xs
xsm
sm
md
lg

ว่ายข้ามโขงจบ ดรามาไม่จบ “หมอริท” เปิดประเด็นได้เงินบริจาค 1,000 ล้าน แพทย์ พยาบาล ก็ไม่หายเหนื่อย สังคมแบ่งฝ่ายวิวาทะกันต่อ **“ไพจิต” ยันยังอยู่ “เพื่อไทย” อ้างคิวรอรับ “อนุทิน” ที่พระธาตุพนม แค่บังเอิญ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ข่าวปนคน คนปนข่าว


**ว่ายข้ามโขงจบ ดรามาไม่จบ “หมอริท” เปิดประเด็นได้เงินบริจาค 1,000 ล้าน แพทย์ พยาบาล ก็ไม่หายเหนื่อย สังคมแบ่งฝ่ายวิวาทะกันต่อ


จบลงไปด้วยความเรียบร้อย สำหรับกิจกรรม “ONE MAN AND THE RIVER หนึ่งคนว่าย หลายคนให้” เมื่อวันเสาร์ที่ 22 ต.ค.ที่ผ่านมา โดย ภาคิน คำวิลัยศักดิ์ หรือ “โตโน่ เดอะสตาร์” ว่ายน้ำข้ามแม่โขงจากฝั่งไทยไปลาว และว่ายกลับ ระดมเงินบริจาคซื้ออุปกรณ์ทางการแพทย์ มอบให้แก่โรงพยาบาลนครพนม และโรงพยาบาลแขวงคำม่วน สปป.ลาว รวมแล้วยอดล่าสุด ถึงตอนเย็นวานนี้ (23 ต.ค.) ได้ไปถึงเกือบๆ 68 ล้านบาท ส่วนทางฝั่งลาว ก็ได้ราวๆ 420 ล้านกีบ หรือประมาณ 1 ล้านบาท นับว่าเป็นงานการระดมทุนเพื่อการกุศลที่ประสบความสำเร็จอย่างงดงามทีเดียว

แต่กระนั้น กระแสดรามาระหว่างฝ่ายเห็นต่าง ก็ยังดำเนินเรื่องของมันต่อไป หลังจากจบกิจกรรมไม่ทันข้ามคืน “เรืองฤทธิ์ ศิริพานิช” หรือ “ริท เดอะสตาร์” อดีตผู้เข้าประกวดเรียลิตีนักร้อง “เดอะสตาร์” รุ่นเดียวกับ “โตโน่” ปัจจุบันมีอาชีพเป็นหมอ และเป็นเจ้าของคลินิกเสริมความงาม ก็ได้ทวีตข้อความบนทวิตเตอร์ @MhorRitz แสดงความยินดีกับ “พี่โตโน่” ที่ปลอดภัย และได้เงินบริจาคจำนวนมาก ขอบคุณในน้ำใจ และความเสียสละที่มีต่อบุคลากรทางการแพทย์
พร้อมกับได้ฝากมุมมองเอาไว้ เผื่อ “พี่โตโน่” ลืมมอง นั่นก็คือ

1. ต่อให้พี่ว่ายน้ำข้ามโขงเป็น 10 รอบ ได้เงินบริจาคมากกว่า 1,000 ล้านบาท หมอ พยาบาล ก็เหนื่อยเท่าเดิม ยกตัวอย่างในฝั่งของหมอ ระบบสุขภาพของประเทศไทย คือ ระบบประกันสุขภาพถ้วนหน้า แปลว่า คนไทยจะป่วยยังไงก็มีการรักษารองรับ ซึ่งจริงๆ ก็ดีกับคนไทยในบางมุม เช่น คนจนมีสิทธิเข้าถึงการรักษา แต่ข้อเสียก็คือคนไทยไม่ใส่ใจสุขภาพ เกิดปัญหา เช่น ติดเหล้า ติดบุหรี่ และเกิดปัญหาสุขภาพตามมา ทำให้หมอต้องทำงานหนัก แต่ยังได้ค่าตอบแทนเท่าเดิม ซึ่งทุกวันนี้หมอไทยยังต้องทำงานเกินเวลาตามระเบียบกำหนด ทำให้เกิดภาวะสมองไหล หมอๆ ก็ออกนอกระบบโรงพยาบาลรัฐกันหมด หมอก็น้อยลง งานก็ยังหนัก ผลิตหมอเท่าไหร่ ก็ไม่พอ ก็วนลูปแบบนี้ไปเรื่อยๆ เงินบริจาคเยอะแค่ไหนก็ไม่ได้ช่วยให้หมอหายเหนื่อย

