xs
xsm
sm
md
lg

"เพจหมอ" จี้ สธ.ถึงเวลาแก้ไขระบบผ่าตัด ยกเคสเด็กน้อยวัย 12 เสียชีวิตจากระบบผ่าตัดของ รพ.

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



เพจ "เรื่องเล่าจากโรงพยาบาล" เผยจุดบกพร่องหลัง รพ.บุรีรัมย์ทำเด็กวัย 12 ปีเสียชีวิต เหตุจากหมอผ่าตัดอาการไส้ติ่งแตกล่าช้า จี้ สธ.ถึงเวลาแก้ไขระบบผ่าตัดให้ดีขึ้น

จากกรณี นายสมบูรณ์ กรมไธสง อายุ 42 ปี ชาว ต.พุทไธสง อ.พุทไธสง จ.บุรีรัมย์ ได้ออกมาร้องขอความเป็นธรรม หลังจาก ด.ช.กิตติศักดิ์ กรมไธสง หรือน้องต้นน้ำ อายุ 12 ปี ลูกชาย ซึ่งปัจจุบันเรียนอยู่ชั้น ม.1 ได้เสียชีวิตจากอาการไส้ติ่งแตกและติดเชื้อ ขณะถูกส่งตัวไปผ่าตัดเพื่อรักษาที่ รพ.บุรีรัมย์ ซึ่งผู้เป็นพ่อติดใจว่าหมอผ่าตัดล่าช้าทำให้ลูกชายเสียชีวิต ต่อมา ผอ.รพ.บุรีรัมย์สั่งจัดทีมลงพื้นที่ชี้แจงทำความเข้าใจและอำนวยความสะดวกทำเรื่องเยียวยาครอบครัว “น้องต้นน้ำ” วัย 12 ปี ไส้ติ่งแตกเสียชีวิต ยอมรับเกิดจากความบกพร่องในการรักษาของ รพ.ทำให้เด็กได้รับการผ่าตัดล่าช้า พร้อมเรียกถกคณะผู้บริหาร แพทย์ พยาบาลเพื่อปรับปรุงระบบการให้บริการรักษา ไม่ให้เกิดเหตุเศร้าซ้ำรอย ยันไม่มีคนไข้วีไอพี

อ่านข่าวประกอบ - ผอ.รพ.บุรีรัมย์สั่งล้อมคอก! ชี้ระบบการรักษาของ รพ.บกพร่อง ทำเด็ก 12 ปีไส้ติ่งแตกตาย เร่งเยียวยา

อย่างไรก็ตาม วันนี้ (8 มิ.ย.) เพจ "เรื่องเล่าจากโรงพยาบาล" ได้ออกมาโพสต์ข้อความถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พร้อมแนะ สธ.ทบทวนแก้ไขเรื่องผ่าตัด ทั้งนี้ทางเพจได้ระบุข้อความว่า

"กรณีไส้ติ่งแตกเสียชีวิต ทบทวนแก้ไข

จากข่าว เด็กอายุ 12 ปี เสียชีวิตหลังจากผ่าไส้ติ่ง ได้ความเห็น คำวิจารณ์มากมาย สามารถสรุปได้ว่า สิ่งที่แทบทุกคนเห็นตรงกันก็คือเป็นเรื่องที่ไม่ควรเกิดขึ้น เป็นเรื่องที่ต้องมีการแก้ไข รพ.มีความ 'บกพร่อง' ที่ทำให้เด็กคนนี้ได้รับการรักษาที่ล่าช้าไป
ทั้งหมดนั้น ไม่ว่าจะเป็นประชาชนทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นหมอ เป็นบุคลากรการแพทย์ รวมทั้งผมก็เห็นตรงกันหมด

แต่มันมีบางประเด็นที่มีความเข้าใจคลาดเคลื่อน ซึ่งผมอยากจะปรับความเข้าใจกันสักหน่อย ย้ำอีกที ผมเองก็เห็นว่ากรณีเคสนี้มีช่องโหว่ บกพร่องแน่นอน แต่บางประเด็นต้องปรับความเข้าใจกันก่อน

