ข่าวปนคน คนปนข่าว
**ดรามา “โตโน่” ว่ายน้ำข้ามโขง ทำดีใยต้องละอาย VS วิธีการที่ไม่ตอบโจทย์?
ดรามากันมาตั้งแต่วันแรกที่เปิดตัว จนจวนเจียนจะถึงวันที่ โครงการ “One Man And The River” หรือ ว่ายน้ำข้ามโขง ของ “โตโน่” ภาคิน คำวิลัยศักดิ์ เพื่อการกุศลสนับสนุนช่วยเหลือโรงพยาบาลขาดแคลน ทั้งโรงพยาบาลนครพนม และ โรงพยาบาลแขวงคำม่วน สปป.ลาว จะเริ่มขึ้นในวันเสาร์นี้ (22 ต.ค.)
เมื่อสังคมรับรู้ก็มีคำถามตามมาเป็นพรวน เกิดเป็นประเด็นถกเถียง และกลายเป็นกระแสดรามาในที่สุด... ฝ่ายที่ไม่เห็นด้วย ซึ่งมีไม่น้อยที่สงสัย จริงๆ แล้วนี่เป็นหน้าที่ของใคร ? เอะอะอะไรก็ขอรับบริจาค? เงินภาษีที่รัฐเก็บไป เอาไปไหนหมด? เห็นมีแต่เอาไปจ่ายให้กองทัพจัดซื้อรถถัง-เรือดำน้ำ แล้วผู้ประสบภัยน้ำท่วมล่ะ มีใครช่วยเหลือ?
ดรามาหนักที่สุดก็เห็นจะเป็น “วิธีการ” ทำไมโตโน่ ต้อง “ว่ายน้ำ” ?
ว่าแล้ว เพจเก็บรักษ์ ได้เผยคลิป 5 คำถาม ที่เจอบ่อยๆ มาให้ “โตโน่” ตอบ โดยพระเอกหนุ่มและนักร้องชื่อดัง ได้เปิดใจถึงปมดรามาตั้งแต่ว่า ทำไมถึงเลือกที่จะว่ายน้ำ ?
“โตโน่” บอกว่า รู้อยู่แล้วต้องโดนด่า รู้สึกว่าการว่ายน้ำเกิดการตั้งคำถามมากที่สุด คอนเสิร์ตที่ผ่านมาเดือนเมษายน “เล่นเปลี่ยนโลก” ไม่มีใครมาด่าสักคน แต่ถามว่า ทำแล้วมีคนรู้จักไหม? เมื่อรับทราบว่าโรงพยาบาลขาดแคลน ทั้งนครพนม และท่าแขก ถือเป็นเรื่องที่ใหญ่เกินตัวผม แล้วไหนจะเรื่องระบบนิเวศในแม่น้ำโขงอีก ที่มันกำลังจะพัง เลยคิดว่า โอเค! โดนด่าจะได้อธิบาย ถ้าใน 100 คน ฟังสักคนหนึ่งก็ดีใจแล้ว
ขณะที่คำถามว่า ทำไมถึงยอมเสี่ยงว่ายน้ำโขง ที่มีคนมองว่าอาจเกิดอันตรายได้ เป็นภาระของเจ้าหน้าที่ และคนดูแล เจ้าตัวบอกว่า ...
