เอ๊ะยังไง? “ป้อม” ไม่แคร์! “ใครอยากไปไหนก็ไป” ไม่ห้าม “ประยุทธ์” จะไป “รวมไทยสร้างชาติ” อดีตรองอธิการบดี มธ. จับไต๋ “เจี๊ยบ ก้าวไกล” ใช้ทุกโอกาสพาดพิงสถาบันฯ “ดร.นิว” ซัด 3 นิ้ว ด้อยค่าปชต.เสียเอง
น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (7 พ.ย. 65) เพจเฟซบุ๊ก การเมืองไทย ในกะลา โพสต์ภาพ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ พร้อมข้อความระบุว่า
“ป้อมไม่แคร์! แถมไล่ส่ง “ใครอยากไปไหนก็ไป” หาก ส.ส.พปชร.จะไปอยู่กับ “ประยุทธ์”
ยันไม่ห้ามหาก “ประยุทธ์” จะไป “พรรครวมไทยสร้างชาติ”
คลิป : https://www.facebook.com/100001454030105/posts/5749532911771786/
ทั้งนี้ ยังแชร์เพจเฟซบุ๊ก Wassana Nanuam (วาสนา นาน่วม) ที่ระบุว่า
“พี่ใหญ่ .ไม่แคร์
“บิ๊กป้อม” ไล่ส่ง!! พร้อมทำท่า!!
“ไปเลย” ผมไม่ว่าใครทั้งนั้น
“ใครอยากไปไหน ก็ไป”
เป็นเรื่องของตัวบุคคล
หาก ส.ส. พปชร. จะไปอยู่กับ “บิ๊กตู่”
ยัน ไม่ห้าม
หาก “บิ๊กตู่” จะไป “พรรครวมไทยสร้างชาติ” แต่ยืนยัน จนตอนนี้ยังไม่ได้คุยกัน ว่า จะเอายังไง
จะย้ายพรรคหรือไม่”
ขณะเดียวกัน รศ.หริรักษ์ สูตะบุตร อดีตรองอธิการบดีฝ่ายบริหารบุคคล มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ว่า
แท็กติกหนึ่งของขบวนการล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ คือ พยายามทำให้ความศรัทธาและความนิยมในสถาบันพระมหากษัตริย์เสื่อมลงเรื่อยๆ มีโอกาสเมื่อใดเป็นต้องทำเมื่อนั้น `
เมื่อเร็วๆ นี้ ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ส.ส.พรรคก้าวไกล คุณอมรัตน์ โชคปมิตต์กุล ได้อภิปรายในสภาไปในทำนองกล่าวหาศาล ว่า ถูกแทรกแซงในคดีการเมืองและคดี 112 โดยยกตัวอย่าง นายอานนท์ นำภา ที่ถูกดำเนินคดีในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ว่า นายอานนท์ พยายามขอให้ศาลออกหมายเรียกพยานหลักฐานเพื่อให้ตนเองนำมาต่อสู้คดี แต่ศาลไม่ยอมออกหมายเรียกให้ เช่น หลักฐานการเดินทางเข้าออกไทย-เยอรมันของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 10 คำพิพากษาแพ่งยึดทรัพย์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 7 เอกสารการใช้เงินของสถาบันกษัตริย์ หลักฐานการโอนหุ้นธนาคารไทยพาณิชย์
ซึ่งท่านประธานชวน หลีกภัย ต้องพยายามเบรกไว้ โดยกล่าวว่า “สภากำลังปรึกษาหารือเรื่องประโยชน์ของประชาชน อย่าไปไกลถึงสถาบันฯเลยครับ”
คุณอมรัตน์ แทนที่จะฟังประธาน กลับเถียงว่า “เรื่องนี้แหละค่ะที่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณชนมากที่สุด และเป็นเรื่องที่ท่านประธานไม่กล้าพูด……”
หลังจากนั้น ยังประท้วงท่านประธานชวน แต่ด้วยความเด็ดขาดแต่นุ่มนวลของคุณชวน จึงทำให้เรื่องนี้ยุติลงได้ แต่ก็ต้องถือว่า คุณอมรัตน์ ได้ทำสำเร็จตามจุดประสงค์แล้ว
ที่คุณอมรัตน์ที่ทำเช่นนี้ ไม่ได้ต้องการช่วยนายอานนท์ นำภา แต่อย่างใด แต่ต้องการใช้โอกาสนี้กล่าวหาว่าศาลถูกแทรกแซงโดยสถาบันฯ เพราะคุณอมรัตน์น่าจะทราบอยู่แล้วว่า ไม่มีทางที่ศาลจะยอมออกหมายเรียกให้นายอานนท์ เพราะเป็นการละเมิดสิทธิเสรีภาพขององค์พระมหากษัตริย์ แต่ยังคงนำเรื่องนี้มาอภิปรายในสภาเพื่อต้องการกล่าวหาสถาบันพระมหากษัตริย์ และสถาบันตุลาการ เพื่อออกอากาศให้คนฟังให้มากที่สุด สังเกตว่า คุณอมรัตน์ได้โพสต์ใน social media ก่อนการประชุมว่า จะพูดเรื่องนี้ในสภา
