ข่าวปนคน คนปนข่าว
**เช็กลำดับอาวุโสบิ๊กสีกากี ส่อง 3 แคนดิเดต “วิสนุ-ดำรงศักดิ์-รอย” คั่ว ผบ.ตร.
ความเคลื่อนไหวในวงการสีกากีคึกคัก เมื่อสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้ประกาศลำดับอาวุโสระดับ “รอง ผบ.ตร. - จตช. - รอง ผบก.” รองรับการแต่งตั้งนายพลสีกากี วาระประจำปี 2565 โดยเมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2565 “บิ๊กปั๊ด” พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. ลงนามบันทึกข้อความ ที่ 0009.231/2535 “ประกาศลำดับอาวุโสข้าราชการตำรวจระดับ รอง ผบก. ถึง จตช. และ รอง ผบ.ตร.” โดยกองทะเบียนพล สำนักงานกำลังพล สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้ลงประกาศลำดับอาวุโสข้าราชการตำรวจระดับ รอง ผบก. ขึ้นไป วาระประจำปี 2565 ซึ่งขณะนี้อยู่ในห้วงเวลาดำเนินการคัดเลือกแต่งตั้งข้าราชการตำรวจ ดำรงตำแหน่งระดับ ผบก. ขึ้นไป วาระประจำปี 2565 เพื่อให้การคัดเลือกแต่งตั้งเป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ และหลักเกณฑ์ ที่เกี่ยวข้อง
ที่น่าสนใจ สำหรับระดับรอง ผบ.ตร. เรียงตามลำดับอาวุโส ดังนี้ 1. พล.ต.อ.วิสนุ ปราสาททองโอสถ จตช. 2. พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติ์ประภัสร์ รอง ผบ.ตร. และ 3. พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์ รอง ผบ.ตร.
ว่ากันว่า นี่เป็น 3 แคนดิเดต ที่มีโอกาสคั่วตำแหน่ง ผบ.ตร. ต่อจาก “พล.ต.อ.สุวัฒน์” ที่จะเกษียณอายุในเดือนกันยายนนี้ ซึ่งปีนี้ต้องถือว่าต้องเบียดกันชนิดสุดสูสี เพราะแต่ละคนมีดีกันคนละอย่าง ในการหยั่งเสียงในรั้วปทุมวันยกแรก หลังประกาศลำดับอาวุโสนี้มีเสียงให้จับตาตัวเก็ง พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติ์ประภัสร์ มากเป็นพิเศษ
ส่วน ระดับผู้ช่วย ผบ.ตร. เรียงตามลำดับอาวุโสดังต่อไปนี้
1. พล.ต.ท.ชินภัทร สารสิน ผู้ช่วย ผบ.ตร.
2. พล.ต.ท.ไกรบุญ ทรวดทรง ผู้ช่วย ผบ.ตร.
3. พล.ต.ท.สราวุฒิ การพานิช ผู้ช่วย ผบ.ตร.
4. พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ผู้ช่วย ผบ.ตร.
5. พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผู้ช่วยผบ.ตร.
6. พล.ต.ท.ธนา ชูวงศ์ ผู้ช่วย ผบ.ตร.
7. พล.ต.ท.ประจวบ วงศ์สุข ผู้ช่วย ผบ.ตร.
8. พล.ต.ท.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้ช่วย ผบ.ตร.
9. พล.ต.ท.ภาณุรัตน์ หลักบุญ รอง จตช.
10. พล.ต.ท.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้ช่วย ผบ.ตร.
