xs
xsm
sm
md
lg

มุกใหม่ “โทนี่” ชิ่ง 3 นิ้ว ทำกระอักกระอ่วน !?

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


ทักษิณ ชินวัตร
เมืองไทย 360 องศา

บางครั้งอาจจะเรียกว่า “ปากพาจน” หรือ บางครั้งก็ “จำเป็นต้องพูดเพื่อต้องการได้ประโยชน์อีกอย่างหนึ่ง” ขณะเดียวกัน ยังได้สะท้อนให้เห็นถึงสภาวะของคนพูดในปัจจุบันได้ว่า “เปลี่ยนแปลงไปเยอะ” ขนาดไหน

สิ่งที่พิสูจน์ได้ในวันนี้ ก็คือ คำพูดของ นายทักษิณ ชินวัตร หรือ “โทนี่” อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ CARE Talk x CARE Clubhouse เมื่อวันก่อนตอนหนึ่งว่า “คนเห็น เด็กรุ่นใหม่เห็น เห็นอนาคตเราอยู่ตรงไหน เศรษฐกิจก็ล้มเหลว ประเทศก็ล้มเหลว เทคโนโลยีก็มาแรง กูไม่มีอะไรเลยเนี่ย เสร็จแล้วเด็กไม่รู้ไม่เข้าใจ ก็คิดว่าต้องปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ ซึ่งจริงๆแล้ว ผมอยากแนะนำว่า ปฏิรูประบอบประชาธิปไตยโดยการแก้รัฐธรรมนูญ ที่เป็นประชาธิปไตย ยกตัวอย่างรัฐธรรมนูญ 2540 เป็นรัฐธรรมนูญที่ดีมาก ซึ่งผมไม่ใช่คนร่าง แต่ผมใช้แล้วผมรู้ว่ามันเป็นประโยชน์ต่อบ้านเมือง ต่อการบริหารประเทศและจะได้รัฐบาลที่ดี
วันนี้ เราได้รัฐบาลที่มาจากรูปแบบที่ไม่ดีแล้วยังไม่เก่ง และยังคอร์รัปชัน ตามโลกไม่ทัน และไม่สนใจจะตามโลก ทำให้เด็กไม่มีอนาคต เด็กก็เลยไปโทษว่าเกี่ยวกับสถาบันฯ ความจริงมันไม่เกี่ยวเลย เพราะผมเนี่ยอยู่ตั้งแต่เป็นนักธุรกิจจนร่ำรวย แล้วมาเป็นรัฐมนตรีต่างประเทศ เป็นรองนายกรัฐมนตรี เป็นนายกรัฐมนตรี ผมเป็นนายกฯ อายุ 51 ปี เพราะฉะนั้นผมจะเห็นหมดและผ่านมาทุกอย่าง
“ผมเป็นคนที่ทำงาน ใกล้เจ้านายที่สุดและผมถวายงานให้พระเจ้าอยู่หัวองค์ปัจจุบันตั้งแต่ผมยังเป็นนักธุรกิจ เพราะฉะนั้นผมรู้ดีว่าเกิดอะไรขึ้น เพราะฉะนั้น วันนี้อยากจะมีอนาคตที่ดีต้องได้รัฐบาลที่มีความสามารถในการบริหารและมีผู้นำที่มีวิสัยทัศน์ เพราะฉะนั้นมันต้องมาด้วยกรอบรัฐธรรมนูญที่ดีและต้องมีองค์กรอิสระที่ยึดโยงกับประชาชน รักษาความยุติธรรมให้กับประชาชน เมื่อนั้นประเทศไทยเราจะอยู่นิ่ง”
ซึ่งที่จริงแล้ว นายทักษิณ ก็พูดจาอวดภูมิไปหลายเรื่อง แต่ที่ “โดน” เข้าไปหลายดอก ก็คือ ผลจากการไป “ด้อยค่าเด็ก” ใช้คำว่า “ไม่รู้” หรือหากให้เดาก็คงจะมีความหมายในทำนองที่ว่า “ไม่ฉลาด” หรือ “ไร้ประสบการณ์” อะไรประมาณนั้น แบบไม่เข้าใจโลก แล้วไปโทษสถาบันฯ แล้วต้องการให้มีการปฏิรูป ซึ่ง นายทักษิณ บอกว่ามันไม่เกี่ยวกัน และยังอ้างอีกว่า ที่ผ่านมา เขาทำงานถวายงานอย่างใกล้ชิดกับสถาบันฯ หรือที่ใช้คำว่า “เจ้า” มานานย่อมรู้เรื่องดีอะไรประมาณนั้น