เคสอื่นเสร็จก็ควรผ่าไส้ติ่งต่อ ตามคำแถลง มีเคสผ่าตัดอยู่ 3 เคส เคสไส้เลื่อนอุดตันจนเน่า เคสผ่าคลอด ซึ่งเด็กมีสัญญาณบ่งบอกว่าอยู่ในภาวะอันตราย และสุดท้ายเคสกระดูกหัก มีแผลเปิดซึ่งเพิ่มโอกาสในการติดเชื้อในกระดูก แต่ 3 เคสนี้ เป็นเคสศัลยกรรม 1 เคส (เคสไส้เลื่อน) เคส หมอสูติ 1 เคส (ผ่าคลอด) เคสหมอออร์โธ-ศัลยกรรมกระดูก 1 เคส (กระดูกหัก)

โดยทั่วไป นอกเวลาราชการ จะมีหมอขึ้นเวรแต่ละแผนกเพียง 1 คน (วันที่ 29 พ.ค. คือวันอาทิตย์ รพ.ศูนย์ รพ.จังหวัด มีห้องผ่าตัดเป็นสิบ แต่อย่าลืมว่าหมอขึ้นเวรแค่แผนกละ 1 คนนะครับ) ดังนั้น หมอที่จะผ่าตัดเคสไส้ติ่ง ก็คือหมอคนที่ผ่าเคสลำไส้อุดตัน เพราะฉะนั้นเคสอื่นผ่าตัดเสร็จก็ใช่ว่าจะนำเคสไส้ติ่งเข้าไปผ่าได้ ยกเว้นว่า รพ.นั้นๆ มีหมอศัลย์ขึ้นเวรมากกว่า 1 คนหรือมีแพทย์ประจำบ้านฝึกหัด, มีแพทย์เพิ่มพูนทักษะ (หรือเรียก หมออินเทิร์น หมอจบใหม่) ที่สามารถทำการผ่าตัดได้ เปิดห้องผ่าตัดไปได้เลย สิ่งที่ควรตรวจสอบก่อนก็คือ ที่ รพ.บุรีรัมย์นั้น หมอศัลย์ขึ้นเวรกันอย่างไร?

ถ้าขึ้นคนเดียว ลำดับที่จะทำได้ก็คือ เคสผ่าไส้เลื่อนเสร็จก็ต่อด้วยไส้ติ่ง ผ่าไส้เลื่อนที่ลำไส้อุดตันและเน่าเป็นการผ่าตัดที่ไม่ง่ายและต้องใช้เวลามาก ในข่าวไม่ได้ระบุว่าใช้เวลาผ่ากี่ชั่วโมงทำให้เคสไส้ติ่งไม่ได้ผ่าต่อผ่าเที่ยงคืน เสร็จตี 4 ตี 5?
จนทีมไม่สามารถผ่าต่อได้? หากเป็นอย่างนั้นทำไมไม่นำเคสเข้าผ่าตอนเช้าแทรกคิวห้องผ่าตอนเช้าดูตามเวลาคือเช้าวันจันทร์ที่ 30 พ.ค.

กรณีแบบนี้ ที่ผ่านมา รพ. หรือหมอมีแนวทางปฏิบัติอย่างไร? หมอที่รับผิดชอบเคส ถ้าผ่าไม่ไหวต้องฝากหมอท่านอื่นมาผ่าตอนเช้าไหม? เช้าวันจันทร์ ตารางห้องผ่าตัดคงเต็มและยาวเหยียด แต่เคสฉุกเฉินย่อมแทรกได้เสมอ เพราะฉะนั้น คำถามใหญ่ๆ คือเหตุใด เคสไส้ติ่ง จึงได้ผ่าตอนบ่ายโมงของอีกวัน?

