ทะลักจุดเดือด! “วิโรจน์” ดับเครื่องชน “ท่านใหม่” เป็นอะไรของคุณ? ร่ายยาวจวกยับ “กรุงเทพ เป็นเมืองที่คนอยู่ หรือเทพอยู่?” “เพนกวิน” อัด “ทักษิณ” เด็กไม่รู้ หรือผู้ใหญ่ไม่กล้าพูด “อานนท์” หย่าศึก “ก้าวไกล-พท.” ฟัดกัน
น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (14 เม.ย.) จากกรณี นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ผู้สมัครเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. พรรคก้าวไกล ได้จัดทำป้าย/banner หาเสียงเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. ที่มีการขีดฆ่าชื่อเต็มกรุงเทพมหานคร
ล่าสุด นายวิโรจน์ โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊กกล่าวถึงหม่อมเจ้า จุลเจิม ยุคล หรือ ท่านใหม่ ว่า
“จุลเจิม ยุคล คุณเป็นอะไรของคุณ? ตกลงเราควรให้ความสำคัญกับอะไรในเมืองๆ นี้? คน หรือยศฐาบรรดาศักดิ์? ชื่อเมือง หรือเลือดเนื้อชีวิตของคนที่อยู่ในเมือง? กรุงเทพเป็นเมืองที่คนอยู่ หรือเทพอยู่?
ความเจริญงอกงามของเมือง เกิดจากความร่วมแรงร่วมใจของคน และความรู้สึกว่าเราทุกคนเป็นเจ้าของเมืองๆ นี้ ไม่ใช่หรือ?
การตีความให้เมืองๆ นี้ เป็นเมืองศักดินา ของคนที่มียศฐาบรรดาศักดิ์ แล้วกดให้ประชาชนเป็นเพียงไพร่ทาส ผู้รับใช้เหล่าขุนหลวงพระยา นับวันมีแต่จะทำให้เมืองๆ นี้ กลายเป็นเมืองที่คนจำอยู่อย่างสิ้นหวัง ยอมจำนนต่อโชคชะตา เมื่อเวลาผ่านไป เมืองๆ นี้ มีแต่จะกลายเป็นเมืองที่ต้องคำสาปหยุดการพัฒนา คนที่มีความฝันต้องผันตัวไปอยู่ต่างประเทศ คนมีเงินก็ขนเงินไปลงทุนที่อื่น สุดท้ายคนที่อยู่อาศัยในเมือง ก็จะทยอยแก่ตัวลงเรื่อยๆ ตามกาลเวลา และจะเต็มไปด้วยผู้สูงอายุที่ขาดเงินออม ในเมืองที่ไร้สวัสดิการ
ผมว่า พฤติกรรมที่ควรหมดไปจากสังคมนี้ได้แล้ว คือ การเอาอคติของตน มาอวยยกตัวเองว่าจงรักภักดี แล้วเอาสถาบันพระมหากษัตริย์ มาใช้เพื่อโจมตีประชาชนที่คิดต่างจากตน
พฤติกรรมที่นำเอาสถาบันพระมหากษัตริย์ มาใช้เพื่อแบ่งแยกประชาชน ไม่ว่าจะทางตรง หรือทางอ้อม ไม่ว่าจะมีเจตนา หรือไม่มีเจตนา ควรจะเลิกได้แล้ว
ผู้ว่ากรุงเทพ มีหน้าที่ในการทำให้เมืองๆ นี้ เป็นเมืองที่คนไม่ว่าจะจน หรือรวย อยู่ร่วมกันได้อย่างมีศักดิ์ศรี และมีคุณภาพชีวิตที่ดีเหมือนกัน ได้รับการดูแลเอาใจใส่ที่ดีอย่างเท่าเทียมกัน สวัสดิการที่ดีเสมอภาคกันจะทำให้คนกล้าฝัน กล้าบุกเบิก ทำให้คนมีกำลังซื้อ กล้าซื้อ เมืองก็มีการบริโภค พอเมืองมีการบริโภค เมืองก็จะมีการลงทุน พอมีการลงทุน ก็เกิดการจ้างงานใหม่ๆ เกิด Supply Chain ใหม่ เกิดแหล่งลงทุนใหม่ๆ ทุกๆ คนก็มีโอกาสตั้งตัวได้ หลุดพ้นจากความยากจนได้ เมืองแบบนี้ไม่ใช่หรือ คือเมืองที่มีความหวัง
พอเสียทีเถอะ เมืองที่เอื้อให้กลุ่มอภิสิทธิ์ชนกลุ่มหนึ่งรวยได้ เพราะรู้ข้อมูลวงในก่อนใคร รวยได้เพราะได้อภิสิทธิ์จากกติกาที่ไม่เป็นธรรม รวยได้เพราะเส้นเพราะเครือข่ายอุปถัมภ์
ความร่ำรวยแบบนี้ มันไม่ใช่ความมั่งคั่งที่น่าภูมิใจ แต่เป็นการสูบเลือดสูบเนื้อทำนาบนหลังประชาชน พอกลุ่มทุนเหล่านี้ต้องออกไปแข่งขันในเวทีโลกด้วยกติกาที่เป็นสากล ก็ไม่เคยที่จะประสบความสำเร็จ สุดท้ายต้องบากหน้า กลับมาสูบเลือดสูบเนื้อประชาชนที่ประเทศเหมือนเดิม