อย่างไรก็ตาม การกระทำของคุณอมรัตน์ครั้งนี้ ก็เป็นการฟ้องให้คนทั่วไปได้ทราบว่า นายอานนท์ นำภา เมื่อพูดถึงสถาบันพระมหากษัตริย์ จนต้องคดีตามมาตรา 112 เป็นการพูดที่ไม่ได้มีหลักฐานอะไรเลย เพราะหากพูดโดยมีหลักฐาน เหตุใดจึงต้องขอให้ศาลออกหมายเรียกขอหลักฐานให้อีก
ขบวนการล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ จะยังคงดำเนินต่อไป เขาจะทำในทุกโอกาสที่ทำได้ แม้แต่วัน halloween ก็ยังไม่เว้น เนื่องจากเขารู้ว่า ฝ่ายความมั่นคงไม่กล้าใช้ความเด็ดขาดกับพวกเขา ทำได้เพียงแค่ดำเนินคดีตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 เท่านั้น หากเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นในประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน สำนักข่าวหลายสำนักคงถูกปิด คนคงถูกดำเนินคดีที่เกี่ยวกับความมั่นคงกันเป็นร้อยๆ แต่โชคดีของพวกเขาที่ประเทศนี้คือประเทศไทย
ปัจจุบันขบวนการนี้คงเห็นว่าการกดดันให้ยกเลิกมาตรา 112 คงยังไม่สามารถทำได้ เนื่องจากคนส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วย จึงเริ่มใหม่ด้วยการขอแก้ไขให้โทษเบาลง ดังที่คุณไอติมออกมาอธิบายด้วยความภูมิใจ โดยอ้างเหตุผลเรื่องเสรีภาพในการแสดงออก และเรื่องสิทธิมนุษยชน ว่า จะเสนอแก้ไขให้กำหนดโทษลดลงจากจำคุก 3 ถึง 15 ปี เหลือโทษจำคุกเพียง 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 3 แสนบาท และเพื่อป้องกันการกลั่นแกล้งทางการเมือง จึงเสนอให้สำนักพระราชวังเป็นหน่วยงานเดียวที่มีสิทธิแจ้งความดำเนินคดี จากเดิมที่ใครก็สามารถแจ้งความดำเนินคดีได้
เรื่องการกลั่นแกล้งทางการเมือง ควรทราบว่า ตำรวจเขาพยายามทำคดีด้วยความระมัดระวัง เพราะเขากลัวถูกฟ้องกลับ อีกทั้งยังมีอัยการคอยกรองอีกชั้นหนึ่ง เท่าที่เห็นว่าเป็นการกลั่นแกล้งอย่างชัดเจน มีเพียงคดีที่ คุณสนธิ ลิ้มทองกุล ถูกแจ้งความดำเนินคดีโดยฝ่ายตรงข้าม คือ ฝ่ายเสื้อแดง เมื่อคุณสนธินำเสียงของ ดา ตอร์ปิโด ซึ่งเป็นการหมิ่นพระมหากษัตริย์อย่างชัดแจ้ง มาเปิดให้ผู้ร่วมชุมนุมฟัง ซึ่งคุณสนธิก็ชนะคดีในชั้นศาล เพราะศาลมองที่เจตนา
คดี 112 อื่นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระยะ 2 ปีที่ผ่านมา แทบทั้งหมดที่กำลังถูกดำเนินคดี เกือบเรียกได้ว่า หากไม่เข้าข่ายเป็นความผิดตาม 112 อย่างชัดแจ้ง ก็ก้ำกึ่งจนน่าหวาดเสียวทั้งสิ้น
ประเด็นเรื่องระวางโทษ เราลองกลับมาดูข้อกฎหมาย หรือข้อความที่อยู่ในมาตรา 112 กันอีกครั้ง มาตรา 112 บัญญัติไว้ว่า “ผู้ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรืออาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 3 ปี ถึง 15 ปี”
ในขณะที่มาตรา 326 ซึ่งเป็นกฎหมายหมิ่นประมาทสำหรับคนทั่วไป กำหนดระวางโทษไว้ไม่เกิน 1 ปี และปรับไม่เกินสองหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
พรรคก้าวไกลต้องการให้กำหนดระวางโทษการหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์เท่ากับบุคคลธรรมดา คือ ไม่เกิน 1 ปี หรือหากแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ก็ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปีเช่นกัน