งานนี้ไฮไลต์ ใครจะได้นั่งเก้าอี้ผู้นำปทุมวันคงต้องติดตามกันต่อไป
**แค่โหมโรงศึกซักฟอก พปชร.ก็ฟัดกันเองซะแล้ว แย่งเป็น “ทีมปราบมาร” หวังโชว์ฝีปากให้เข้าตานายกฯ
ญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรี ที่ฝ่ายค้านยื่นต่อประธานสภา ทิ้งทวนก่อนรัฐบาลหมดวาระ และต้อนรับการเลือกตั้งครั้งใหม่ มี “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม เป็นเป้าหลัก...พ่วงด้วย 10 รัฐมนตรี จากพรรคร่วมรัฐบาล ทั้งพลังประชารัฐ ประชาธิปัตย์ และภูมิใจไทย รวมทั้งหมด 11 ชีวิต
ส่วนเวลาในการอภิปรายนั้น “นิโรธ สุนทรเลขา” ประธานวิปรัฐบาล เห็นว่า 4 วัน ก็น่าจะพอ คือในเดือนหน้า ระหว่างวันที่ 18-20 ก.ค. แล้วไปลงมติวันที่ 21 ก.ค. ส่วนฝ่ายค้าน ขอเวลาชำแหละสัก 5 วัน คือ ช่วงวันที่ 18-22 ก.ค. ขณะที่ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา บอกไม่มีปัญหา จะ 4 วัน หรือ 5 วัน ก็ได้ทั้งนั้น ให้วิปรัฐบาลและวิปฝ่ายค้านไปตกลงกันมา
เพราะนอกจาก “บิ๊กตู่” จะมั่นใจและพร้อมที่จะตอบโต้กับฝ่ายค้านแล้ว ยังมั่นใจในมือที่จะยกสนับสนุนทั้ง 11 รัฐมนตรี เพราะปัจจุบันสภามี ส.ส.เพียง 475 เสียง ไม่ครบ 500 ... กึ่งหนึ่งคือ 238 เสียง ขณะที่ฝ่ายค้านมีแค่ 194 เสียง
ส่วนกลุ่มที่อาจจะมีการต่อรองแล้วไม่ได้ดั่งใจ จนหันไปเทเสียงให้ฝ่ายค้าน อย่างกลุ่ม 16 ของ “พิเชษฐ สถิรชวาล” ที่มีอยู่ 16 เสียง หรือ “ก๊วนผู้กองธรรมนัส” ที่มีอีก 16 เสียง รวมเป็น 32 เสียง เมื่อไปรวมกับฝ่ายค้าน 194+32 ก็ได้แค่ 226 เสียง ไม่ถึงกึ่งหนึ่ง ...
ขณะที่ฝ่ายรัฐบาลมี 249 เสียง นี่ยังไม่ได้นับ ส.ส.ฝากเลี้ยง ส.ส.งูเห่า ที่ชื่ออยู่กับพรรคฝ่ายค้าน แต่ใครๆ ก็รู้ว่า “ปันใจ” ไปอยู่กับรัฐบาลตั้งนานแล้ว
ดังนั้น ฝ่ายรัฐบาล มั่นใจว่า มีมือเหลือเฟือ ศึกซักฟอกครั้งนี้ ผ่านฉลุย!!
ส่วนฝ่ายค้านเองก็รู้ว่าโค่นรัฐบาลไม่ลง และก็ไม่อยากโค่นด้วยจำนวนมือด้วย เพราะถ้าจะทำเช่นนั้นคงหมด “กล้วย” เป็นสวนๆ ยังไม่รู้จะโค่นสำเร็จหรือเปล่า...โดยเฉพาะถ้าฝ่ายค้านเกิดโหวตชนะ... “บิ๊กตู่” ก็ต้องยุบสภา ไม่เลือกวิธีลาออกแน่ ...แล้วกฎหมายลูกเรื่องบัตรเลือกตั้งสองใบที่ค้างสภาอยู่ก็จะตกไปด้วย
“พรรคเพื่อไทย” ที่หมายมั่นปั้นมือว่าจะแลนด์สไลด์ ย่อมไม่ต้องการให้เป็นเช่นนั้นแน่
เกมการอภิปรายในครั้งนี้จึงหวังแค่ว่าจะตี “บิ๊กตู่” และคนรอบข้างให้น่วม แล้วไปหวังผลในการเลือกตั้งครั้งหน้า
ขณะที่ฝ่ายรัฐบาลก็รู้เกมดี ก็ต้องเตรียมรับมือและตอบโต้ ... ถ้าเป็นเมื่อก่อนก็จะมีทีม “วอร์รูม” ทั้งในสภา นอกสภา มีทีม “องครักษ์” คอยพิทักษ์นายกฯ และรัฐมนตรีที่ถูกอภิปราย คอยประทวง ตัดเกม ด้วยข้ออ้างยอดฮิตคือ ผิดข้อบังคับการประชุม ต้องถอนคำพูด ซึ่ง ส.ส.ไม่ว่าหน้าใหม่ หน้าเก่า ต่างก็อยากมีชื่ออยู่ในทีมนี้ !!