“ผมก็รักชีวิตผม ผมไม่คิดจะว่ายก็ว่าย ได้คำนวณและวางแผนมาเป็นอย่างดีแล้ว ว่ามันมีความเป็นไปได้ไหม ช่วง 22 ตุลาคม เป็นช่วงปลายมรสุม เป็นช่วงหนึ่งที่แม่น้ำโขงของนครพนม และท่าแขกสวยที่สุด เราจะได้ในเรื่องของการท่องเที่ยวด้วย แล้วกระแสน้ำจะช่วยผม มันเลยทำให้การว่ายครั้งนี้ มันเหมือนกับมีแรงส่งผมด้วย เพราะจริงๆ ระยะทาง 15 กิโลเมตร ผมไม่เคยว่ายมาก่อน เราคำนวณแล้วว่ามันเกิดขึ้นได้กับทีมที่เราฝึกมาด้วยกัน ตั้งแต่ “ONE MAN AND THE SEA” เรามั่นใจในทีมเรา และเรารู้ว่าเราจะได้ไม่ต้องไปรบกวนคนอื่นๆ”
แน่นอนว่า ผลลัพธ์ที่คาดหวังจากงานนี้เป็นความต้องการอยากช่วยโรงพยาบาลทั้งสองฝั่ง คือ นครพนม และท่าแขก สปป.ลาว ช่วยหมอ-พยาบาล หาเครื่องมือที่ต้องการมากที่สุด อีกอย่างหนึ่งคือ อยากช่วยเรื่องของจิตสำนึกในการช่วยกันดูแลแม่น้ำ โดยเริ่มจากแม่น้ำโขง เรียกว่าเห็นปัญหาด้วยตาแล้วไม่อยากจะปล่อยผ่าน
ส่วนที่ว่า ทำไมต้องมาแบ่งเบางบประมาณรัฐ ปล่อยให้เป็นหน้าที่รัฐบาลไม่ดีกว่าหรือ “โตโน่” อธิบายว่า เกือบทุกโรงพยาบาล มีปัญหาเหมือนกัน คือ งบฯไม่พอ จำนวนคนป่วยมากขึ้นทุกวัน โดยเฉพาะจังหวัดนครพนม ซึ่งไม่ได้มีแค่เรื่องของคนนครพนมนะ เป็นเรื่องของนักท่องเที่ยว ที่เพิ่มขึ้นทุกปีด้วย รวมถึงจังหวัดใกล้เคียงด้วย แล้วเวลาที่เคสที่หนักของทางฝั่ง สปป.ลาว เขาก็ส่งมาที่โรงพยาบาลนครพนมด้วย
ในการรับรู้ของ “โตโน่” เขาเชื่อว่า เกือบทุกโรงพยาบาลมีการเปิดรับบริจาคอยู่หลายโครงการ แต่พอได้ไปเห็นกับตา จึงคิดว่า ตัวเองพอจะช่วยอะไรได้บ้าง และเชื่อว่า อาจจะทำให้เสียงของเขาไปถึงหูคนได้มากขึ้น ซึ่งก็หวังให้เป็นอย่างนั้น
วันนี้เสียงของ “โตโน่” กับการว่ายน้ำข้ามโขงครั้งนี้ ก็ดังพอสมควร ซึ่งต้องติดตามกันต่อไปว่า ยอดบริจาคจะมีมากน้อยแค่ไหน แต่ชั่วโมงนี้เสียงที่ดังสอดแทรกมาคือ ดรามา ที่ว่า “ทำดีใยต้องละอาย” VS “วิธีการที่ไม่ตอบโจทย์?”
นี่จะคิดเห็นกันเป็นประการใดก็สุดแต่ใจกันเลยนะจ๊ะ นานาจิตตัง ใจคนนั่นยากแท้หยั่งถึง แต่เบาได้เบา อย่าถึงขั้นเหมือน “ลุงศักดิ์” กะ “พี่ศรี” ก็แล้วกัน ขอร้อง ไม่สนับสนุนความรุนแรง เอาเป็นว่า ฝากไว้ให้คิดสักหน่อย อย่างน้อยคนทำดี-คิดดี ก็ไม่ควรไปขวางมิใช่หรือ ?
** ชาติไทยพัฒนา พลังประชารัฐ ประชาธิปัตย์ ประสานเสียง หัวเด็ดตีนขาด ไม่แก้ ม.112
ถือว่าไม่ผิดไปจากความคาดหมาย ที่พรรคก้าวไกล ออกมาเสนอนโยบบายสำหรับหาเสียงในการเลือกตั้งครั้งหน้า ซึ่งหนึ่งในนั้นมีหัวข้อ “การเมืองไทยก้าวหน้า” เสนอให้มีการแก้กฎหมายอาญา มาตรา 112 เพื่อนำไปสู่การ “ปฏิรูปสถาบันกษัตริย์”... อ้างว่ากฎหมายนี้ เป็นกรอบ เป็นกำแพงที่ปิดกั้น สิทธิ เสรีภาพ ของประชาชน
กว่า 3 ปีที่ผ่ามา บทบาทของ “พรรคก้าวไกล” ทั้งนอกสภา ในสภา ชัดเจนมากกับเรื่องนี้ โดยในสภานั้นพยายามผลักดันให้มีการแก้ ม.112 แต่ร่างกฎหมายที่เสนอไม่ได้รับการบรรจุเข้าวาระเพื่อพิจารณา เพราะเห็นว่าขัดรัฐธรรมมนูญ... ส่วนนอกสภา ส.ส.หลายคนของพรรคก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า เป็นผู้อยู่เบื้องหลังเยาวชน “กลุ่มสามนิ้ว” ที่เคลื่อนไหว แบบรุนแรง ท้าทายกฎหมาย ชนิดที่น่าจะเรียกว่า มุ่งเป็น “ปฏิปักษ์” มากกว่ามุ่งหวัง “ปฏิรูป”
ถึงวันนี้ พรรคก้าวไกล ก็ยังคงยืนหยัด ยืนยันว่าจะเดินหน้าชนต่อไป !!
