harirak Sutabutr ว่า

“เมื่อไม่กี่วันมานี้ คุณธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ได้รับเชิญไปพูดในการประชุมที่เรียกว่า Oslo Freedom Forum ที่ไต้หวัน ซึ่งคุณธนาธรได้เลือกที่จะพูดในหัวข้อ

“Why we must defend democracy” หรือทำไมเราต้องปกป้องประชาธิปไตย

Oslo Freedom Forum คือ ที่ประชุมที่จัดขึ้นครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 2009 ที่ Oslo เพื่อเป็นที่รวมตัวกันของนักกิจกรรมด้านสิทธิมนุษยชน และนักประชาธิปไตย เพื่อต่อสู้กับเผด็จการ หลังจากนั้น ก็ได้จัดขึ้นเป็นประจำทุกปี ครั้งล่าสุดจัดขึ้นที่ไต้หวัน

ผู้จัดการประชุม Oslo Freedom Forum คือ มูลนิธิสิทธิมนุษยชน (Human Rights Foundation) ซึ่งมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่ New York สหรัฐอเมริกา

แหล่งเงินทุนที่ให้การสนับสนุนมูลนิธิสิทธิมนุษยชน มาจากทั้งภาคเอกชน เช่น twitter และ Amazon เป็นต้น และยังมาจากองค์กรที่เรียกว่า Freedom Fund ซึ่งหากค้นลึกลงไปก็จะพบว่าองค์กรแห่งนี้ได้รับเงินสนับสนุนจากรัฐบาลสหรัฐอเมริกา และรัฐบาลอังกฤษ นั่นเอง

Oslo Freedom Forum ไม่ใช่เพียงจัดประชุมปีละครั้ง แต่ยังจัดกิจกรรมต่างๆ ระหว่างปีด้วย หนึ่งในกิจกรรม ก็คือ จัดอบรมวิธีการทำปฏิวัติ (ไม่ใช่รัฐประหาร) และการจัดการชุมนุม หรือจัดม็อบ การรับมือกับตำรวจควบคุมฝูงชนให้กับนักเคลื่อนไหวที่ต่อต้านรัฐบาลจากประเทศต่างๆ นักเคลื่อนไหวชาวฮ่องกงที่ชื่อนาย โจชัว หว่อง ก็เคยเข้ารับอบรมดังกล่าวนี้

การประชุมครั้งนี้ที่ไต้หวัน ยังได้มีการนำภาพของผู้นำของประเทศที่ถูกคนกลุ่มนี้ตราหน้าว่าเป็นเผด็จการมาติดผนังไว้ให้ผู้ที่เข้าร่วมประชุมเขียนอะไรก็ได้บนภาพของผู้นำเหล่านี้

คุณธนาธร ได้รับการแนะนำในวีดิโอที่ขึ้นจอก่อนที่จะเริ่มพูดว่า เป็นผู้นำฝ่ายค้าน (opposition leader) ทั้งที่ผู้นำฝ่ายค้านคือ นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ไม่ทราบว่าใครให้ข้อมูลเช่นนั้น และยังระบุว่า คุณธนาธร ถูกดำเนินคดีรุนแรงมากมาย รวมทั้งโดนคดีเนื่องจากวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล ซึ่งก็ยังนึกไม่ออกว่าเป็นคดีอะไรที่เป็นการวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล

คุณธนาธร ได้เริ่มพูดในหัวข้อข้างต้น ด้วยการกล่าวว่า

“จะตอบคำถามว่า ทำไมจึงต้องปกป้องประชาธิปไตยด้วยการตั้งคำถามว่า จะเกิดอะไรขึ้นหากประเทศสูญเสียประชาธิปไตย ซึ่งไม่ต้องไปดูที่ไหนนอกจากในประเทศของผมเอง”

คุณธนาธร ตั้งคำถามต่อว่า ในประเทศไทย ใครคือผู้ที่มีอำนาจ กองทัพ สถาบันกษัตริย์ หรือประชาชน จากนั้นจึงร่ายยาวว่า ในระยะเวลา 90 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยมีรัฐธรรมนูญกี่ฉบับ มีการทำรัฐประหารกี่ครั้ง มีนายกรัฐมนตรีกี่คน เพื่อจะบอกโดยนัยว่า อำนาจที่แท้จริงไม่เคยอยู่ในมือของประชาชน และกล่าวต่อว่า

“เมื่อใดที่ประชาชนลุกขึ้นต่อต้านเผด็จการ และเรียกร้องการเลือกตั้ง สิ่งที่พวกเขาได้รับ ก็คือ กระสุนปืน”

