เมืองไทย 360 องศา
โหมโรงย้ำกันไปอีกรอบ สำหรับพรรคเพื่อไทย ที่เตรียมดัน “ลูกสาวเถ้าแก่” คนเล็ก เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีอันดับหนึ่งของพรรคแบบแน่นอนพันเปอร์เซ็นต์ ในแบบ “ขี้หมากองเดียว” ก็ยังไม่มีใครกล้ารองด้วยซ้ำไป และแน่นอนว่า นาทีนี้สำหรับคอการเมือง ถือว่าไม่มีอะไรต้องแปลกใจ แต่ที่ต้องจับตา ก็คือ ความพยายามในการสร้างกระแส “แลนด์สไลด์” ทั้งแผ่นดินนั้น มันจะย้อนกลับมาซ้ำรอยเดิมในรอบที่สาม จะเป็นไปได้แค่ไหนในท่ามกลางสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป ที่สำคัญ คู่แข่งก็เปลี่ยนไป ขณะที่สังคมและอารมณ์ของผู้คนก็เปลี่ยนไปมากแล้ว
อย่างไรก็ดี ต้องยอมรับว่า การประชุมพรรคเพื่อไทย เมื่อวันอาทิตย์ที่ 24 เมษายน ที่ผ่านมา ได้มีความสร้างกระแส โดยต้องโฟกัสไปที่ “ลูกสาวเถ้าแก่” หรือ “ลูกสาวนายใหญ่” อย่าง น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หรือ “อุ๊งอิ๊ง” ลูกสาวของ นายทักษิณ ชินวัตร ที่เวลานี้ได้รับการผลักดันขึ้นมาเป็น “หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย” เอาไว้ก่อนแล้ว โดยเธอได้ขึ้นเวที แสดงวิสัยทัศน์ ที่เตรียมไว้ล่วงหน้าอย่างดี ที่เน้นย้ำ 5 ด้าน ดังนี้
1. ส่งเสริมการมีส่วนร่วมและการกระจายอำนาจสู่ระดับประชาชน ให้ตัดสินใจในระดับจังหวัด ไม่ต้องขึ้นกับส่วนกลาง โดยจะทำให้กระทรวงต่างๆ เล็กลง ไม่อุ้ยอ้ายเหมือนในปัจจุบัน รวมทั้งจัดให้มีการรายงานปัญหาของประชาชน และรับฟังข้อเสนอแนะผ่านแอปพลิเคชัน แบบ real time
2. ดึงศักยภาพคนไทยด้วยการใช้ soft power 1 คนต่อ 1 ครอบครัว ประมาณ 16 ล้านครอบครัว เพื่อนำมาพัฒนาศักยภาพ นำมาซึ่งมูลค่าทางเศรษฐกิจอย่างมหาศาล
3. ใช้เทคโนโลยี Ai เพื่อการเกษตร เพื่อเกิดการวิเคราะห์แม่นยำ และผลผลิตสูง โดยการศึกษาดิน น้ำ ลมฟ้าอากาศ ด้วยเทคโนโลยี Ai ปลูกพืชตามฤดูกาลที่เหมาะสม
4. ปรับเปลี่ยนภาครัฐและภาคเอกชนด้วยระบบ Digital Transformation ครั้งใหญ่ ด้วยการสร้างรัฐบาลดิจิทัล (Platform digital Government) ที่ใช้ได้จริง เพื่อแก้ปัญหาระบบราชการใหญ่โตและคอร์รัปชันมากมาย และขาดประสิทธิภาพ
5. เตรียมคนไทยเข้าสู่ยุค Metaverse โลกเสมือนจริงจะนำโลกที่เป็นจริง จะประกอบด้วย NFT (Non-Fungible Token) หรือสกุลเงินดิจิทัล รวมถึง Games และ E-Sports เพื่อพัฒนาทักษะให้กับเด็กและเยาวชน ตลอดจนเทคโนโลยี AR (Augmented reality) รวมถึง VR (Virtual reality)
