เมืองไทย 360 องศา
ผลจากมติเสียงข้างมากของสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 14 กันยายน ให้ถอนร่างพระราชบัญญัติกัญชา กัญชง พ.ศ... ออกจากวาระการประชุมสภา ดูเหมือนว่า กำลังสร้างรอยร้าวขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัดระหว่างพรรคร่วมรัฐบาล โดยเฉพาะระหว่างพรรคภูมิใจไทย กับ พรรคประชาธิปัตย์ รวมไปถึงอาจมีความหมางใจไปถึงพรรคพลังประชารัฐที่เป็นพรรคแกนหลักของรัฐบาลด้วยก็ได้
แน่นอนว่า การ “ปลดล็อก” กัญชา ออกจากบัญชียาเสพติด โดยวัตถุประสงค์หลักเพื่อใช้ในทางการแพทย์ รวมไปถึงการได้ประโยชน์ในทางเศรษฐกิจตามมาอย่างมหาศาล โดยเฉพาะการเปิดทางให้ประชาชนสามารถปลูกพืชกัญชาในครัวเรือนตามที่กำหนดเอาไว้ ได้สร้างแรงสั่นสะเทือนตามมามากมาย ขณะเดียวกัน ก็ได้เรียกเสียงวิพากษ์วิจารณ์ตามมามากมาย ทั้งที่วิจารณ์ท้วงติงด้วยความห่วงใย และแฝงมาด้วยประสงค์ร้าย ทั้งในเรื่องการกระทบกับผลประโยชน์อันมหาศาล
อย่างไรก็ดี นาทีนี้อาจต้องมองข้ามในรายละเอียดของข้อกฎหมาย รวมถึงผลดีผลเสียของการมีหรือไม่มี หรือต้องปรับแก้ไขอย่างไรให้รัดกุมเพิ่มเติมอีกหรือไม่ เพราะยังต้องถกเถียงกันอีกยาว แต่จะโฟกัสไปที่ผลกระทบทางการเมืองที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ตรงหน้าระหว่างพรรคร่วมรัฐบาลในลักษณะที่กำลังมีรอย “ปริร้าว” ที่อาจถ่างกว้างขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้ก็เป็นได้ แม้ว่าในการลงมติให้ถอนร่างดังกล่าวออกไปมีพรรคเพื่อไทย รวมไปถึงพรรคฝ่ายค้าน และพรรคร่วมรัฐบาลอื่นร่วมวงด้วยก็ตาม
อย่างไรก็ดี แม้ว่าเท่าที่เห็นอาการอาจยังไม่ถึงขั้นเลวร้ายถึงขั้นต้องแตกหักโดยเร็ว เพราะเชื่อว่าแต่ละพรรคก็ยังไม่พร้อมที่จะไปเลือกตั้งกันในช่วงเวลานี้ ยังต้องการเป็นรัฐบาลบริหารงบประมาณไปให้ยาวที่สุดเท่าที่จะนานได้
อย่างที่ระบุไว้ตั้งแต่ต้นแล้วว่าให้โฟกัสไปที่สองพรรค คือ ภูมิใจไทย กับ ประชาธิปัตย์ ที่ถือว่ากลายเป็นคู่ขัดแย้งกันอย่างชัดเจนในเรื่องดังกล่าว และต้องยอมรับเช่นเดียวกันว่า หากพูดถึงเรื่องการ “ปลดล็อกกัญชา” ก็ต้องเพ่งมองไปที่พรรคภูมิใจไทย ที่เดินหน้าผลักดันมาตั้งแต่ต้น โดยมีภาคสังคม มวลชนจำนวนไม่น้อยให้การสนับสนุน และผลจากการผลักดันในเรื่องดังกล่าวก็ทำให้คะแนนนิยมของพรรคนี้เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาจากผลสำรวจของ “อีสานโพล” จากมหาวิทยาลัยขอนแก่น ที่เคยยืนยันออกมาให้เห็นแล้วก่อนหน้านี้