สำหรับการเมืองไทยนั้น ว่ากันว่า ผู้ที่จะเป็นนายกรัฐมนตรี เป็นผู้นำในการบริหารประเทศได้นั้น จะต้องมีความรู้ ความเข้าใจในพื้นฐานการเมืองแบบไทยๆ เข้าใจระบบราชการ มีความรู้ด้านเศรษฐกิจ และที่สำคัญคือ เป็นผู้ที่มีความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์
พรรคการเมืองที่จะได้รับการสนับสนุนจากประชาชนก็เช่นกัน นอกจากนโยบายด้านการเมือง การปกครอง ระบบราชการ ด้านเศรษฐกิจ การศึกษา การเกษตร สวัสดิการ แล้ว ประชาชนยังต้องการความชัดเจนในเรื่อง ความจงรักภักดี ปกป้อง เทิดทูน สถาบันพระมหากษัตริย์ด้วย
ดังนั้น พรรคการเมืองต่างๆ จึงต้องออกมาประกาศถึงความชัดเจนว่ามีจุดยืนอย่างไร ต่อการแก้ไข มาตรา 112
วันก่อน “เสี่ยหนู” อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี รมว.สาธารณสุข และหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ออกมายืนยันแล้วว่า “ภูมิใจไทย” ไม่มีนโยบาย ไม่มีความคิดเรื่องแก้ไข มาตรา112 หากใครคิดแก้ ก็จะคัดค้าน ขัดขวางให้ถึงที่สุด และจะไม่ร่วมตั้งรัฐบาลกับพรรคที่เสนอแก้ ม.112 โดยเด็ดขาด
ล่าสุด “วราวุธ ศิลปอาชา” รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในฐานะหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา (ชทพ.) บอกว่า เราจะไม่ไปยุ่งอะไรกับ มาตรา 112 เพราะตั้งแต่เกิดมาจนถึงทุกวันนี้ ก็ไม่เห็นคนทั่วไปมีปัญหา อีกทั้งปัจจุบันขนาดบุคคลธรรมดา ยังมีคดีหมิ่นประมาทอยู่ในศาลตั้งหลายร้อย หลายพันคดี ซึ่ง มาตรา 112 ไม่ใช่มาตราที่หาเรื่องใคร แต่ใช้เพื่อปกป้องสถาบันฯ อันเป็นที่รักของปวงชนชาวไทย หากมีใครอุตริไปหาเรื่อง เราจะต้องมีอุปกรณ์ มีกฎหมายที่ปกป้องสถาบันฯได้
...มาตรา 112 มีมาตั้งแต่สมัยปู่ ย่า ตา ยาย ไม่เห็นใครมีปัญหา หัวเด็ดตีนขาด ก็ต้องมีมาตรา 112 รอให้ดินกลบหน้า ผมก็ไม่ยอมแก้มาตรา 112 แน่นอน!!
“ดร.พัชรินทร์ ซำศิริพงษ์” ส.ส.กทม. โฆษกพรรคพลังประชารัฐ แถลงว่า จุดยืนของพรรคพลังประชารัฐ ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งกับการแก้ไขมาตรา 112 ที่เป็นบทบัญญัติในการคุ้มครองประมุขของรัฐ เราชัดเจนมาโดยตลอดต่อการเทิดทูนสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข โดยพรรคพลังประชารัฐ จะยึดมั่นแนวทางนี้ ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง
“ชินวรณ์ บุณยเกียรติ” ส.ส.นครศรีธรรมราช ประธานวิปพรรคประชาธิปัตย์ บอกว่า จุดยืนของปชป. คือ เราเสนอให้มีการทำประชามติ พร้อมกับการเลือกตั้งครั้งหน้า ว่า ประชาชนเห็นด้วยหรือไม่กับการแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ โดยให้มี ส.ส.ร. มาเป็นผู้ยกร่าง เพื่อให้รัฐธรรมนูญเป็นประชาธิปไตยมากขึ้น แต่เราไม่เห็นด้วยกับการแก้ไขมาตรา 112 และหมวดที่เกี่ยวข้องกับพระมหากษัตริย์...
ถึงวันนี้ ยังไม่มีพรรคการเมืองใดออกมาประกาศว่าเห็นดี เห็นงาม พร้อมเป็นแนวร่วมกับพรรคก้าวไกลเลย!!