“วันที่รัฐบาลสั่งยุบสภา เราพร้อมหมดแล้ว และมั่นใจว่า เราจะเปลี่ยนประเทศไทยจากสภาพที่เต็มไปด้วยหนี้ มองไม่เห็นอนาคต เรามั่นใจว่าหากพรรคเพื่อไทยได้มีโอกาสบริหารประเทศถึง 8 ปีเช่นนี้ เราจะไม่เห็นปรากฏการณ์คนอยากย้ายประเทศ รวมถึงพี่น้องชาวไทยที่อยู่ต่างประเทศ ก็จะอยากกลับมาร่วมสร้างความสุข สร้างความมั่งคั่ง และสร้างความเจริญในประเทศไทย ต้องเกิดปรากฏการณ์สมองไหลกลับประเทศไทยในเร็ววัน ด้วยฝีมือของพรรคเพื่อไทย Reverse brain drain เป้าหมายต่อไป พรรคเพื่อไทยต้องแลนด์สไลด์ เราต้องได้อำนาจรัฐ ทุกสิ่งที่กล่าวมาข้างต้นจึงจะเป็นจริงได้” น.ส.แพทองธาร กล่าว
5 แนวทางดังกล่าว ที่เธอนำเสนอขึ้นมานั้น หากมองกันแบบไม่มีอคติกันแล้วก็ต้องถือว่า “น่าสนใจ” ไม่น้อย เพราะสอดคล้องกับยุคสมัยใหม่ รวมไปถึงโลกในอนาคตข้างหน้าที่น่าจะมีแนวโน้มไปทางนั้น เป็นเทคโนโลยีและนวัตกรรมล้ำสมัย แต่ขณะเดียวกันหากมองในความเป็นจริงก็ต้องบอกว่า มันไม่ได้ใหม่จน “ต้องหูผึ่ง” แบบจ้องตาไม่กระพริบกันเลยทีเดียว เพราะว่า หลายคนก็เคยพูดแบบนี้ หรืออาจจะล้ำกว่านี้ด้วยซ้ำไป
ขณะเดียวกัน แน่นอนว่า หากพิจารณาในบางมุมมันก็เหมือนกับว่า งานนี้เป็นความพยายามในการ “ดันลูกสาวนาย” กันเต็มที่ เพื่อหวังให้ “โตทางลัด” ในเร็ววัน อย่างน้อยก็ต้องความโดดเด่นก่อนถึงวันลงสนามจริงในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ซึ่งเป้าหมายสูงสุดก็คือ การ “ได้อำนาจรัฐ” ตามที่เธอเน้นย้ำบนเวทีนั่นแหละ รวมไปถึงเจตนาที่ไม่ปิดบัง ก็คือ “พาคนจากต่างประเทศเข้ามา” เพียงแต่ยังไม่กล้าเอ่ยชื่อตรงๆ ว่าเป็นใครเท่านั้นเอง
และการจะได้อำนาจรัฐ มันก็ต้องเป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป้าหมายก็คือ ต้องมาแบบ “แลนด์สไลด์” นั่นคือ ต้องชนะแบบถล่มทลายไม่น้อยกว่า 250 ที่นั่ง หรือที่ นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทยย้ำว่า ต้องได้ ส.ส. 253 ที่นั่งขึ้นไป เพื่อเป็นรัฐบาลพรรคเดียว เพราะการได้เสียงข้างมากแบบนั้น มันย่อมมีความหมายตามมาหลายอย่าง โดยเฉพาะการอ้างฉันทานุมัติจากประชาชน ว่าต้องการอะไร ทำให้เชื่อว่าหนึ่งในเป้าหมายแรกๆ ก็คือ การปรองดอง ที่จะมาในแบบ“นิรโทษกรรมเหมาเข่ง” กันอีกรอบ แต่คราวนี้จะไม่มาแบบ “ลักหลับ” เหมือนยุคก่อนแล้ว เพราะมีการเปิดหน้าออกมาให้เห็นมาตั้งแต่ต้นให้สังคมได้รับรู้กันไปล่วงหน้าแล้ว