ที่ต้องบอกว่า กรณีของ นายทักษิณ ชินวัตร ครั้งนี้อาจไม่ใช่ครั้งแรกในลักษณะที่เรียกว่า “ปากพาจน” หรือบางครั้งมีเจตนาพูดแบบนั้น เมื่อตัวเองมีเป้าหมายอีกอย่างหนึ่ง เหมือนกับครั้งหนึ่งหากจำกันได้ที่ เขาเคยกล่าวกับพี่น้องคนเสื้อแดงที่ชุมนุมเพื่อเขาในตอนนั้นเมื่อหลายปีก่อนตอนหนึ่งว่า “พี่น้องนี่ทำมาเยอะแล้ว แต่เมื่อทำมาถึงจุดหนึ่ง ก็หมายความว่า เหมือนกับผมจะว่ายน้ำ ผมจะข้ามฝั่ง พี่น้องแจวเรือพาผมข้ามฝั่งมา ถึงฝั่งเรียบร้อยแล้ว ผมต้องเดินทางต่อขึ้นภูเขา พี่น้องจะแบกเรือมาขึ้นภูเขาทำไม ถึงเวลาที่ผมจะขอนั่งรถขึ้นเขา แต่ผมไม่เคยลืมคนที่ขับเรือมาส่งผม แล้วผมจะต้องหันกลับไปขอบคุณคนที่ขับเรือมาส่งผม เหตุการณ์มันเปลี่ยน พัฒนาการมันเปลี่ยน ก็หวังว่าพี่น้องคงจะเข้าใจว่าวันนี้เราได้ทำหน้าที่ของเรามาสุดทาง แต่ไม่ได้หมายความว่าเลิกทำหน้าที่ ต้องดูต่อไปว่า ใครเบี้ยว ใครมากระชากประชาธิปไตยเราอีก ใครกำลังจะยัดเยียดความไม่เป็นธรรมต่ออีก”
แน่นอนว่า ความหมายก็คือ “เมื่อส่งเขาขึ้นฝั่งฝันแล้ว ก็ไม่ต้องตามเขามาอีก เขาจะเดินไปตามทางด้วยตัวของเขาเอง” ซึ่งก็คือ “ได้เวลาสลัดทิ้งมวลชน” นั่นแหละ อย่างไรก็ดี ในตอนนั้นเชื่อว่าคงมีไม่น้อยที่รู้สึกโกรธ เหมือนกับว่าเมื่อตัวเองถึงฝั่งแล้วก็ “ถีบหัวส่ง” อะไรประมาณนั้น แต่ก็อย่างว่าเมื่อ “แกนนำ” แทบทั้งหมดต่างก็ต้องการได้ประโยชน์จาก นายทักษิณ ชินวัตร ที่ในเวลาต่อมาทำให้เห็นภาพจากคำพูดดูถูก เปรียบเทียบคำว่า “เลี้ยงสุนัขไว้หลายตัว” มันก็เหมือนลมพัดผ่านไปไม่มีความหมาย
ขณะเดียวกัน เมื่อทำความเข้าใจกับคำพูดดังกล่าวในตอนนั้นที่เขาพยายามพูดถึงเรื่อง “ปรองดอง” เพราะมั่นใจว่าร่างกฎหมาย “นิรโทษกรรมสุดซอย” กำลังผ่านสภาและทำให้เขาได้กลับบ้านแบบเท่ๆ นั่นคือ ไม่ต้องรับผิดใดๆ ทั้งสิ้น รวมไปถึงมีข่าวว่าเขาสามารถ “เคลียร์” ปัญหากันได้แล้ว กับผู้มีอำนาจในขณะนั้น แต่ทุกอย่างก็ไม่เป็นไปตามนั้น และต้องหลบหนีในต่างประเทศมาจนถึงทุกวันนี้
ล่าสุด ก็เริ่มมีความหวังอีกครั้งในรอบสิบปีนี้ โดยหมายมั่นปั้นมือว่า “ลูกสาวคนเล็ก” คือ “อุ๊งอิ๊ง” น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ที่เขาบอกว่า “ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น” จะได้เป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนที่สอง หลังจากมีความเคลื่อนไหวที่ชัดเจนว่าจะได้รับการเสนอชื่อจากพรรคเพื่อไทย ให้เป็นแคน ดิเดตนายกฯของพรรค ขณะเดียวกัน เพื่อให้เป้าหมายสำเร็จราบรื่นเขาก็ต้องยอม “เปลี่ยนแนว” อีกครั้ง
แม้ว่าครั้งล่าสุดจะสังเกตจากคำพูดข้างต้นที่ระบุว่า “เด็กๆ ไม่รู้ ไม่เข้าใจจึงต้องการปฏิรูปสถาบันฯ ทั้งที่ไม่เกี่ยวกันเลย” รวมไปถึงคำพูดที่ว่า “ผมเคยถวายงานใกล้ชิดย่อมรู้เรื่องดี” ซึ่งเด็กๆ ที่ว่านั้นก็ย่อมหมายถึงบรรดา “ม็อบสามนิ้ว” ที่ทั้งแกนนำและคนเข้าร่วมส่วนใหญ่ล้วนแต่เป็นวัยรุ่น นักเรียน นักศึกษา
