เป็นเอามาก! “ติ่งชัชชาติ” คลั่ง! ชวนทะเลาะ แค่ “จส.100” โพสต์ภาพรถติด พาทัวร์ลง-ด่าสลิ่ม ทั้งๆ ที่ทำมา 30 ปี “ดร.นิว” สงสัย “ชาญวิทย์” เปลี่ยนไป เพราะ “ปวิน”? เผยนักเรียนทุนอานันทมหิดล “ไผเป็นไผ” คนไทยรู้จักดี
น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (9 มิ.ย. 65) เว็บไซต์สถาบันทิศทางไทย โพสต์ประเด็น ติ่งชัชชาติ คลั่งสติแตก! พาทัวร์ลง จส.100 โพสต์ภาพรถติด! ทั้งๆ ที่รายงานช่วย ปชช.แบบนี้มา 30 ปีแล้ว โดย เมลอน
เนื้อหาระบุว่า จากกรณีที่เมื่อวานนี้ (8 มิ.ย. 65) นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าฯกทม. หารือร่วมกับกองบังคับการตำรวจจราจร หรือ บก.02 เรื่องการจัดการปัญหาจราจรในกรุงเทพฯ โดยมี พล.ต.ต.จิรสันต์ แก้วแสงเอก รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ในฐานะหัวหน้างานจราจร และ พล.ต.ต สุวิชชา จินดาคำ ผบก.จร ชี้แจงข้อมูล กระบวนการทำงานของตำรวจจราจร
โดย นายชัชชาติ บอกภายหลังการหารือ ว่า จะต้องเริ่มจากจุดที่เกิดปัญหาซ้ำซากก่อน เช่น พระราม 4 ส่วนหนึ่งที่รถติด คือ รถขึ้นทางด่วน และรถจอดส่งของ ทั้งนี้ หากมีการนำเทศกิจไปเป็นผู้ช่วยตำรวจ ในการบังคับห้ามจอดรถ ก็น่าจะช่วยทำให้รถคล่องตัวขึ้นได้ และสัปดาห์หน้าจะลงพื้นที่ ไปดูจุดที่เป็นปัญหา จุดที่ดูรถติดซ้ำซาก เพื่อดูว่าปัญหาคืออะไร และจะแก้อย่างไร ปัญหาการจราจรเป็นเรื่องเร่งด่วนที่ต้องเร่งแก้ไข โดยเฉพาะช่วงโรงเรียนเปิดและช่วงฝนตก
จากนั้นเกิดเป็นประเด็นร้อนในเพจ JS100 Radio ซึ่งเป็นเพจที่ได้รายงานสถานการณ์การจราจรอยู่เป็นประจำ โดยวันนี้ (9 มิ.ย. 65) โพสต์ข้อความถึงการจราจรบริเวณถนนพระราม 9 โดยบอกว่า
RT@ead_25 #ถนนพระราม9 ขาเข้า ติดมากครับตรงแยกคลองตันมุ่งหน้าเลียบด่วนครับ #JS100
แต่ที่สร้างประเด็น ก็คือ มีชาวเน็ตที่สนับสนุนนายชัชชาติ และกลุ่มคนที่ออกมาบ่นเรื่องของการจราจรที่ติดขัด ได้ออกมาโต้เถียงกัน อาทิเช่น คนไม่กล้าบ่นแล้ว กลัวโดนด่า ตอนนี้เข้าใจอะไรง่ายขึ้นเยอะ 555 แล้วก็มีชาวเน็ตเข้ามาตอบกลับว่า ใครสลิ่มใครสวะ ใครเคยบ่นใครไม่เคยบ่นอะไรไม่รู้ แต่เพิ่งเคยเห็น จส 100 โดนทัวร์ลงนี่แหละ ทั้งที่เขาลงของเขาแบบนี้มานานแล้ว ติ่งน้อ ทำไปได้,
จส.100 รายงานเรื่องรถติดมาเกือบ 30 ปี วันนี้ทัวร์ลงเฉย ยุคสมัยมันน่ากลัวจริงๆ ทุกสิ่งถูกโยงมาเข้าการเมืองได้หมด, ห้ามบ่นว่ารถติด จะกลายเป็นสลิ่มทันที เอากับเขาสิ ทั้งที่มันติดอยู่ทุกวัน, รายงานจราจรมาเนิ่นนาน ทัวร์ลงซะงั้น นี่ถ้าเปลี่ยนนายกฯ น้ำมันลิตรละ 500 ก็เข้าใจโลกเหตุเพราะสงคราม สีพลาสเทล โลกสวยเลย