เรื่องต่อไปที่อยากทำความเข้าใจ กรณีเคสร่อนพิบูลย์เกี่ยวอย่างไร? พอมีข่าวแบบนี้ หลายคน คนทั่วไปคงเห็นหมอพูดกันถึงเคสร่อนพิบูลย์ หลายคนคงงงว่ามันคืออะไร ขอเล่าให้ฟังร่อนพิบูลย์ คือเคสผ่าไส้ติ่งแล้วเสียชีวิตมีการฟ้องหมอเป็นคดีอาญา คำตัดสินในศาลชั้นต้น ปี 2550 ออกมาว่า หมอมีความผิดที่ทำการผ่าตัดโดยไม่ได้มาตรฐานคือ ไม่มีวิสัญญีแพทย์ (หมอดมยา) ในทางปฏิบัติดั้งเดิม ใน รพ.อำเภอนั้นเราไม่มีหมอดมยาประจำ รพ. หมอทั่วไปที่เรียนจบ 6 ปี ได้เรียน/ฝึก เรื่องการให้ยาในการผ่าตัดมาเบื้องต้น โดยเฉพาะการบล็อกหลังเราได้เรียน/ฝึก การผ่าตัดพื้นฐานที่สำคัญ เช่น ผ่าไส้ติ่ง ผ่าคลอด ทำหมัน ดังนั้นในอดีตจึงมีการผ่าไส้ติ่งผ่าคลอดที่ รพ.อำเภอ เป็นเรื่องปกติ คำตัดสินในคดีร่อนพิบูลย์จึงสร้างบรรทัดฐานใหม่ขึ้นมาเนื่องจากไม่มีวิสัญญีแพทย์ จึงผิด รพ.อำเภอจึงทยอยปิดห้องผ่าตัด (แม้ปีต่อมาคือปี 2551 จะมีคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ ให้ยกฟ้องตามมาก็ดูเหมือนสายน้ำจะไม่ย้อนกลับแล้ว สารภาพกันตามตรง

ผมเองยังมารู้หลังจากนั้นหลายปีว่า คดียกฟ้องไปแล้ว เพราะมันยังถูกพูดถึง แต่อย่างไรก็ดี มันเป็นคดีความ ก็เข้าใจได้ว่าไม่ว่าใครก็คงไม่อยากที่จะให้เกิดปัญหา ยกฟ้องไม่ได้แปลว่าเกิดเรื่องขึ้นมาจะไม่ถูกฟ้อง เพราะฉะนั้นก็เลี่ยงเสียดีกว่า) บาง รพ.อาจเปิดผ่าตัดต่อไปได้ นโยบายแต่ละแห่ง ศักยภาพแต่ละแห่งก็แตกต่างกันไป แต่ส่วนใหญ่ปิดเคสผ่าตัดก็ส่งเข้า รพ.จังหวัด รพ.ศูนย์ กันหมด แนวทางการสอน การฝึกในโรงเรียนแพทย์ก็ปรับกันไป นักศึกษาแพทย์ไม่ได้ฝึกผ่าไส้ติ่งกันแล้ว หมอที่จบใหม่จึงทำไม่ได้ ออกไปอยู่ตามอำเภอไม่ได้ทำ ไม่มีให้ทำ ไม่มีใครให้ทำ ก็เป็นอันว่า ไม่ต้องเรียน ไม่ต้องฝึก

หากเทียบเคียงกับเคสครั้งนี้จึงมีคนคิดถึงคดีนั้นขึ้นมา หากยังมีการผ่าตัดที่ รพ.อำเภอผ่าไปตั้งแต่วันแรกที่เจอไม่ต้องส่งมารอที่ตัวจังหวัดผลมันจะดีกว่าไหม? หรือกระทั่งใน รพ.จังหวัด ปกติหมอจบใหม่ พอได้ฝึกสักระยะ ก็สามารถผ่าไส้ติ่งได้เองแล้ว ใน รพ.จังหวัดที่มีพยาบาลช่วยเก่งๆ หมอศัลย์ผ่าเคสหนักไปน้องจบใหม่ก็ผ่าไส้ติ่งไปเลยก็ยังทำกันบ่อยๆ (ในอดีต) แต่ปัจจุบันใครจะกล้า? ทำไม่เป็นกันแล้ว

ส่วนตัวแล้ว ถึงจะคิดถึงคดีนั้น แต่ในฐานะหมอ เราจะมามัวโทษคดีร่อนพิบูลย์ที่ผ่านมาเกือบ 15 ปีก็คงไม่ถูกแล้วล่ะ ระบบ และเวลาเดินไปข้างหน้า กระทรวงต้องแก้ไขระบบให้ดีขึ้น ทำอย่างไร ให้เคสผ่าตัดไม่มากระจุกตัวที่ตัวจังหวัด ทำยังไงที่จะเพิ่มศักยภาพ รพ.อำเภอได้

ที่เขียนมายืดยาว เพราะรู้สึกว่าเราไม่ควรจบเรื่องนี้ด้วยคำกล่าวแค่ว่า แสดงความเสียใจ แต่เราต้องทำอะไรเพื่อป้องกัน ไม่ให้มันเกิดขึ้นอีก"
กำลังโหลดความคิดเห็น