แต่ครั้งนี้ “นิโรธ สุนทรเลขา” ประธานวิปรัฐบาลตั้งชื่อทีมองครักษ์เสียอย่างดุเดือดว่า “ทีมปราบมาร” ประกอบด้วย 11 ส.ส.ของพรรคพลังประชารัฐ คือ 1. นายพรชัย ตระกูลวรานนท์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ 2. นายสุรพร ดนัยตั้งตระกูล ส.ส.บัญชีรายชื่อ 3. น.ส.กัลยา รุ่งวิจิตร ส.ส.สระบุรี 4. พ.ต.ท.ฐนภัทร กิตติวงศา ส.ส.จันทบุรี 5. นางกรณิศ งามสุคนธ์รัตนา ส.ส.กทม. 6. นายอาญาสิทธิ์ ศรีสุวรรณ ส.ส.นครศรีธรรมราช 7. นายสัญญา นิลสุพรรณ ส.ส.นครสวรรค์ 8. นายภาคิน สมมิตรธนกุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ 9. นายรงค์ บุญสวยขวัญ ส.ส.นครศรีธรรมราช 10. นายจักรพันธ์ พรนิมิตร ส.ส.กทม. และ 11. นายกษิดิ์เดช ชุติมันต์ ส.ส.กทม.
ตรวจรายชื่อแล้วอาจไม่คุ้นหู คุ้นตา เพราะส่วนใหญ่จะเป็น ส.ส.หน้าใหม่แทบทั้งนั้น
คล้อยหลังการประกาศ “ทีมปราบมาร” ไปแค่วันเดียว “สายัณห์ ยุติธรรม” ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคพลังประชารัฐ ที่ก่อนหน้านี้ เคยทำหน้าที่ ปะ ฉะ ดะ ฝ่ายตรงข้าม ร่วมกับ “เอ๋” ปารีณา ไกรคุปต์ อดีต ส.ส.ราชบุรี และ “สิระ เจนจาคะ” อดีต ส.ส.กรุงเทพฯ ซึ่งตอนนี้ทั้งคู่ได้พ้นจาก ส.ส.ไปแล้ว ก็ออกมาโวยเมื่อเห็นว่าไม่มีชื่อตนเองอยู่ในทีมที่ “นิโรธ” ประกาศออกมา
จึงบอกว่า 11 คนนั้นเป็น “ตัวปลอม”!!
เพราะเปิดชื่อมานั้น ไม่เคยเป็นองครักษ์ในการอภิปรายที่ผ่านๆ มาเลย ... เมื่อ “เอ๋ ปารีณา” กับ “สิระ” ไม่อยู่แล้ว ตนเองควรจะเป็นตัวหลักในทีมนี้ พร้อมอ้างว่า “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ได้มอบหมายให้ตนเองเป็นตัวหลัก ในการดูแลปกป้องนายกฯ และรัฐมนตรี ที่ถูกซักฟอกครั้งนี้ ....จริงเท็จแค่ไหนคงต้องไปเคลียร์กันเอง!!
เห็นหรือยังว่าการได้อยู่ใน “ทีมองครักษ์” นั้นมีความสำคัญแค่ไหน ...โดยเฉพาะกับ ส.ส.หน้าใหม่ ที่ยังไม่ค่อยมีแสงในตัวเองนั้น ถือว่าเป็นโอกาสที่จะได้เปิดหน้า เปิดตัว หากฝีปากดี มีลำหักลำโค่น ในการต่อกรกับฝ่ายตรงข้าม ก็มีโอกาสได้แจ้งเกิด ซึ่งจะส่งผลไปถึงสนามเลือกตั้ง รวมทั้งเป็นคนสำคัญในพรรคด้วย ตัวอย่างก็มีให้เห็นเยอะแยะ
ไม่ต้องดูอื่นไกล อย่าง “นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว” นี่ก็สร้างชื่อจากการยกมือประท้วงว่า... “ผู้อภิปรายทำผิดข้อบังคับ ข้อที่...” จนได้ชื่อว่าเป็น ส.ส.ที่แม่นในข้อบังคับการประชุมสภาคนหนึ่ง ส่งผลให้ได้ดิบได้ดี เป็นถึงหัวหน้าพรรคเพื่อไทย และผู้นำฝ่ายค้านในสภาขณะนี้!!