xs
xsm
sm
md
lg

สุนทรพจน์อันคับแคบ? “ทอน” โทษ “ชนชั้นนำ-ประยุทธ์” ปัญหา “ยุบอนาคตใหม่-อุยกูร์-เมียนมา” ต่างชาติทึ่ง รปภ.

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


ภาพ นายธนาธร จึงรุงเรืองกิจ ขอบคุณข้อมูล-ภาพจากเพจเฟซบุ๊ก Thanathorn Juangroongruangkit - ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ
ดีที่ไม่ได้เป็นนายกฯ!? สุนทรพจน์ “ธนาธร” ต่อชุมชนประชาธิปไตย ที่ไต้หวัน โยนผิดทุกอย่างให้ “ชนชั้นนำ-ประยุทธ์” ทั้ง “ยุบอนาคตใหม่-อุยกูร์-รปห.เมียนมา” ต่างชาติทึ่ง รปภ. “กูรู” ชี้ เงินสำรองฯ ไทยไม่ถังแตก

น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้(4 พ.ย.65) เพจเฟซบุ๊ก Thanathorn Juangroongruangkit - ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ของนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า โพสต์ หัวข้อ [สุนทรพจน์ของผม ต่อชุมชนประชาธิปไตย ในงาน Oslo Freedom Forum in Taiwan ]

โดยระบุว่า วันนี้ ผมได้รับเชิญให้เข้าร่วมกล่าวสุนทรพจน์ในเวที Oslo Freedom Forum in Taiwan : Champion of Change ซึ่งเป็นมหกรรมด้านสิทธิมนุษยชน ที่จัดขึ้นโดย The Human Rights Foundation เป็นประจำทุกปี ซึ่งในปีนี้เป็นการจัดขึ้นที่กรุงไทเป ไต้หวัน
.
ในโอกาสนี้ ผมขอนำคำแปลสุนทรพจน์ฉบับเต็มของผม มาเผยแพร่ต่อไว้ ณ ที่นี้ ให้ทุกท่านได้ร่วมอ่านไปพร้อมกันด้วยครับ
**********
อรุณสวัสดิ์ นักสู้เพื่อเสรีภาพจากทุกมุมโลก

วันนี้ ผมจะขอพูดถึงความสำคัญของการปกป้องประชาธิปไตย และทำไมมันถึงเป็นเรื่องสำคัญสำหรับพวกเราทุกคน

เพื่อที่จะตอบคำถามว่า “เหตุใดการปกป้องประชาธิปไตยถึงสำคัญ?” เราต้องถามคำถามสำคัญอีกประการหนึ่ง นั่นคือ “จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อเราสูญเสียประชาธิปไตย?” และไม่มีคำตอบใดจะดีไปกว่าการเล่าถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในประเทศของผมในรอบ 90 ปีที่ผ่านมา

นับตั้งแต่การอภิวัฒน์เปลี่ยนแปลงการปกครองในปี 2475 ผ่านมา 90 ปีประเทศไทยยังคงต้องดิ้นรนต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยอยู่ โดยประเด็นที่เป็นใจกลางหลักของความขัดแย้งเสมอ คือคำถามว่าอำนาจสูงสุดของประเทศนี้เป็นของใครกันแน่ ระหว่างสถาบันพระมหากษัตริย์ กองทัพ หรือว่าประชาชน?

ในรอบ 90 ปีที่ผ่านมา ประเทศของผมผ่านการมีรัฐธรรมนูญมาแล้ว 20 ฉบับ นายกรัฐมนตรี 29 คน การรัฐประหาร 13 ครั้ง เราเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญเฉลี่ย 4.5 ปีครั้ง เปลี่ยนนายกรัฐมนตรีเฉลี่ย 3 ปีครั้ง และเกิดการรัฐประหารขึ้นโดยเฉลี่ย 7 ปีครั้ง สำหรับคนรุ่นอายุ 44 ปีเช่นผม เราผ่านการรัฐประหารมาแล้วถึง 3 ครั้ง