ความหมายก็คือ เด็กพวกนี้ “มันไร้เดียงสา” ไม่รู้ข้อเท็จจริง แต่อีกด้านหนึ่งก็ถูกมองว่า เขา “กำลังเปลี่ยนมุกใหม่” เพื่อต้องการการสนับสนุนที่หลากหลาย เพื่อไปถึงเป้าหมายให้ได้ ยอมทิ้งพวก “ม็อบสามนิ้ว” ที่ต้องการปฏิรูปสถาบันฯ ที่ต่อมาศาลรัฐธรรมนูญตีความว่า มี “เจตนาล้มล้าง” ก็ตาม ที่เขายอมทิ้ง หรือ “แยก” ออกมา เพราะอาจชั่งน้ำหนักแล้วว่า ยังมีคนจำนวนมากที่ยังสนับสนุนเจ้า
แต่ก็ได้ผลได้ถูกคนในวงการเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็น “สมศักดิ์ เจียม” นายสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล นักวิชาการ ที่เป็นผู้ต้องหาคดี มาตรา 112 ที่ตั้งคำถามที่เน้นไปถึง ทักษิณ และพรรคเพื่อไทย ที่อ้างว่าเป็นฝ่ายประชาธิปไตย ในท่ามกลางคนที่ติดคุก คนที่ตายมานับสิบๆ ปีแล้ว แต่ปฏิเสธที่จะพูดถึงเรื่องนี้ สมควรถูกประณาม หรือ ตามมาด้วย นายปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์ อาจารย์ประจำมหาวิทยาลัยเกียวโต ญี่ปุ่น ผู้ต้องหาคดี มาตรา 112 ก็ออกกล่าวถึง นายทักษิณ อย่างเดือดดาล ในทำนองว่า ไปดูถูกเด็กพวกนั้น และถือว่าเป็นการพูดที่บิดเบือนอย่างที่สุด “เพราะที่ผ่านมาเมื่อเจอทักษิณกันทุกครั้ง ก็จะด่าเจ้าให้ฟังทุกครั้ง การออกมาปกป้องทั้งๆ ที่ลับหลังด่า มันไม่ใช่และไม่เวิร์กอีกต่อไป”
ขณะที่ปฏิกิริยาของพวกเด็กๆ ในความหมายของ นายทักษิณ ชินวัตร อย่าง นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ แกนนำม็อบสามนิ้ว ที่ออกมาโพสต์ตอบโต้สั้นๆ ว่า “เด็กไม่รู้ไม่เข้าใจ หรือผู้ใหญ่ไม่กล้าพูด” หรืออย่าง นายอานนท์ นำภา แกนนำอีกคน ที่โพสต์ออกมาเตือนสติว่า “ต้องใจกว้าง” ในการรับฟัง ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลกหากพิจารณาจากคำพูดของเด็กๆ พวกนี้ เพราะจะว่าไปแล้วหากไม่มีมวลชนคนเสื้อแดงของ นายทักษิณ มาอุ้มชูสนับสนุน ก็คงไม่ทำให้ “แกนนำโนเนม” พวกนี้ยืนระยะมาได้อยู่ช่วงเวลาหนึ่ง มันถึงออกมาในแบบ “ไม่กล้าปะทะแรงๆ เพราะกลัวเสียฐานสนับสนุน” นั่นแหละ ยกเว้นพวก นักวิชาการ “เขี้ยวๆ” ไม่เคยออกหน้า
แต่อย่างไรก็ดี เชื่อว่า จากคำพูดล่าสุดของ “โทนี่” คราวนี้ที่วิจารณ์พาดพิงเด็กๆ ที่ว่า “ไม่รู้เรื่อง” มันคงทำให้รู้สึกกระอักกระอ่วนกันในหมู่สหายร่วมแนวกันไม่น้อย และเป็นอีกครั้งหนึ่งที่พิสูจน์ให้เห็นว่า เมื่อถึงเวลาหนึ่ง หากเขาคิดถึงประโยชน์ที่จะได้ในวันหน้า ก็ต้อง “ถีบหัวส่ง” บางคนที่ไม่มีประโยชน์ทิ้งไปอย่างไม่ไยดี ซึ่งนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรก !!


กำลังโหลดความคิดเห็น