2. “พี่โตโน่” บอกว่า หมอพยาบาลเสี่ยง คำถามคือ ใครปล่อยให้หมอ พยาบาล ทำงานภายใต้ความเสี่ยง? ถ้ารู้ว่าเขาทำงานแบบเสี่ยงอยู่ ทำไมผู้มีอำนาจโดยตรง ถึงมองไม่เห็นและไม่สามารถจัดการปัญหานั้นโดยเร่งด่วนได้ หรืองบประมาณไม่เพียงพอ แล้วถ้างบไม่พอจริงๆ ทำไมไม่รายงานขึ้นไป ทำไมต้องรอเงินบริจาค

“โตโน่” ภาคิน คำวิลัยศักดิ์
มุมมองทั้ง 2 ข้อ ที่ “หมอริท” ฝากถึง “พี่โตโน่” นี่เอง ที่ก่อกระแสดรามาตลอดวันวานที่ผ่านมา ซึ่งมีทั้่งฝ่ายที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย

หนึ่งในฝ่ายที่อยู่ทีม “หมอริท” ก็คือ “อั๋น” ภูวนาท คุณผลิน พิธีกรรายการทีวีชื่อดัง ที่ได้โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว ตั้งแต่ช่วงเย็นวันเดียวกัน แสดงความดีใจที่ “โตโน่” ปลอดภัย การจัดงานผ่านไปด้วยความราบรื่น แต่ก็ไม่วายแซะว่าเป็นเจตนาดี มีความตั้งใจสูง พอๆ กับอีโก้ พร้อมบอกว่า ขอให้รัฐสวัสดิการเป็นหน้าที่ของรัฐ ณ จุดนี้คงต้องชื่นชมจริงๆ แต่ “ไม่ส่งเสริมให้เป็นแบบอย่างอยู่ดี” เพราะไม่งั้นถ้ามีคนไปว่ายกัน วิ่งกันรายสัปดาห์ พี่ว่าน่าจะปวดหัว

ส่วน “อ๋อม” สกาวใจ พูลสวัสดิ์ ดาราสาวผู้มีจุดยืนชัดเจนว่า “ไม่เอารัฐบาลลุงตู่” ได้โพสต์ข้อความทางเฟซบุ๊ก Oom Sakaojai ว่า ไม่คัดค้านเรื่องการกุศล แต่ตั้งคำถามเรื่องงบประมาณทางการแพทย์ ถ้าไม่ปรับแก้ตรงจุดนี้ ประเทศเราจะต้องให้คนมาวิ่ง มาว่ายน้ำ หรือกิจกรรมอื่น หรือแม้กระทั้งเกิดภัยพิบัติ ก็ออกมารับบริจาค ทั้งๆ ที่ เราทุกคนจ่ายภาษีไปเพื่อคุณภาพชีวิต และระบบสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน พร้อมกัดแซะ ตามสไตล์ว่า “รถควบคุมสั่งการ, เรือดําน้ำ, รถหุ้มเกราะ ฯลฯ ตอนนี้ได้ใช้มั้ยคะ”

ขณะที่ “ตุ้ม” ปริญญา เจริญผล อดีตนักมวยข้ามเพศในชื่อ “ปริญญา เกียรติบุษบา” ได้โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก Parinya Jaroenphon ว่า "เข้าใจโตโน่ เข้าใจหมอค่ะ พวกเราคงต้องช่วยกันค่ะ และยังต้องเหนื่อยกันอีกต่อไป เพราะเรามี รปภ. เป็นกัปตันขับเครื่องบิน และเป็นผู้นำองค์กรแพทย์ก็เช่นกัน เหมือนดาราท่าน 1 กล่าวช่วยเหลือตัวเองกันนะจ๊ะ”