จากนั้นกล่าวถึงเหตุการณ์ต่างๆ ทางการเมือง เริ่มจากเหตุการณ์ 14 ตุลา 16 เหตุการณ์ 6 ตุลา 19 และเหตุการณ์พฤษภาทมิฬว่ามีคนเสียชีวิตกี่คน และกล่าวถึงเหตุการณ์สลายการชุมนุมของคนเสื้อแดงในเดือนพฤษภาคม 2553 ว่า ผู้ชุมนุมถูกยิงเสียชีวิตกลางวันแสกๆ 99 คน เพียงเพราะพวกเขาเรียกร้องให้มีการเลือกตั้งใหม่ และไม่มีนายพลคนไหนต้องรับผิดชอบต่อการที่มีผู้เสียชีวิตครั้งนี้

คุณธนาธร ไม่ได้บอกเลยว่า รัฐบาลในขณะนั้นคือ รัฐบาลคุณอภิสิทธิ์ เป็นรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ไม่ใช่รัฐบาลเผด็จการ ไม่ได้บอกเลยว่า ผู้ชุมนุมมีอาวุธหรือไม่ และมีการยิงต่อสู้กันหรือไม่ ไม่ได้บอกเลยว่า ฝ่ายเจ้าหน้าที่เองก็บาดเจ็บ และเสียชีวิตกี่คน และยิ่งไม่ได้บอกเลยว่ามีการเผาสถานที่ต่างๆ ใน กทม ไปกี่แห่ง เผาศาลากลางในจังหวัดต่างๆ ไปกี่แห่ง

เมื่อได้วาดภาพประเทศไทยจนเป็นประเทศที่เป็นบ้านป่าเมืองเถื่อนแล้ว ก็เริ่มพูดถึงตนเองว่า ด้วยความหมดหวังกับประเทศไทย จึงตั้งพรรคการเมืองขึ้น เพราะเชื่อว่าคนไทยควรได้รับสิ่งที่ดีกว่านี้ และพรรคตนเองได้รับเลือกตั้งเป็นอันดับที่ 3 ตนเองได้รับการเสนอชื่อจากพรรคที่สนับสนุนประชาธิปไตยให้เป็นนายกรัฐมนตรี แข่งกับ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา แต่ถูกปฏิเสธโดยคณะกรรมการเลือกตั้ง และวุฒิสมาชิก ซึ่งรัฐบาลทหารเป็นผู้แต่งตั้งเข้ามาทั้งสิ้น ตนเองไม่มีโอกาสแม้แต่จะเข้าสภา เพราะถูกเพิกถอนจากการเป็น ส.ส. โดยคณะกรรมการเลือกตั้ง ต่อมาพรรคการเมืองที่ตั้งขึ้นก็ถูกยุบโดยการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งตุลาการศาลรัฐธรรนูญก็ได้รับการแต่งตั้งโดยรัฐบาลทหารทั้งหมดเช่นกัน

หลังจากนั้น คุณธนาธร ยังพูดถึงตนเองต่อไปว่า ตนเองถูกดำเนินคดีทางอาญามากมายหลายคดี รวมทั้งคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ และไม่รู้ว่าตนเองจะโดนตัดสินลงโทษเมื่อใด ไม่เพียงแต่ตนเอง พวกเขายังตามเล่นงานครอบครัว และคนที่ตนเองรัก ตัวอย่างเช่น หลานสาวอายุ 17 ก็ถูกดำเนินคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ

น่าสังเกตว่า การที่คุณธนาธรพูดว่าตัวเองถูกดำเนินคดีต่างๆ มากมาย คุณธนาธรพูดประหนึ่งว่าตัวเองไม่ได้ทำอะไรเลย นั่งอยู่เฉยๆ ก็ถูกดำเนินคดี แม้เรื่องถูกเพิกถอนจากการเป็น ส.ส. ซึ่งใครก็รู้ว่าเพราะเรื่องถือหุ้นในบริษัทที่เกี่ยวกับสื่อ ซึ่งขัดต่อกฎหมายเลือกตั้ง แต่คุณธนาธรไม่เคยบอกเลยว่าตัวเองทำอะไรผิดหรือไม่แต่อย่างใด เช่นเดียวกับเรื่องหลานสาว ก็ไม่ได้บอกว่าไปพูดหรือวิจารณ์อะไรเกี่ยวกับพระมหากษัตริย์ จึงถูกดำเนินคดี