และเมื่อใดก็ตามที่ประชาชนไทยลุกขึ้นต่อสู้กับเผด็จการ เรียกร้องการเลือกตั้ง พวกเขาจะได้รับกระสุนปืนเป็นค่าตอบแทนเสมอ เราสูญเสียวีรชนไปถึง 77 คนในเดือนตุลาคม 2516, กว่าอีก 200 คนในเดือนตุลาคม 2519, กว่า 100 คน ในเดือน พฤษภาคม 2535, และ อีก 99 คน ในเดือนเมษายน-พฤษภาคม 2553 นี่คือคำตอบจากชนชั้นนำอนุรักษ์นิยม ว่าพวกเขาจะไม่มอบอำนาจสูงสุดให้ประชาชนโดยเด็ดขาด

ปัจจุบัน เรามี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้ก่อการรัฐประหารครั้งล่าสุดในปี 2557 เป็นผู้นำที่ยังคงสืบทอดอำนาจต่อเนื่องมาจนถึงวันนี้เป็นเวลาถึง 8 ปีแล้ว

สิ่งเหล่านี้ คือผลลัพธ์จากความล้มเหลวในการปกป้องประชาธิปไตยของเรา

ครั้งหนึ่ง ผมเคยเป็นเพียงนักบริหารที่อยู่ในภาคธุรกิจ เป็นหนึ่งในผู้คนจำนวนมากที่รู้สึกสิ้นหวังกับอนาคตของประเทศ แต่ก็ยังคงมีความเชื่อว่าประเทศไทยยังสามารถดีกว่านี้ได้ นั่นนำมาสู่การที่ผมและเพื่อนร่วมอุดมการณ์จำนวนหนึ่ง ได้ร่วมกันก่อตั้งพรรคอนาคตใหม่ขึ้นมาในปี 2561 เพื่อท้าทายอำนาจคณะรัฐประหาร พรรคของเราได้รับความนิยมอย่างกว้างขวาง จนได้รับการเลือกตั้งด้วยคะแนนถึง 6.3 ล้านเสียงในการเข้าสู่สนามครั้งแรกของเรา กลายเป็นพรรคที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 3 ในสภาผู้แทนราษฎร

นโยบายของเรา ทั้งในเรื่องประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชน และการปฏิรูปกองทัพ ได้รับการตอบรับอย่างกว้างขวางจากประชาชนคนไทยจำนวนมาก โดยเฉพาะคนหนุ่มสาว

ผมได้รับการเสนอชื่อจากบรรดาพรรคฝ่ายค้านให้เป็นแคนดิเดทนายกรัฐมนตรี แข่งกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แต่โอกาสในการจัดตั้งรัฐบาลของเรากลับถูกช่วงชิงไปโดยคณะกรรมการการเลือกตั้ง และวุฒิสภา ซึ่งล้วนแต่มาจากการแต่งตั้งโดยผู้นำกองทัพ และผมก็ไม่มีแม้แต่โอกาสที่จะได้เข้าสภาผู้แทนราษฎรในฐานะสมาชิก จากการที่คณะรัฐประหารอาศัยประเด็นทางเทคนิคมากีดกันผมออกไปจากการเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร

เพียง 10 เดือนให้หลังจากการเลือกตั้ง พรรคของเราถูกยุบโดยศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งตุลาการของศาลก็ได้ถูกแต่งตั้งมาจากผู้นำกองทัพด้วยเช่นกัน ผมและคณะกรรมการบริหารพรรคถูกตัดสิทธิทางการเมืองเป็นเวลา 10 ปี ตามมาด้วยการดำเนินคดีอีกนับไม่ถ้วน รวมทั้งข้อหาตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์, ยุยงปลุกปั่น, พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และข้อหาหมิ่นประมาทกษัตริย์