นอกจากนี้ ฝ่ายไม่เห็นด้วยกับ “โตโน่” เข้าไปป่วนในอินสตาแกรมของ “โตโน่” หลังจากเจ้าตัวได้โพสต์ภาพปลอกแขนที่เป็นภาพธงชาติไทยและธงชาติลาว พร้อมข้อความสั้นๆ ว่า “โรงพยาบาลนครพนม” ก็มีผู้เข้าไปโพสต์ข้อความเหน็บแนมว่า หลังจากนี้ถึงเวลาบุญหล่นทับ อีเวนต์ทั้งไทยกับลาว ต้องเข้าแน่ แถมคิวแน่นจนข้ามปี หนัง-ละครไม่มีพลาด แถมได้อัปเลเวล จากพระเอกแถว 2 เป็นพระเอกแถวหน้า ค่าตัวเพิ่มขึ้นอีกอักโข

“หมอริท” เรืองฤทธิ์ ศิริพานิช
นั่นเป็นอารมณ์ของฝ่ายที่อยู่คนละขั้วกับ “โตโน่” ขณะที่ฝ่ายสนับสนุน ก็ออกมาตอบโต้ทันที โดยเฉพาะ “หมอก้อง” สรวิชญ์ สุบุญ แพทย์ รพ.พระมงกุฎ ดาราระดับพระเอกช่อง 3 โพสต์ข้อความแย้ง “หมอริท” ว่า มันใช่เวลาไหม ใครทำอะไรได้ก็ควรช่วยกัน จะรอคนโน้น คนนี้ทำไม อย่าอคติ เพียงแต่อาจจะทำได้ยังไม่ถึงระดับที่น้องพอใจ ก็นี่ไง ก็มีคนมาช่วยเท่าที่เขาทำได้อยู่นี่ไง ก็เป็นการบริจาค เป็นทางที่พวกเขาทำได้ หรือจะให้เขาไปแก้โครงสร้าง สธ.หรือไง เขายอมเหนื่อยเพื่อส่วนรวม แม้คนไม่เห็นด้วย

“ผมไม่ได้สนิทกับโตโน่ แต่ในฐานะที่ผมเป็นแพทย์ กล้าพูดได้เต็มปากว่า ที่เขาได้ปลื้ม หายเหนื่อยครับ มันหายเหนื่อยเพราะเห็นว่าสังคมยังมีคนกลุ่มหนึ่ง ไม่เลิกด้วย ที่เห็นใจพวกเรา อยากช่วยเท่าที่พวกเขาทำได้”

ส่วน “ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์” อาจารย์คณะสถิติประยุกต์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ หรือ นิด้า ก็แย้งว่า “หมอริท” พูดไม่ถูกต้อง เพราะสมัยอยู่ที่ขอนแก่น รพ.ศูนย์ขอนแก่น ขาดแคลนเครื่องช่วยหายใจอย่างหนัก ถ้ามีเครื่องช่วยหายใจดีๆ พยาบาล หมอ เหนื่อยน้อยลงแน่นอน อย่างโควิดระบาดหนักๆ ก็ขาดเครื่องช่วยหายใจ แต่พระเจ้าอยู่หัวท่านพระราชทานลงมาให้มากมาย จนเพียงพอและผ่านพ้นไปได้ พร้อมย้ำว่า อุปกรณ์การแพทย์ดีๆ ทุ่นแรงหมอและพยาบาลไปได้เยอะ มันมีอุปกรณ์การแพทย์ที่จำเป็นช่วยชีวิตเพื่อนมนุษย์ และทุ่นแรงหมอพยาบาลไปได้มากมาย “อย่ามัวแต่ฉีดสเตียรอยด์รักษาสิวครับ น้องหมอริท”