แต่โทษอย่างเดียวว่า เป็นเพราะความล้มเหลวในการปกป้องประชาธิปไตย

คุณธนาธร ยังกล่าวหารัฐบาลพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ว่า เอนเอียงไปทางประเทศจีน ส่งชาวอุยกูร์ที่หลบหนีเข้ามาในไทย 100 คน กลับไปประเทศจีน โดยไม่ยอมให้ลี้ภัยไปอยู่ประเทศอื่น และไม่ยอมให้ชาวเมียนมาที่พยายามหลบหนีเข้ามาในประเทศไทยหลังมีการทำรัฐประหาร ทั้งไม่ยอมให้ความช่วยเหลือจากประเทศอื่นๆ ผ่านประเทศไทยไปยังผู้หลบหนีอีกด้วย

สิ่งที่คุณธนาธรพูดที่น่ากังขาอย่างยิ่ง เพราะพยายามค้นหาอย่างไรก็ยังไม่พบว่าเป็นความจริงหรือไม่ นั่นคือ คุณธนาธร อ้างว่า พลเอก มิน อ่องหล่าย ให้สัมภาษณ์ Nikkei ว่า

“ผมจะทำรัฐประหารก็ต่อเมื่อ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศไทยเท่านั้น”

เป็นไปได้หรือที่ พลเอก มิน ออง หล่าย จะให้สัมภาษณ์เช่นนั้น

ช่วงท้ายของการพูด คุณธนาธร ได้กล่าวว่า หลังจากที่พรรคตัวเองถูกยุบ มีการชุมนุมประท้วงใหญ่ (mass protest) ไปทั่วประเทศ เนื่องจากประชาชนรู้สึกว่า “อนาคตของพวกเขาถูกปล้น” และเรียกร้องให้มีการปฏิรูปหลายด้าน รวมทั้งให้มีการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ แต่ผู้ประท้วงก็ถูกรัฐบาลพลเอด้วยการดำเนินคดีอาญากับผู้ประท้วงเหล่านี้เป็นจำนวนมากถึง 2017 คน รวมทั้งตัวเองก็โดนด้วย รัฐบาลทำเช่นนี้ก็เพื่อปิดปากผู้เรียกร้องการเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งปิดปากผู้ที่เรียกร้องให้ปฏิรูปสถาบันกษัตริย์

สุดท้าย คุณธนาธร ถึงกับกล่าวว่า ทั้งหมดนี่คือผลจากความล้มเหลวในการปกป้องประชาธิปไตย หากปกป้องประชาธิปไตยได้สำเร็จ หากสามารถหยุดการทำรัฐประหารในปี 2557 ได้สำเร็จ ชาวอุยกูร์ 100 คน วันนี้อาจได้อาศัยอยู่ในโลกเสรี อาจไม่มีการทำรัฐประหารในเมียนมา ซึ่งอาจเป็นการรักษาชีวิตคน 1,700 คน ที่ต่อต้านการทำรัฐประหาร อาจจะไม่มีคนต้องติดคุกเพราะวิพากษ์วิจารณ์กษัตริย์

สิ่งที่คุณธนาธรทำบนเวทีนี้ คือ ประจานประเทศไทยต่อชาวโลก นั่นยังเลวร้ายไม่พอ ที่เลวร้ายยิ่งกว่าคือ การประจานของคุณธนาธร เป็นการประจานด้วยข้อมูลจริงเพียงเสี้ยวเดียว ยังดีที่ผู้ที่เข้าร่วมประชุมน่าจะเกือบทั้งหมดที่มาจากชาติต่างๆ เป็นคนประเภทเดียวกับคุณธนาธร ทุกคนล้วนพร้อมที่จะประจานประเทศตัวเอง ด้วยข้อมูลจริงบ้าง ไม่จริงบ้าง หญิงสาวชาวเกาหลีเหนือคนหนึ่งที่เข้าร่วมประชุมครั้งนี้ ชื่อ Yeonmi Park ลี้ภัยมาอยู่ที่ New York ตั้งแต่ยังเด็ก เธอเคยเดินสายไปพูดในที่ต่างๆ วาดภาพประเทศเกาหลีเหนือ เสียจนดูเลวร้ายเกินจริง เธอให้ข้อมูลว่า เพื่อนของแม่เธอถูกประหารชีวิตต่อหน้าสาธารณะเพียงเพราะแอบชมภาพยนตร์ตะวันตก ภายหลังมีคนจับได้ว่า แต่ละครั้งที่ไปพูด เธอให้ข้อมูลไม่ตรงกัน ภายหลังเธอพูดว่า เธอไม่เคยบอกว่าเธอเห็นการประหารชีวิตด้วยตาเธอเอง ในขณะที่ชาวเกาหลีเหนือบางคนที่ลี้ภัยมาเช่นกัน ให้ความเห็นว่าสิ่งที่ Park พูดไม่ใช่ความจริง

กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ควรนำคลิปที่คุณธนาธรไปพูดครั้งนี้ไปถอดคำพูดอย่างละเอียด หากพบว่าข้อมูลส่วนใดเป็นความเท็จ ก็สมควรที่จะดำเนินการตามความเหมาะสม เพราะเรื่องนี้ไม่สมควรที่ปล่อยผ่านไปโดยไม่ทำอะไรเลย เนื่องจากเป็นการทำให้ประเทศเสียหาย แม้จะทำในกลุ่มคนที่ชอบทำแบบเดียวกันก็ตาม

แน่นอน, ประเด็นที่น่าสนใจก็คือ ที่ผ่านมา มีการ “โต้เถียง” กันถึงกฎหมายว่าด้วยการปกป้องสถาบันฯ (ม.112) สมควรแก้ไข หรือ ยกเลิกหรือไม่

โดยฝ่ายปกป้องสถาบันฯ เห็นว่า มีความจำเป็น เพราะเป็นการปกป้องประมุขของประเทศ ซึ่งทุกประเทศมีเหมือนกันหมด ขณะที่อีกฝ่าย มองว่า มีแต่ประเทศไทย ที่ยังคงใช้อยู่ หรือแม้มีกฎหมาย แต่หลายประเทศ ก็แทบไม่นำมาบังคับใช้แล้ว

จนมีพรรคการเมืองบางพรรค ใช้เป็นนโยบายหาเสียงในการเลือกตั้งครั้งหน้า โดยจะเสนอแก้ไข ป.อาญา ม.112 ให้เสมอภาคกับบุคคลธรรมดา ความจริงก่อนหน้านี้ มีการเคลื่อนไหวให้ “ยกเลิก” ด้วยซ้ำ

อย่างไรก็ตาม โพสต์ของ ศ.ดร.ไชยันต์ สะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจนว่า เมื่อมีการทำผิด แม้แต่ “อังกฤษ” ซึ่งเป็นประเทศที่เจริญแล้ว ก็ยังจับกุมประชาชนที่ทำผิดกฎหมายโดยไม่มีข้อยกเว้น และบังคับใช้อย่างเคร่งครัด

นี่คือ ตัวอย่างที่คนบางกลุ่มพยายามจะ “หลอกคนไทย” ว่า ทั่วโลกไม่มีกฎหมายปกป้องสถาบันฯแล้ว หรือมี ก็ไม่นำมาใช้กันแล้ว

อีกเรื่องที่ รศ.หริรักษ์ สูตะบุตร อดีตรองอธิการบดีฝ่ายบริหารบุคคล มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จับโกหก “ธนาธร” และชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ที่พูดไปทั้งหมด ในการนำเอาการเมืองในประเทศไปประจานต่อชาวโลกนั้น มีความจริงเพียงเสี้ยวเดียว ซึ่งถ้าใครติดตามข่าวการเมืองอย่างใกล้ชิด ก็จะรู้อย่างที่ “อดีตรองอธิการบดี มธ.” ชี้ให้เห็นว่า “ธนาธร” พยายามบิดเบือน เพื่อให้ตัวเองดูดีในสายตานักประชาธิปไตย ทั้งที่แท้จริงแล้ว หลายเรื่องมีที่มาที่ไปมากกว่าที่จะหยิบโยงปะติดปะต่อเป็นเรื่องเป็นราวเพื่อหลอกลวงเท่านั้น แม้แต่สิ่งที่ตัวเองทำผิดเอง ก็ยังโทษ กกต. หรือ โทษคนอื่น

นี่ก็ตัวอย่างหนึ่ง ที่ทำให้น่าคิดว่า คนที่อ้างตัวเป็น “นักประชาธิปไตย” เป็น “นักต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชน” แต่ทำไม จึงชอบบิดเบือนความจริง และหลอกลวง ลวงโลก เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น อย่างนี้จะให้เชื่อถือได้อย่างไรว่า เป็น “ของจริง” ? นี่ไม่ใช่แค่น่าคิด แต่ “เหลือเชื่อ” ว่า เขาทำได้อย่างไร?


กำลังโหลดความคิดเห็น