เสรีภาพของผมถูกจำกัด ผมไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะถูกจองจำ และไม่ใช่เพียงแค่ผมเท่านั้น ครอบครัวของผมและคนที่ผมรัก ผู้ให้การสนับสนุนผมมาตลอดการเดินทางบนเส้นทางการเมือง ก็ถูกกลั่นแกล้งทางการเมืองกันถ้วนหน้า ไม่เว้นแม้แต่หลานสาวอายุเพียง 17 ปีของผม ที่ต้องถูกดำเนินคดีในข้อหาหมิ่นประมาทกษัตริย์ไปด้วย

ความล้มเหลวในการปกป้องประชาธิปไตยของเราไม่ได้เป็นเรื่องของประเทศไทยเท่านั้น ผลลัพธ์ของความล้มเหลวนี้ยังเดินทางข้ามพรมแดนไปสู่ประชาคมโลกอีกด้วย

การที่ พล.อ.ประยุทธ์ นำพาประเทศไทยไปสู่ความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับประเทศจีนมากขึ้น ทั้งในทางการทูต เศรษฐกิจ และการทหาร นำมาสู่การส่งกลับผู้ลี้ภัยชาวอุยกูร์กว่า 100 ชีวิตไปให้จีนในปี 2558 ท่ามกลางคำเตือนจากประชาคมโลกว่าชาวอุยกูร์เหล่านี้เสี่ยงต่อการถูกปฏิบัติอย่างโหดร้าย และคำขอร้องให้มีการส่งตัวพวกเขาไปสู่ประเทศที่สาม

ถ้าไม่มีการรัฐประหารในปี 2557 ชาวอุยกูร์กว่า 100 ชีวิต น่าจะได้มีชีวิตอยู่ในประเทศเสรีไปแล้ว

นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อเราสูญเสียประชาธิปไตย

สิ่งที่เกิดขึ้นในเมียนมาก็เช่นกัน การรัฐประหารในเดือนกุมภาพันธ์ 2564 นำมาสู่การปราบปรามเข่นฆ่าประชาชนกว่า 1,719 ชีวิต และการจับกุมคุมขังประชาชนกว่า 9,984 คน และยังนำมาสู่คลื่นผู้ลี้ภัยที่พยายามเข้ามาประเทศไทย ซึ่งรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ปฏิเสธที่จะโอบรับผู้ลี้ภัยเหล่านี้

ผู้ลี้ภัยนับหมื่นๆ คน ที่มีแต่คนแก่ แม่ลูกอ่อน คนที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ และผู้ได้รับบาดเจ็บจากการโจมตีทางอากาศ ต้องคอยอยู่อย่างหลบๆ ซ่อนๆ ตามแนวพรมแดน ริมฝั่งน้ำและป่าเขา ให้ใกล้กับฝั่งไทยมากที่สุด พวกเขาต้องการเพียงสันติภาพ พวกเขาต้องหนีมาเพื่อความปลอดภัย พวกเขาอยากกลับบ้านแต่ก็กลับไม่ได้ พวกเขาต้องการเพียงที่พักพิงชั่วคราว ซึ่งเป็นสิ่งพื้นฐานที่พวกเขาทุกคนสมควรจะได้รับตามกติกาสากล

แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกับพวกเขา คือพวกเขาต้องอยู่ในเพิงพักที่ทำขึ้นเองอย่างตามมีตามเกิด ในสภาพแวดล้อมที่ยากลำบาก ขาดแคลนทั้งอาหาร น้ำสะอาด และยารักษาโรค พวกเขาเข้าไม่ถึงความช่วยเหลือจากนานาชาติ เพราะรัฐบาลไทยปฏิเสธไม่ให้องค์กรระหว่างประเทศเข้าไปช่วยเหลือพวกเขาได้จากฝั่งไทย

ความเลวร้ายเช่นนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร? คำตอบอยู่ที่การให้สัมภาษณ์ของ มิน อ่อง หล่ายน์ กับสำนักข่าว Nikkei Asia เราทราบว่า พล.อ.ประยุทธ์ กับ มิน อ่อง หล่ายน์ มีความสัมพันธ์ฉันมิตรกันมาอย่างยาวนานแล้ว และสิ่งนี้ก็ได้รับการยืนยันในคำพูดของ มิน อ่อง หล่ายน์ ที่ให้สัมภาษณ์ว่าเขา “จะก่อรัฐประหารได้ก็ต่อเมื่อมี พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศไทยเท่านั้น”

นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อเราสูญเสียประชาธิปไตย

หลังการยุบพรรคอนาคตใหม่ในปี 2563 ประชาชนคนไทยจำนวนมหาศาล โดยเฉพาะบรรดาคนหนุ่มสาว ได้ลุกขึ้นประท้วงอย่างกว้างขวางทั่วประเทศ เพื่อทวงอนาคตของพวกเขาที่ถูกขโมยไป พวกเขาได้สร้างข้อถกเถียงสำคัญในสังคมขึ้นมาว่าด้วยการปฏิรูปสถาบันสำคัญของประเทศ รวมทั้งสถาบันกษัตริย์ด้วย นับเป็นครั้งแรกในรอบ 60 ปี ที่ประชาชนคนไทยได้ประกาศอย่างเปิดเผยต่อที่สาธารณะ เรียกร้องให้สถาบันกษัตริย์มีการปฏิรูป

แต่ทว่า พล.อ.ประยุทธ์ ผู้ซึ่งไม่มีความชอบธรรมใดๆ ในทางประชาธิปไตย และอาศัยเพียงการแอบอ้างความจงรักภักดีและการปกป้องสถาบันกษัตริย์มาเป็นความชอบธรรมเพียงหนึ่งเดียวของเขา กลับใช้อำนาจเพื่อกดปราบการเรียกร้องของประชาชน ดำเนินคดีกับประชาชนกว่า 2,017 คน ผู้ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเพียงคนหนุ่มสาว และในจำนวนนี้ มีถึง 183 คนรวมทั้งตัวผมด้วย ที่ถูกดำเนินคดีด้วยข้อหาหมิ่นประมาทกษัตริย์ จนบางคนต้องลี้ภัย และมีหลายคนที่ยังถูกคุมขังอยู่ในคุกจนถึงเวลานี้

สิ่งเหล่านี้คือผลจากความล้มเหลวของเราในการปกป้องประชาธิปไตย และเพียงพอแล้วที่จะตอบคำถามว่าเหตุใดเราจึงต้องปกป้องประชาธิปไตยร่วมกัน

หากเราปกป้องประชาธิปไตยได้เป็นผลสำเร็จ หากเราหยุดยั้งการรัฐประหารในปี 2557 โดย พล.อ.ประยุทธ์ได้สำเร็จ ชาวอุยกูร์กว่า 100 ชีวิต คงจะได้ใช้ชีวิตอยู่ในประเทศเสรีแล้ว

การรัฐประหารในเมียนมาคงจะไม่เกิดขึ้น คงจะไม่มีการสูญเสียของประชาชนกว่า 1,700 ชีวิต และต่อให้เกิดการรัฐประหารขึ้นมา ผู้ลี้ภัยนับหมื่นนับแสนคนก็จะได้รับความช่วยเหลือ

และหากเราสามารถหยุดยั้งการรัฐประหารในปี 2557 ได้สำเร็จ วันนี้ก็คงไม่ต้องมีใครถูกจองจำอยู่ในคุก เพียงเพราะการวิพากษ์วิจารณ์สถาบันกษัตริย์ และการเรียกร้องอนาคตที่ดีกว่านี้ของประเทศ

เมื่อเราสูญเสียประชาธิปไตยไป มันใช้เวลานานในการกอบกู้ แต่ปีหน้าเราจะมีเลือกตั้ง นี่คือโอกาสสำคัญในการสร้างความเปลี่ยนแปลง โอกาสสำคัญในการเปลี่ยนผ่านไปสู่ประชาธิปไตยอย่างสันติ ไม่ใช่แค่การเลือกตั้งธรรมดา ไม่ใช่แค่เปลี่ยนรัฐบาลจากพรรคหนึ่งไปสู่อีกพรรคหนึ่ง แต่คือการจบระบอบประยุทธ์ ทำให้คนรุ่นใหม่ๆ เขื่ออีกครั้งว่าประเทศนี้เป็นของเราทุกคน