ด้าน “วิมล ไทรนิ่มนวล” นักเขียนมือรางวัลซีไรต์ โพสต์ข้อความฟาดใส่ “หมอริท” อยากหนักหน่วงว่า จะวิ่งจะว่ายอีกกี่ร้อยครั้ง ได้เงินบริจาคกี่พันล้านก็ไม่ได้ช่วยอะไรให้ดีขึ้น ถ้าไม่แก้ปัญหาที่โครงสร้าง พูดกี่ครั้งก็ดูเท่ทุกครั้งแหละ แต่ต้องรู้ก่อนว่าโครงสร้างสังคมที่เป็นอยู่นี้เป็นแบบไหน อย่างไร แจกแจงให้ชัด และต้องการให้เป็นแบบไหน อย่างไร อย่าเลียน้ำลายคนอื่นมาพูดพล่อยๆ เอาเท่

ขณะที่ในโลกทวิตเตอร์ ได้เกิดกระแสตีกลับไปยัง “หมอริท” ที่กล่าวโทษระบบประกันสุขภาพถ้วนหน้า หรือ 30 บาทรักษาทุกโรค เป็นต้นเหตุให้หมอทำงานหนัก เพราะไม่มีใครอยากป่วยแน่นอน แม้จะรักษาฟรี 0 บาท แต่ก็ไม่คิดอยากจะป่วยหรือเข้าโรงพยาบาลเลยแม้แต่น้อย ไม่มีใครอยากป่วยหรอก

“หมอก้อง” สรวิชญ์ สุบุญ
ส่วนเพจฝ่ายหนุนโตโน่บางเพจ ก็ค้นเอาภาพเก่าที่ “หมอริท” และครอบครัวเคยบริจาคเงินให้โรงพยาบาลในจังหวัดร้อยเอ็ด 200,000 บาท มาโพสต์ เพื่อจะบอกว่า ขณะที่ “หมอริท” ออกมาแซะโตโน่เรื่องว่ายน้ำหาเงินบริจาค ตัวเขาเองก็เคยบริจาคเช่นกัน
แต่ไม่ว่าดรามาจะจบลงหรือไม่อย่างไร กระทรวงสาธารณสุขเอง ได้ออกมาชื่นชมยกย่อง “โตโน่” แม้ว่าทางกระทรวงมีงบประมาณเพียงพอ แต่ถือว่าเป็นการตั้งใจทำความดี ถือเป็นพลังศรัทธาที่ยิ่งใหญ่ การบริจาคให้โรงพยาบาลเป็นเรื่องที่ดีทั่วโลก นานาประเทศ ก็บริจาค ตัวอย่างเช่น ทีมฟุตบอลพรีเมียร์ลีกก็ทำการกุศลมอบเงินให้โรงพยาบาลต่างๆ
สอดคล้องกับคำกล่าวของ รองนายกฯ และ รมว.สาธารณสุข อนุทิน ชาญวีรกูล ที่เดินทางไปต้อนรับ “โตโน่” หลังขึ้นจากน้ำ ที่ลานพญาศรีสัตตนาคราช จ.นครพนม ที่บอกว่า “โตโน่ คือ ฮีโร่” ใครก็ตามที่ทำอะไรแล้วไม่ส่งผลเสียหายแก่คนไทยและเกิดประโยชน์แก่ส่วนรวม นี่แหละคือ ฮีโร่ นี่แหละคือวีรบุรุษ และเงินบริจาคที่ได้เกินเป้า ก็แสดงให้เห็นว่าคนไทยมีความรักมีความสามัคคี และพร้อมช่วยเหลือกัน



**“ไพจิต” ยันยังอยู่ “เพื่อไทย” อ้างคิวรอรับ “อนุทิน” ที่พระธาตุพนม แค่บังเอิญ อ่านทางใช้ลูกเก๋า ขู่ต้นสังกัด หลังโดนบีบขึ้นปาร์ตี้ลิสต์