ขณะเดียวกัน ยังเชื่อว่า หากทุกอย่างสำเร็จสามารถทำให้กัญชากลายเป็นพืชเศรษฐกิจ สร้างรายได้ให้กับครัวเรือน ก็ย่อมส่งผลทางการเมืองตามมาอย่างแน่นอน แต่อีกด้านมันก็น่าจับตาว่าจะกลายเป็นชนวนความขัดแย้งตามมาเช่นเดียวกัน ดังจะเห็นได้จากผลจากการลงมติเสียงข้างมากให้ถอนร่างกฎหมายกัญชาฯ ออกไป ซึ่งมีความเป็นไปได้ว่าจะลากยาวไปจนพ้นวาระสภานี้ก็เป็นไปได้ไม่น้อย เนื่องจากมีเป้าหมายไม่ให้มีผลบังคับใช้ได้ทันการเลือกตั้งครั้งหน้า หรือไม่ ทำให้บางพรรคไม่อาจนำไปใช้หาเสียงได้เต็มที่
ที่ต้องย้ำว่า ผลจากมติดังกล่าวทำให้เกิดรอยร้าวขึ้นมา เพราะหลังจากนั้น นายศุภชัย ใจสมุทร ประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างกฎหมายกัญชาฯ จากพรรคภูมิใจไทย ยืนยัน เรื่องนี้ปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นเรื่องการเมือง และการที่ นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย ส.ส. ตรัง พรรคประชาธิปัตย์ ไม่ได้อ่านร่างกฎหมายของกรรมาธิการ แต่กลับอ้างว่า มีความหละหลวม เป็นการกล่าวหาเลื่อนลอย ไม่ได้เอาความจริงมาพูด และบิดเบือน พร้อมยืนยันว่า ร่างกฎหมายดังกล่าวเป็นกฎหมายที่ดี ป้องกันผลกระทบที่จะเกิดขึ้นแก่สังคม อีกทั้งไม่ได้เป็นเรื่องของพรรคใดพรรคหนึ่ง เป็นการพิจารณาของสภาร่วมกัน มีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมพิจารณา และก่อนหน้านี้หลายพรรคก็เห็นด้วย
ส่วนที่ผ่านมา มีสัญญาณว่า ภูมิใจไทยจะถูกเตะสกัดกฎหมายนี้หรือไม่ นายศุภชัย กล่าวว่า ประชาชนสนใจ นโยบายกัญชาของพรรคภูมิใจไทย หลังประกาศปลดล็อกกัญชาจากบัญชียาเสพติด มีผู้ลงทะเบียนปลูกนับล้านคน อาจทำให้พรรคการเมืองอื่นตกใจ และเมื่อวานนี้ ที่ประชุมสภาพิจารณาร่าง พ.ร.บ.เงินกู้ยืมเพื่อการศึกษา หรือ กยศ. ที่ภูมิใจไทยผลักดันเป็นอีกนโยบายให้ไม่คิดดอกเบี้ย หรือ 0% ในขณะที่พรรคประชาธิปัตย์ห่วงกองทุนไม่มีเงินหมุนเวียนอยากให้เก็บ 0.25% จึงอาจมีอารมณ์ค้างจากเรื่องนี้ด้วย
นายศุภชัย ยังกล่าวถึงกรณีที่ นายสุทิน คลังแสง รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย บอกว่า ไม่มีมาตราไหนระบุว่า กัญชาผิดกฎหมาย โดยยืนยืนยันว่า ไม่มีกฎหมายใดเขียนว่าอนุญาตให้สูบ หรือใช้นันทนาการ จึงเป็นเรื่องบิดเบือน และไม่เชื่อว่า นายสุทิน จะพหูสูตร ศึกษากฎหมายทั้งหมดแล้ว
นายศุภชัย ย้ำว่า สิ่งที่เสนอให้ทบทวนร่างไม่เคยมีในประวัติศาสตร์การเมือง เพราะยังไม่มีการเริ่มนับ 1 เพียงแค่ได้ยินว่าไม่ดี ถือเป็นการเจตนาล้มกฎหมายฉบับนี้ และจะทำให้กัญชาเสรีเกิดขึ้น เพราะไม่มีกฎหมายควบคุมการใช้ในทางที่ผิด ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าห่วงใย ทั้งที่พยายามเต็มที่แล้ว เพราะจะไม่มีกฎหมายควบคุม เช่น ห้ามหรือตั้งร้าน สูบสถานที่ใด