อย่างไรก็ตาม ข้อสรุปเกี่ยวกับปัญหาจราจร ที่ได้ร่วมกับกองบังคับการตำรวจจราจรก็ได้ข้อสรุป 5 ข้อคือ
1. ต้องร่วมมือกับทุกหน่วยงานอย่างเข้มข้น ทั้ง กทม. กระทรวงคมนาคม เจ้าหน้าที่ตำรวจ ขสมก. ทางด่วน และรถไฟฟ้า
2. จัดตั้งศูนย์บัญชาการร่วม โดยมีเจ้าหน้าที่ กทม. และ ขสมก.มานั่งประจำ มีเทศกิจลงไปแก้ปัญหาแต่ละจุดอย่างเร่งด่วน โดย กทม.จะรับหน้าที่วิเคราะห์แผนที่แก้ปัญหาจราจรติดซ้ำซาก
3. จัดตั้งคณะทำงานศึกษาระบบไฟจราจร และระบบจราจรทั่วกรุงเทพฯ กำหนดกรอบเวลาภายใน 1 ปี
4. กทม.จะนำข้อมูลความเสี่ยงมาวิเคราะห์ เพื่อกำหนดควบคุมความเร็วในถนนเส้นชุมชน และถนนที่เสี่ยงเกิดอุบัติเหตุ ซึ่งเป็นอำนาจหน้าที่ กทม. และกองบัญชาการตำรวจนครบาล
5. แนวทางจัดการการขับขี่รถจักรยานยนต์ให้ปลอดภัยมีประสิทธิภาพ เช่น ช่องจราจรสำหรับรถมอเตอร์ไซค์
“สัปดาห์หน้าจะลงพื้นที่ไปในจุดที่มีปัญหาการจราจรด้วย ขอความร่วมมือไปยังประชาชนให้เคารพกฎจราจร แม้จะเป็นจุดเล็กๆ แต่ก็ทำให้เกิดปัญหาจราจรได้” นายชัชชาติ กล่าว
ขณะเดียวกัน เพจเฟซบุ๊ก Suphanat Aphinyan ของ ดร.ศุภณัฐ อภิญญาณ หรือ ดร.นิว นักวิจัยภายใต้สถาบันวิจัย MAST Center และคณะวิศวกรรมชีวการแพทย์ University of Arkansas ประเทศสหรัฐอเมริกา โพสต์ข้อความระบุว่า
“๒๔ มิถุนา ๒๔๗๕ เป็นเพียงแค่การรัฐประหาร
ครั้งหนึ่ง ศาสดาสูงสุดของลัทธิชูสามนิ้วอย่าง นายชาญวิทย์ เกษตรศิริ วัย ๘๑ ปี เคยเขียนถลกหนังหัวคณะราษฎรไว้อย่างชัดเจนในหัวข้อ “รัฐประหาร ๒๔๗๕”
“๒๔ มิถุนา ๒๔๗๕ ไม่ใช่การปฏิวัติและไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงขั้นพื้นฐานในการเมืองการปกครองของสยามแต่อย่างใด หากแต่เป็นเพียงแค่การเปลี่ยนมือของอำนาจปกครองจากพระมหากษัตริย์ไปสู่คณะปกครองกลุ่มใหม่”
เมื่อก่อน ปู่ Charnvit Kasetsiri ก็ดูเป็นคนปกติดี ถึงได้มองออกว่า ๒๔ มิถุนา ๒๔๗๕ เป็นเพียงแค่การรัฐประหาร แล้วคณะราษฎรเองก็เป็นเพียงแค่เผด็จการคณาธิปไตยกลุ่มหนึ่ง
จึงไม่แน่ใจว่า ปู่ชาญวิทย์ โดนลุงสุรชัย กระทำอะไรหรือเปล่า? โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่ปู่ชาญวิทย์ดูสนิทสนมกับลุงสุรชัยเป็นพิเศษ ปู่ชาญวิทย์เลยเปลี่ยนไปได้ถึงขนาดนี้”
ที่น่าสนใจไม่แพ้กัน เพจเฟซบุ๊ก The METTAD โพสต์ข้อความระบุว่า
“มูลนิธิอานันทมหิดล
พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร มีพระราชประสงค์ที่จะทรงสนับสนุนการพัฒนาประเทศ และทรงตระหนักว่าประเทศไทยยังขาดแคลนผู้เชี่ยวชาญในวิทยาการต่างๆ ที่จะเป็นกำลังสำคัญในการร่วมกันพัฒนาชาติบ้านเมือง จึงมีพระราชดำริที่จะทรงสนับสนุนให้นักศึกษาและบัณฑิตชาวไทยผู้มีความเป็นเลิศทางวิชาการสาขาต่างๆ ได้ไปเพิ่มพูนความรู้และพัฒนาทักษะความเชี่ยวชาญ ณ ต่างประเทศ จนถึงระดับสูงสุด เมื่อสำเร็จการศึกษาแล้วจักได้นำความรู้ความเชี่ยวชาญนั้นกลับมาพัฒนาประเทศชาติ