โปรดยืนเคียงข้างเราในการต่อสู้ครั้งนี้ เพื่อเสรีภาพ ความเสมอภาค และความสมานฉันท์ของโลกสากล

ภาพ ผลงาน รปภ. ที่สื่อ IT สิงคโปร์ ยังชื่นชม ขอบคุณข้อมูล-ภาพจากเฟซบุ๊ก The METTAD และ Thailand Vision
ขณะเดียวกัน เพจเฟซบุ๊ก The METTAD โพสต์ภาพ พร้อมข้อความระบุว่า

“รปภ .... มึ้งงงงงง”
ก่อนแชร์ ข่าวจาก Thailand Vision ระบุว่า

“วันที่ 2 พฤศจิกายน 2565 Technode Global สื่อเทคโนโลยี IT ของสิงคโปร์ รายงานว่า บริษัท HGC Global Communications Limited (HGC) บริษัท AMS-IX (Amsterdam Internet Exchange) และบริษัท International Gateway Company Limited (IGC) ร่วมกันก่อตั้งศูนย์แลกเปลี่ยนข้อมูลอินเทอร์เน็ต (Internet Exchange) ในประเทศไทย

บริษัท HCG จากเกาะฮ่องกง บริษัท AMS-IX จากประเทศเนเธอร์แลนด์ และ IGC ซึ่งเป็นบริษัทลูกของบริษัท เอแอลที เทเลคอม จำกัด (มหาชน) เป็นเครือข่ายธุรกิจกลุ่มแรก ๆ ที่ริเริ่มธุรกิจเครือข่ายแลกเปลี่ยนข้อมูลอินเตอร์เน็ตของไทย โดยสื่อ IT สิงคโปร์ระบุว่า ประเทศไทยมีการพัฒนาอย่างรวดเร็ว จนกลายเป็นศูนย์กลางอินเตอร์ฮับที่มีคุณภาพอีกแห่งหนึ่งของเอเชีย อีกทั้งยังเป็นจุดศูนย์กลางแลกเปลี่ยนข้อมูลอินเตอร์เน็ตที่สำคัญเทียบเท่าสิงคโปร์และฮ่องกง

Technode Global ยังระบุอีกด้วยว่า ระบบโครงสร้างพื้นฐานของไทย ที่พร้อมรองรับการขยายและพัฒนาเครือข่ายอินเตอร์เน็ตของบริษัท HCG, AMS-IX และ IGC จึงทำให้กรุงเทพมหานคร กลายเป็นศูนย์กลางอินเตอร์ฮับที่มีความสำคัญอย่างยิ่งยวด และเป็นเกตเวย์เชื่อมต่อไปยังกลุ่มประเทศลุ่มแม่น้ำโขง (GMS - The Greater Mekong Subregion) ซึ่งจะทำให้ประเทศเพื่อนบ้านอย่างกัมพูชา เมียนมาร์ ลาว และเวียดนาม ได้ประโยชน์ด้วยเช่นกัน โดยผู้ใช้อินเตอร์เน็ตในประเทศลุ่มแม่น้ำโขงเกือบ 250 ล้านคน จะสามารถใช้อินเตอร์เน็ตได้รวดเร็วยิ่งขึ้น ในราคาที่ประหยัด และยังเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการ ของบริษัทผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ต และสื่อออนไลน์แพลตฟอร์มต่าง ๆ อีกด้วย

ทั้งนี้ ข่าวความร่วมมือระหว่างบริษัท HCG, AMS-IX และ IGC ในการก่อตั้งศูนย์แลกเปลี่ยนข้อมูลอินเทอร์เน็ตในประเทศไทย สอดคล้องกับรายงานข่าวเมื่อวันที่ 29 ตุลาคม ที่ผ่านมา ซึ่งระบุว่า บริษัทกูเกิล คลาวด์ (Google Cloud) และบริษัทอเมซอน เว็บ เซอร์วิสเซส (AWS - Amazon Web Services) ประกาศว่าจะเข้ามาลงทุนก่อตั้งศูนย์ข้อมูล (Data Center) ในประเทศไทย อันแสดงให้เห็นถึงแนวโน้มในการเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศไทย
-------------------------------
แหล่งข่าว
https://technode.global/.../hgc-ams-ix-and-igc-launch-a.../
https://mgronline.com/cyberbiz/detail/9650000103347