พลานุภาพรุนแรง พลังดูดยี่ห้อ “ภูมิใจไทย” ทำเอาช่วงนี้ “เสี่ยหนู” อนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ไปพบปะ “ส.ส.ต่างพรรค” คนไหน ก็เป็นเรื่องเป็นราว เป็นข่าวใหญ่โต
อย่างเมื่อวาน (23 ต.ค.) หลังเดินทางไปร่วมแสดงความยินดีกับ “โตโน่” ภาคิน คำวิลัยศักดิ์ นักร้องและนักแสดงชื่อดังที่ทำกิจกรรม ว่ายน้ำข้ามแม่น้ำโขงระดมเงินเพื่อซื้ออุปกรณ์ทางการแพทย์ให้ รพ.นครพนม และ รพ.แขวงคำม่วน สปป.ลาว เมื่อวันที่ 22 ต.ค.
ช่วงหยุดยาวมีเวลาพักผ่อนต่อที่ จ.นครพนม ก็เลยควง “ครูแก้ว” ศุภชัย โพธิ์สุ รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 2 และ ส.ส.นครพนม พรรคภูมิใจไทย เข้ากราบสักการะพระธาตุพนม วัดพระธาตุพนมวรมหาวิหาร อ.ธาตุพนม จ.นครพนม
เผอิญปะหน้า “ป๋าไพจิต” ไพจิต ศรีวรขาน ส.ส.นครพนม 11 สมัย แห่งพรรคเพื่อไทย ที่มารอต้อนรับถึงกระไดรถตู้ ก็เลยทำเอา “คนคิดลึก” คิดไปไกลว่า “ป๋าไพจิต” อาจจะร่วมกิจกรรมทางการเมืองกับพรรคภูมิใจไทย ในการเลือกตั้งครั้งหน้าเช่นเดียวกับ ส.ส.เพื่อไทย และพรรคอื่นอีกหลายราย ทั้งที่เปิดตัว และยังไม่เปิดตัว
ด้วยก่อนหน้านี้หลายวาระ “ป๋าไพจิต” ก็มักปรากฏตามหมายของ “ค่ายเซราะกราว” บ่อยครั้ง แล้วล่าสุด “ชูกัน กุลวงษา” รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) นครพนม และ อดีต ส.ส.พรรคเพื่อไทย ซึ่งเป็นคนใกล้ชิดกับ “ป๋าไพจิต” ก็สมัคร สมาชิกพรรคภูมิใจไทย และประกาศลงสมัคร ส.ส.นครพนม เขต 4 ในสีเสื้อ “ค่ายสีน้ำเงิน” เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
แล้วยังมีการวิเคราะห์กันไปอีกว่า ในพื้นที่ จ.นครพนม ไม่ใช่ฐานที่มั่นเดิมของ “ค่ายดูไบ” อีกต่อไป ด้วยว่าปัจจุบันมี “ครูแก้ว-ศุภชัย” สถาปนาตัวขึ้นเป็น “ขาใหญ่” อย่างเป็นทางการ และเพิ่งส่ง “น้องขวัญ” ศุภพานี โพธิ์สุ ลูกสาวสุดเลิฟ เข้าป้ายชนะเลือกตั้งได้เป็น นายก อบจ.นครพนม เอาชนะผู้สมัครที่พรรคเพื่อไทย สนับสนุนไปแบบสบายๆ
จนเชื่อว่า “นครพนม” จะเป็นพื้นที่หนึ่งในภาคอีสานที่ “ค่ายดูไบ” ไม่สามารถแลนด์สไลด์ยกจังหวัดทั้ง 4 เขต ได้อย่างแน่นอน

อนุทิน ชาญวีรกูล - ไพจิต ศรีวรขาน - ศุภชัย โพธิ์สุ
โดยในการเลือกตั้งเมื่อปี 2562 ก็เป็น “ครูแก้ว” ที่ยึดเก้าอี้ ส.ส.เขต 1 ทำให้พรรคเพื่อไทยสามารถคว้าชัยชนะได้เพียง 3 จาก 4 เขต ของนครพนมเท่านั้น

และในการเลือกตั้งครั้งหน้า ก็เป็นที่แน่นอนแล้วว่า “ชวลิต วิชยสุทธิ์” ส.ส.เขต 4 พรรคเพื่อไทย จะย้ายสำมะโนครัว ไปสังกัดพรรคไทยสร้างไทย ของ “คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์” โดยคาดว่า “สมชอบ นิติพจน์” อดีตนายก อบจ.นครพนม จะลงสมัครแทนที่เขตนี้