ดังนั้น ใน พ.ศ. 2498 จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดตั้งทุนการศึกษาขึ้นและพระราชทานนามว่า ทุนอานันทมหิดล เพื่อเป็นพระบรมราชานุสรณ์ในสมเด็จพระบรมเชษฐาธิราช พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทรและได้พระราชทานทุนเริ่มแรกจำนวน 20,000 บาท
เมื่อแรกตั้ง ทรงประเดิมด้วยการพระราชทานทุนการศึกษาในสาขาแพทยศาสตร์ เพื่อทรงเจริญรอยตามพระราชปณิธานในสมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก ซึ่งทรงสำเร็จการศึกษาด้านแพทยศาสตร์ และได้ทรงวางรากฐานด้านการแพทย์สมัยใหม่ขึ้นในประเทศสยาม ทั้งยังเคยทรงเอาพระทัยใส่พระราชทานทุนส่วนพระองค์ให้แก่นักศึกษาแพทย์ไปศึกษาต่อยังต่างประเทศ
ต่อมา ได้มีพระบรมราชวินิจฉัยให้เปลี่ยนสถานภาพจาก “ทุน” เป็น “มูลนิธิ” ชื่อว่า มูลนิธิอานันทมหิดล เมื่อวันที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2502 และได้ขยายขอบเขตการพระราชทานทุนเพิ่มขึ้นในหลายสาขา
ผู้มีชื่อเสียงที่ได้รับทุนมูลนิธิอานันทมหิดล ได้แก่
- นายประเวศ วะสี ปี 2500
- นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ปี 2529
- นายนพดล ปัทมะ ปี 2531
- นายวรเจตน์ ภาคีรัตน์ ปี 2533
https://www.youtube.com/watch?v=owK9fxCMW6w
https://www.youtube.com/watch?v=hM9qARIzFeg
https://prachatai.com/journal/2014/09/55706”
แน่นอน, ประเด็นอาจอยู่ที่ หลัง “ชัชชาติ” ชนะเลือกตั้งเป็น “ผู้ว่าฯ กทม.” อย่างถล่มทลาย สิ่งที่ถูกตีกิน หน้าตาเฉย ก็คือ “ชัยชนะ” ของ “ฝ่ายประชาธิปไตย”
ทั้งที่ความเป็นจริง คนที่เลือก “ชัชชาติ” เป็นผู้ว่าฯ กทม. มาจากทุกกลุ่ม ทุกสี ที่ใจตรงกัน ตัวเลขคะแนนที่ได้บ่งบอกเป็นอย่างดี เมื่อ “ชัชชาติ” ถูกอ้างเป็นคนของ “ฝ่ายประชาธิปไตย” หรือ หนักไปกว่านั้น เมื่อคนที่เป็น “ติ่งชัชชาติ”(บางส่วน) ก็คือ “ติ่งสามนิ้ว” การปะทะกันด้วยอารมณ์และเลือกข้างแบบเดิมๆ ที่มีการ “จุดติด” เอาไว้ ก็ตามมาราวีกันอีก
โดยคราวนี้คนที่ถูก “เชิด” ให้ชนกับ “เผด็จการ” และ “สลิ่ม” ไม่ใช่แกนนำม็อบสามนิ้ว ที่ถูกพันธนาการด้วยข้อหา “ม.112” หมดแล้ว หากแต่เป็น “ชัชชาติ” ผู้ชนะใจคน กทม.อย่างถล่มทลายคนนี้นั่นเอง
ดังนั้น สิ่งที่ “ชัชชาติ” จะต้องระวังอย่างสูง ก็คือ “ติ่ง” ผู้บ้าคลั่งเหล่านี้จะนำพาไปฟาดฟันกับคนนั้นคนนี้จนเสียผู้เสียคน เดี๋ยวจะหาว่าไม่เตือน หรือถ้าไม่เชื่อก็ลองดู!?