ยืนยันครับว่า กรุงเทพ ที่สามารถเป็นเมืองที่เป็นความหวังของทุกๆ คน ไม่ว่าจะยากดีมีจน อย่างยั่งยืนได้ จะต้องเริ่มต้นจาก #เมืองที่คนเท่ากัน เท่านั้นครับ
#วิโรจน์ก้าวไกล
ผู้ผลิต วิโรจน์ ลักขณาอดิศร” (จากไทยโพสต์)
ขณะเดียวกัน กรณี นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ CARE Talk x CARE Clubhouse ตอนหนึ่งว่า “เด็กรุ่นใหม่ไม่รู้ไม่เข้าใจ ก็คิดว่าต้องปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ วันนี้เราได้รัฐบาลที่มาจากรูปแบบที่ไม่ดีแล้วยังไม่เก่ง และยังคอร์รัปชัน ตามโลกไม่ทันและไม่สนใจจะตามโลก ทำให้เด็กไม่มีอนาคต เด็กก็เลยไปโทษว่า เกี่ยวกับสถาบัน ความจริงมันไม่เกี่ยวเลย”
นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือ เพนกวิน ผู้ต้องหาคดี 112 และแกนนำม็อบราษฎร โพสต์ข้อความบนทวิตเตอร์ว่า “เด็กไม่รู้ ไม่เข้าใจ หรือผู้ใหญ่ไม่กล้าพูด” และ “ครั้งที่แล้วผมเลือกเพื่อไทยครับ”
ด้าน นายอานนท์ นำภา ผู้ต้องหาคดี 112 และทนายความนักเคลื่อนไหวทางการเมือง โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า
ประเด็นนึงที่เราต้องเข้าใจร่วมกัน คือ อย่าให้กลายเป็นว่า ฝ่ายสนับสนุนก้าวไกล ก็จ้องด่าเพื่อไทย ฝ่ายสนับสนุนเพื่อไทย ก็จ้องด่าก้าวไกล หรือไปกว่านั้นคือ พอฝ่ายไหนพลาด คนที่สนับสนุนก็ออกมาปกป้องแบบไม่ลืมหูลืมตา
ผมเข้าใจความขัดแย้งเรื่องฐานเสียงว่ามันมีอยู่จริง แต่สิ่งที่สำคัญกว่านั้นคือ “ต้องใจกว้าง” และมีวุฒิภาวะให้พอสำหรับการถูกวิจารณ์ ซึ่งผมเห็นว่า คนหัวๆ ของทั้งสองพรรคส่วนใหญ่ก็มีความใจกว้าง และวุฒิภาวะในการรับฟังการวิจารณ์รวมทั้งคุณทักษิณด้วย
ผมคงไม่เรียกร้องให้ต้องรักสามัคคีกันอะไรขนาดนั้น แต่อยากเรียกร้องให้สร้างวัฒนธรรมการวิจารณ์และรับฟังให้เป็นเรื่องปกติในขบวนประชาธิปไตยของเรา
ปล.ผมใช้คำว่า “ประชาธิปไตยของเรา” เพราะผมเชื่อว่า ทั้งเพื่อไทยและก้าวไกล ก็ไม่ได้มีปลายทางต่างกันมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มวลชนทั้งสองฝ่าย “ตาสว่าง” ทั้งนั้นแหละครับ (จากไทยโพสต์)
แน่นอน, ประเด็นที่น่าสนใจ ก็คือ ไม่เพียงมุมมองของฝ่ายปกป้องสถาบันฯ กับ ฝ่ายที่เรียกตัวเองว่า ก้าวหน้า ก้าวไกล เป็นฝ่าย ปชต. จะสุดโต่งสุดขั้วไปคนละฟากฟ้าแล้ว ยังเห็นต่างกันอย่างรุนแรง และที่สำคัญ ต่างฝ่ายต่างไม่ยอมให้แก่กันอีกต่อไป เห็นได้ชัดจากกรณีของ “วิโรจน์” ดับเครื่องชน “ท่านใหม่”
ขณะเดียวกัน ในทางการเมือง ก็เห็นได้ชัดว่า ฝ่ายที่อ้างตัวเป็นประชาธิปไตย ก็ยังขัดแย้งกันเองอย่างหนัก เพียงเพราะช่วงชิง “มวลชน” ผลประโยชน์ทางการเมือง และนับวันความขัดแย้งแตกแตกแยกยิ่งรุนแรง จน “อานนท์” ต้องออกโรงเตือน เพื่อให้เกิด “เอกภาพ” ในการต่อสู้ทางการเมือง
เมื่อเป็นเช่นนี้ ภาพสะท้อนที่เกิดขึ้น จึงแทบมองไม่เห็นสิ่งที่พวกเขากล่าวอ้างเลยแม้แต่น้อย คือ “ประชาชน” เป็นศูนย์กลางของทุกสิ่ง หรือ ทำเพื่อ “ประชาชน” เพราะที่ขัดแย้งกันเองอยู่ในเวลานี้ คือ ผลประโยชน์ทางการเมืองทั้งสิ้น “ประชาชน” ไม่รู้อยู่ตรงไหนของความขัดแย้ง หรือว่าไม่จริง!?