อย่างไรก็ดี ใครก็มีสิทธิฝันหรือตั้งเป้าหมายเอาไว้ แต่มันจะเป็นจริงได้แค่ไหนนั้นอีกเรื่องหนึ่ง เหมือนกับก่อนหน้านี้ “โทนี่” นายทักษิณ ชินวัตร ที่เคยกล่าวก่อนหน้านี้ด้วยความมั่นใจว่า พรรคเพื่อไทยต้องชนะแบบแลนด์สไลด์แน่นอน จนนำมาสู่คำพูดต่อเนื่องจาก “คนในคอก” ส่งต่อมาเป็นทอดๆ อย่างที่เห็น แม้นาทีจะบอกว่า “เป็นเรื่องยาก” ก็อาจกลายเป็นการ “ปรามาส” กันล่วงหน้า เนื่องจากในวันข้างหน้าอาจเป็นจริงก็ได้
แต่ที่บอกว่าเป็นเรื่องยากก็เพราะสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปมากแล้ว หากเปรียบกับสถานการณ์ตอนนี้กับในยุคของ นายทักษิณ ชินวัตร รุ่นพ่อของเขาในยุคก่อตั้งไทยรักไทย ถือว่าต่างกันลิบลับ เพราะตอนนั้นต้องบอกว่า “เหนือชั้น” เหนือกว่าคู่ต่อสู้ทุกทาง ทั้งสดกว่า นโยบายเด่นกว่า รวยกว่า และที่สำคัญยังไม่มีใคร “รู้ทัน” นั่นแหละ และบอกว่าชนะแบบแลนด์สไลด์ในการเลือกตั้งครั้งที่สองนั้น ก็ได้มาด้วยการ ซื้อ-ควบรวม เป็นสำคัญต่างหาก
เวลานี้มีคู่แข่งที่หลากหลาย หลายคนก็ล้วนเคยอยู่ร่วมกับ นายทักษิณ ชินวัตร มานาน ย่อมรู้ไส้ รู้พุง กันดี และบางพรรคก็มีฐานเสียงเดียวกันหรือใกล้เคียงกัน ส่วนนโยบายก็ล้วนเน้นความทันสมัยสอดคล้องกับโลกยุคดิจิทัล ทั้งสิ้น ดังนั้น คำพูด หรือวิสัยของ “อุ๊งอิ๊ง” จึงถือว่ายังไม่มีความโดดเด่นจนเหนือคนอื่น ขณะเดียวกัน ด้วยวัยแบบนี้ และยังไม่เคยพิสูจน์ผลงานด้วยตัวเองมันจึงเหมือนกับการ “อวยกันเอง” ในหมู่คนในครอบครัวเพื่อไทย เสียมากกว่า
หรือเทียบเคียงให้ใกล้เข้ามา ก็ต้องเทียบกับยุคของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ผู้เป็น “อาปู” ที่ได้รับการผลักดันเป็นนายกฯหญิงใช้เวลาเพียง 49 วันเท่านั้น สถานการณ์ตอนนั้นถือว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ยังมีความน่าสนใจ มีความแปลกใหม่ชวนติดตามมากกว่านี้มากมาย ที่สำคัญมี “กระแส” แรงมาก จนเหนือกว่าคู่ต่อสู้แบบไม่เห็นฝุ่น ทั้งที่จะว่าไปแล้วหลายคนยังเคยมองแบบ “กลวง” เสียด้วยซ้ำไป
นอกเหนือจากนี้ ก็ยังต้องไม่ลืมว่ายังมีขั้วอำนาจ “สาม ป.” ที่แม้ว่าจะเป็นช่วงขาลง แต่ต้องไม่ลืมว่า พวกเขาก็ไม่ธรรมดา ยังมีอำนาจรัฐอยู่ในมือที่กุมเอาไว้ต่อเนื่องนานหลายปีแล้ว แม้ว่าด้วยสภาพการณ์ที่เห็นในเวลานี้อาจจะเอาชนะได้ แต่มันก็ไม่หมูแน่นอน และยังไม่นับ “จุดอ่อนส่วนตัว” ที่ถึงเวลาก็จะมีการถล่มซ้ำเพื่อทำลายความชอบธรรมในกรณีอื้อฉาวในเรื่อง “ข้อสอบ” ก็จะตามมาหลอนอีกครั้ง
ดังนั้น ด้วยองค์ประกอบและปัจจัยดังกล่าวล้วนเป็นขวากหนาม เป็นอุปสรรคสำคัญที่ “หัวหน้าครอบครัว” เพื่อไทยจะฝันฝ่าไปได้ยาก แม้ว่าจะเชื่อว่าพวกเขาคงจะเอาชนะคู่แข่งได้ แต่หากจะคิดไปถึงเรื่องแลนด์สไลด์ รับรองว่า ยังห่างไกลความเป็นจริงไปมากแน่นอน !!