ภาพ ชี้ชัด ไทยยังไม่ถังแตก มีเงินทุนสำรองอยู่ 2.4 แสนล้านดอลลาร์ ขอบคุณข้อมูล-ภาพ จากเพจเฟซบุ๊ก เอ็ดดี้ อัษฎางค์ ยมนาค
ที่น่าสนใจไม่แพ้กัน เพจเฟซบุ๊ก เอ็ดดี้ อัษฎางค์ ยมนาคของนายอัษฎางค์ ยมนาค นักวิชาการอิสระ โพสต์ข้อความระบุว่า

“ฝ่ายค้านเบี่ยงประเด็น
หรือไม่มีความรู้เรื่องเศรษฐกิจการเงิน”

ธนาคารแห่งประเทศไทยยืนยันว่า ประเทศไทยยังมีฐานะทางการเงินที่ดี จากระดับเงินสำรองฯ ที่อยู่ประมาณ 2.4 แสนล้านดอลลาร์

ทำให้ไทยเป็นประเทศที่มีเงินสำรองฯ มากที่สุดเป็นอันดับที่ 12 ของโลก

และเมื่อเทียบเงินสำรองฯ ต่อ GDP จะคิดเป็น 48% ของ GDP ซึ่งสูงเป็นอันดับที่ 6 ของโลก

รวมถึงยังสูงกว่าหนี้ต่างประเทศระยะสั้นของไทยถึงเกือบ 3 เท่า

ที่ออกมายุยง ปลุกปั่นว่า “กู้จนถังแตก” นั้นคือยอดหนี้ 10 ล้านล้านบาทใช่มั้ย

แล้วที่รัฐบาลมีเงินสำรองฯ อยู่ 2.4 แสนล้านดอลลาร์ (ย้ำว่า หน่วยคือ แสนล้านดอลลาร์) คืออะไร ทำไมไม่พูดถึง

เรามีเงินทุนสำรองฯ อยู่สูงกว่าหนี้ต่างประเทศถึงเกือบ 3 เท่า ทำไมไม่พูด

การระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่อุบัติขึ้นตั้งแต่ปลายปี 2019 ได้สร้างผลกระทบรุนแรงทั้งด้านสุขภาพ เศรษฐกิจ สังคม ความเป็นอยู่ของผู้คน

IMF รายงานว่า สภาวการณ์ที่เศรษฐกิจชะลอและถดถอยไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะในเมืองไทย แต่กระทบไปทั่วโลก โดยส่งผลให้ภาระหนี้เอกชนและภาครัฐในหลายประเทศทั่วโลกเพิ่มขึ้น 35% หรือกว่า 355% ของ GDP

ภาระหนี้สินทั่วโลกที่เพิ่มสูงขึ้นนี้มาจากภาครัฐเกินครึ่งหนึ่ง อันเป็นผลจากการใช้มาตรการในหลายด้าน ทั้งการสนับสนุนทางการเงินให้กับระบบสุขภาพ การเยียวยาให้กับภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจ รวมทั้งการบรรเทาผลกระทบทางเศรษฐกิจและการจ้างงานที่ลดลง

สำหรับประเทศไทย หนี้รัฐบาลก็เป็นเงินกู้เพื่อใช้ในมาตรการรับมือกับโควิด เช่น การสนับสนุนทางการเงินให้กับระบบสุขภาพ การเยียวยาให้กับภาคครัวเรือนและเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ

ฝ่ายค้านไร้ความรู้ในเรื่องเศรษฐกิจ สังคมและการเมืองแบบนี้ ประชาชนยังหลงเชื่อให้ทำหน้าที่บริหารประเทศอยู่ได้อย่างไร