ส่งผลให้พรรคเพื่อไทยเหลือ ส.ส.เพียง 2 คน ที่จะลงสมัครรับเลือกตั้งในครั้งหน้า คือ “ไพจิต” ที่เขต 3 และ “ส.ส.เดือน” มนพร เจริญศรี รองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย ที่เขต 2 เท่านั้น

อย่างไรก็ตาม แม้จะมีการเปิดตัวว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.นครพนม ของพรรคเพื่อไทยไปแล้ว รวมทั้ง “อุ๊งอิ๊ง” แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย ก็เคยยกทัพมาเปิดเวทีปราศรัยในแคมเปญ "ไล่หนูตีงูเห่า” ที่ จ.นครพนม เมื่อเดือน มิ.ย.ที่ผ่านมา

ทว่ากลับเกิดกระแสข่าวแปร่งหูว่า มี “คลื่นใต้น้ำ” ในพรรคเพื่อไทย ที่พยายามเคลื่อนไหวให้มีการเปลี่ยนตัว “ไพจิต” ให้ขึ้นไปสมัครในระบบบัญชีรายชื่อ โดยอ้างว่า ผลโพลในพื้นที่เขต 3 ไม่ดี และครั้งก่อนก็ชนะคู่แข่งมาเพียง 2 พันคะแนนเท่านั้น

เพื่อหวังเปิดทางให้ “คนรุ่นใหม่” ลงสมัครแทน เพื่อให้เข้า “เทรนด์” กับหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย ที่คาดว่าจะเป็นแคนดิเดตนายกฯ ของพรรคด้วย

ถือเป็นการตบหน้า “ไพจิต” ที่เป็นระดับ “ส.ส.ตลอดกาล” อย่างแรง ทำเอาต้องมีการต่อสายไปฟ้อง “คนแดนไกล” ที่มี “บางคนในพรรค” ไม่ให้เกียรติ ส.ส.เก่า เหมือนกับที่เกิดขึ้นในหลายพื้นที่

ซึ่ง “คนแดนไกล” ก็ตกปากรับคำว่า “ไพจิต” ยังได้ลงสมัครในพื้นที่เดิมอย่างแน่นอน ทำให้เรื่องซาลงไป

อย่างไรก็ดี ในฐานะที่คร่ำหวอดในยุทธจักรการเมืองมาเกินกว่า 30 ปี “ไพจิต” ก็รู้ดีว่า การเมืองไม่มีอะไรแน่นอน ก็เลยต้องงัด “ลูกเก๋า” ออกมาขู่ใส่ต้นสังกัด โดยเฉพาะการแวะเวียนไปร่วมงานของรัฐบาล โดยเฉพาะกับ “ค่ายเซราะกราว” พรรคภูมิใจไทย เพื่อโชว์ให้เห็นว่า ไม่ได้จนตรอก และมีที่ไป หากพรรคเกิด “เบี้ยว” ไม่ส่งลงสมัคร ส.ส.เขต

โดยเฉพาะหากเป็น พรรคภูมิใจไทย ที่คาดกันว่า จะเป็น “ก้างขวางคอ” ไม่ให้พรรคเพื่อไทย ไปถึงเป้าหมายแลนด์สไลด์ในพื้นที่ภาคอีสาน

ก็เลยเป็นเหตุให้ต้อง “บังเอิญ” มาต้อนรับ “อนุทิน” ที่พระธาตุพนม ก่อนจะออกมาแถลงข่าวยืนยันว่า ใจยังอยู่กับพรรคเพื่อไทย ไม่แปรเปลี่ยน และไม่เคยคิดที่จะไปร่วมงานกับพรรคภูมิใจไทย อย่างที่ข่าวแพร่สะพัดออกไป

เอาว่าวันนี้ “ป๋าไพจิต” ยังมั่นคงอยู่กับ “ค่ายดูไบ” แต่มาทรงนี้ เชื่อว่า วันหน้าหากเกิดมีรายการ “เบี้ยว” กันขึ้นมา ก็ค่อยว่ากันอีกที


กำลังโหลดความคิดเห็น