เมื่อถามว่า เป็นการเอาคืนเป็นเกมการเมือง และจะกระทบการหาเสียงในอนาคตของพรรคภูมิใจไทยหรือไม่ นายศุภชัย กล่าวว่า จะได้บอกประชาชน ว่า ถูกขัดขวาง ถูกสกัด ไม่มีกฎหมายควบคุม และจากที่ฟังเมื่อวาน ทั้งพรรคประชาธิปัตย์ และเพื่อไทย ต้องการให้กัญชากลับไปเป็นยาเสพติดอีกครั้ง แปลว่า คนที่ปลูกนับล้านคน และใช้ประโยชน์จากกัญชา ทำผิดกฎหมาย จึงขอถามว่าเตรียมคุกพอไว้ขังประชาชนหรือไม่
สำทับตามมาจาก นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ที่ระบุว่า
“เข้าใจได้ว่าเป็นประเด็นการเมือง เมื่อประชาชนจำนวนมากเริ่มได้รับประโยชน์จากนโยบายกัญชาแล้ว ในขณะที่การเลือกตั้งก็ใกล้เข้ามา ก็เข้าใจได้ในเป้าประสงค์ทางการเมืองของกลุ่มที่คัดค้าน”
ขณะที่ ฝ่ายประชาธิปัตย์ แม้จะไม่มีท่าทีจากหัวหน้าพรรค คือ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ ว่าเป็นแบบไหน แต่ นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย ส.ส.ของพรรคที่เสนอให้ถอนร่างดังกล่าวออกไป ยันว่า เพื่อความรอบคอบ ให้นำไปปรับปรุงเพื่อป้องกันผลกระทบตามมาในอนาคต ไม่ใช่เรื่องการเมือง
พิจารณาจากอาการแล้วมั่นใจว่างานนี้ไม่ธรรมดาแน่นอน เพราะกลายเป็นความเห็นที่ขัดแย้งกันระหว่างพรรคการเมืองโดยเฉพาะระหว่างพรรคร่วมรัฐบาล เพราะเมื่อพิจารณาจากผลโหวตที่มีการบันทึกออกมาแล้ว นอกเหนือจากฝ่ายค้านอย่างพรรคเพื่อไทย ทางฝ่ายรัฐบาลที่เห็นไปทางตรงกันข้ามนอกเหนือจากพรรคประชาธิปัตย์แล้ว ยังมีเสียงจากพรรคพลังประชารัฐร่วมโหวตในทางเดียวกันด้วย
ถือว่าเป็นเรื่องน่าคิด เพราะก่อนหน้าการโหวตไม่กี่ชั่วโมง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ ที่รักษาการนายกฯ และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ได้เรียกประชุมหัวหน้าพรรคและแกนนำพรรคร่วมรัฐบาลเพื่อหารือในเรื่องการโหวตของฝ่ายรัฐบาลให้ไปในทางเดียวกัน แต่เมื่อผลออกมาอย่างที่เห็น มันก็ทำให้ว่ามันมีรอยปริออกมาชัดเจนมากขึ้น และส่งผลทางการเมืองในอนาคตแน่นอน
อย่างไรก็ดี แม้ว่าพิจารณาจากรูปการณ์แล้ว ในเวลานี้ยังไม่ถึงขั้นแตกหัก และสภาก็กำลังจะปิดสมัยประชุมในอีกไม่กี่วัน และเป็นช่วงปลายวาระสภาแล้ว แต่ด้วยสถานการณ์ทางการเมืองที่ทุกฝ่ายจะต้องช่วงชิงเพื่อหวังผลจากการเลือกตั้งที่กำลังจะเกิดขึ้น อะไรมันก็เกิดขึ้นได้ ยิ่งบางเรื่องที่สำคัญ มีผลต่อการหาคะแนนเสียง เมื่อได้จังหวะมันก็ต้องเสี่ยง ไม่อาจดูเบาเป็นอันขาด !!