หรือว่าฝ่ายค้านรับรู้สถานการณ์อย่างดี แต่แกล้งทำเป็นไม่รู้และพยายามบิดเบือนข้อเท็จจริง เพื่อยุยง ปลุกปั่นให้ประชาชนหลงเชื่อ ว่ารัฐบาลกู้เงินมาผลาญ หรือบริหารราชการผิดพลาดจนล้มละลาย จะได้ล้มรัฐบาลลงโดยง่าย

ทั้งที่ปัญหา ทั้งเรื่องเศรษฐกิจถอยถอยและภาวะหนี้สิน เกิดจากโควิดที่ส่งผลกระทบไปทุกประเทศทั่วโลก

แต่ประเทศไทยไม่ได้ล่มจม คนไทยยังคงมีอยู่มีกิน และเศรษฐกิจของประเทศยังคงเดินหน้าได้ แม้ในภาวะวิกฤตระดับโลกอย่างนี้

ออกมาจากกะลาสามนิ้ว แล้วมองไปรอบๆ โลก ก็พบว่า ไทยเรารับมือโควิดได้ดีขนาดไหน?

หนี้สินที่เพิ่มขึ้นมาจากอะไร

สัดส่วนหนี้สินกับเงินทุนสำรองมหาศาลมันหมายถึงอะไร?
ไม่เรียกว่ารัฐบาลลุงมีฝีมือแล้วเรียกว่าอะไร

ถังแตก แปลว่า หมดตูด
หมดตูดทั้งที่มีเงินทุนสำรองอยู่ 2.4 แสนล้านดอลลาร์ หมดตูดยังไง”

แน่นอน, สิ่งที่ไม่น่าแปลกในว่า ทำไมการเมืองไทยจึงอยู่ในวังวนของ “วงจรอุบาทว์” ไม่ยอมเลิกรา ก็คือ ตัวบุคคลที่เข้าสู่วงการเมืองนั่นเอง

ที่แม้ว่า จะอ้างตัวเป็นคนหัวก้าวหน้า เป็นคนที่จะนำพาประเทศไปสู่อนาคตใหม่ แต่ “วิสัยทัศน์” ที่แสดงออกมา กลับ “คับแคบ” เห็นแก่ตัว เข้าข้างตัวเอง พูดความจริง แค่ครึ่งเดียว เพียงหวังปลุกปั่น ยุยง เป็นนิสัย ให้บรรลุผลประโยชน์ทางการเมืองที่ตั้งเป้าเอาไว้เท่านั้น

ต่อให้เรื่องที่ปลุกปั่น ยุยง ปั้นวาทกรรมบิดเบือนนั้น จะสร้างผลกระทบข้างเคียงมากมายแค่ไหน หรือดูเหมือนจงใจหลอกลวงประชาชน หรือชุมชนที่รับฟังก็ตาม แต่ก็ไม่ได้รู้สึกสำนึกว่า จะมีคนจับได้ไล่ทัน จนสร้างความเสียหายต่อตัวเอง ตามมา

อย่าลืมว่า ทุกเรื่องที่เกิดขึ้นในประเทศไทย คนไทยทุกคนรู้ดีว่า เกิดอะไรขึ้น ความจริงเป็นอย่างไร อย่างน้อยก็มีรายละเอียดที่มาที่ไป ปัจจัยที่นำมาสู่แต่ละเหตุการณ์อีกมากมาย

นี่ยังไม่รวม คนประเภทนี้ เมื่อเข้ามามีอำนาจทางการเมือง แล้ว เขาจะนำพาประเทศไปในทิศทางใด เพื่อตัวเอง พวกตัวเอง หรือ เพื่อส่วนรวม

แล้วอย่างนี้จะไปพัฒนา “ประชาธิปไตย” ตรงไหน ตรงไหนสู้เพื่อ “ประชาธิปไตย” ลองคิดดู!?


กำลังโหลดความคิดเห็น