ต้องขอใช้ประโยคที่คุณอมรัตน์ใช้ในสภาว่า
“อย่างนี้ก็ได้ด้วยหรือ”
ที่น่าสนใจไม่แพ้กัน ดร.ศุภณัฐ อภิญญาณ หรือ “ดร.นิว” นักวิจัยภายใต้สถาบันวิจัย MAST Center และ คณะวิศวกรรมชีวการแพทย์ University of Arkansas ประเทศสหรัฐอเมริกา โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Suphanat Aphinyan ระบุว่า
“การแอบอ้างคำว่าประชาธิปไตยอย่างพร่ำเพรื่อและฟุ่มเฟือยของลัทธิสามนิ้ว กลับกลายเป็นการด้อยค่าประชาธิปไตยเสียเองด้วยความมักง่าย คำว่า ประชาธิปไตย จึงถูกลดทอนกลายเป็นเพียงแค่คำพูดดาษดื่นแบบกลวงๆ ตามแฟชั่น
บ้างก็หลงผิดว่า การใช้สิทธิเสรีภาพตามอำเภอใจแบบอนาธิปไตยเป็นประชาธิปไตย ทั้งๆ ที่การใช้สิทธิเสรีภาพตามแบบประชาธิปไตยที่แท้จริง ต้องรับผิดชอบต่อสิทธิเสรีภาพของผู้อื่น เคารพต่อกฎหมายและประโยชน์สุขของสังคม
บ้างก็หลงเชื่อตามๆ กันว่า โฆษณาชวนเชื่อเพื่อผลประโยชน์ของชาติมหาอำนาจตะวันตกเป็นประชาธิปไตย ทั้งๆ ที่ประชาธิปไตยที่แท้จริงสำหรับประชาชนคนไทยทุกคน ต้องเป็นไปเพื่อประโยชน์สุขของปวงชนชาวไทยทั้งประเทศ
หาใช่กระแสค่านิยมของต่างชาติ หรือวาทกรรมบิดเบือนของนักการเมืองสามนิ้วไม่”
นอกจากนี้ เพจเฟซบุ๊ก The METTAD โพสต์ภาพ พร้อมข้อความระบุว่า
“ประยุทธ์คือต้นเหตุรัฐประหารในพม่า
ลุงตู่คือผู้มีอิทธิพลแห่งอาเซียนว่ะ
😂😂😂😂😂”
ทั้งนี้ ได้แชร์ ความเห็นของ สันติสุข มะโรงศรี ระบุว่า
“ธนาธรพูดที่ไต้หวัน โจมตีรัฐบาลประยุทธ์ หาว่านำไทยไปสัมพันธ์ใกล้ชิดกับจีนมากขึ้น โวยวายที่ไทยไม่ต่อต้านรัฐประหารในเมียนมา ไม่รับผู้ลี้ภัยจากเมียนมา ฯลฯ
ผมอยากให้ถามพี่น้องคนไทยตามชายแดน ว่า ต้องการให้ไทยไปยุ่งกับกิจการภายในของเมียนมาไหม? มันจะกระทบชีวิตความเป็นอยู่คนตามแนวชายแดนอย่างไรบ้าง?
คิดเล่นๆ
ถ้า “เซเลนสกี้” เกิดที่เมืองไทย คงเล่นบทบาทเหมือน “ธนาธร” นี่แหละ
แล้วถ้าจับพลัดจับผลูได้นำพาประเทศไทยคงจะเป็นเหมือน “ยูเครน” นั่นเอง”
แน่นอน, การเมืองไทย ดูเหมือน “ติดหล่ม” ความขัดแย้งระหว่างชนชั้นนำของประเทศ พล.อ.ประยุทธ์ กับ “ฝ่ายตรงข้าม” ที่อ้างต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย โดยมีขบวนการ “3 นิ้ว” เป็นหัวหอก จนลึกเกินกว่า ใครจะฉุดขึ้นมาได้
ทั้งยังน่าเชื่อว่า จะกลายเป็น “มหากาพย์” เรื่องยาว ที่คนไทยจะต้องทนอย่างสุดฝืน ไม่ว่าจะชอบหรือไม่ เห็นด้วยหรือไม่ก็ตาม หรือ เดือดร้อนแสนเข็ญกับปัญหาเศรษฐกิจ ปัญหาค่าครองชีพ ความอยู่ดีกินดี ที่ต้องการให้ทุกภาคส่วนร่วมมือร่วมแรงร่วมใจกันแก้ไขให้ได้ แต่นั่นอาจเป็นแค่ความฝันลมๆ แล้งๆ ถ้าหากฝากเอาไว้กับนักการเมืองที่เป็นอยู่ในเวลานี้
แต่โอกาสของประชาชนก็ใกล้จะมาถึง เมื่อใกล้จะมีการเลือกตั้งทั่วไป ส.ส.แล้วในปีหน้า และชัดเจนว่า มีการเสนอตัวลงเลือกตั้งจาก “3 ขั้ว”
หนึ่ง ขั้วต้องการแก้ ม.112 และปฏิรูปสถาบันฯ สอง ขั้วเครือข่าย 3 ป. และ สาม ขั้วที่สาม ซึ่งเสนอจุดขาย ก้าวข้ามความขัดแย้ง มุ่งแก้เศรษฐกิจปากท้องประชาชน
นี่คือ โอกาสของประชาชน รักใครชอบใคร อย่าให้อะไรมาบังตาได้ อำนาจอยู่ในมือท่านแล้ว