xs
xsm
sm
md
lg

“ท่านใหม่” ข้องใจ “อัยการ” ไม่ฟ้อง “ธนาธร” ถือหุ้นสื่อ “ดร.เสรี” ซัด ได้ประกันไม่สำนึก เจ้าตัวปลุกสู้ “ปิดปาก”

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


ภาพ “ท่านใหม่” ม.จ. จุลเจิม ยุคล จากแฟ้ม
อยากเห็นหน้า! “ท่านใหม่” ข้องใจ! อัยการสั่งไม่ฟ้องอาญา “ธนาธร” ถือหุ้นสื่อ “ดร.เสรี” ซัด ได้ประกัน ยังโอหัง กล้าหมิ่นเหม่ “ดร.นิว” ชี้ ใครเดือดร้อนเพราะ ม.112 ดร.อานนท์ ยุพูดมากต่อไป “ทอน” ปลุกสู้ อำนาจปิดปาก

น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (12 เม.ย.) จากกรณีมีกระแสข่าวว่า อัยการสั่งไม่ฟ้องคดีอาญา นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า และอดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ กรณีถือหุ้นสื่อ “ท่านใหม่” ม.จ.จุลเจิม ยุคล โพสต์ข้อความระบุว่า

“อยากเห็นหน้า และชื่อของอัยการสูงสุดคนที่สั่งไม่ฟ้อง ธราธร ว่า ยังอยู่ดีมีสุข อ้วนท้วม สมบูรณ์ ร่ำรวยดี แค่ไหน” (จากไทยโพสต์)

ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 11 เม.ย. 65 พล.ต.อ.สุทิน ทรัพย์พ่วง รอง ผบ.ตร. ในฐานะผู้รับผิดชอบสำนวนการทำความเห็นคดีคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) แจ้งความดำเนินคดีอาญากับ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า และอดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ กรณีถือหุ้นสื่อบริษัท วีลัคฯ ลงสมัครรับเลือกตั้งปี 2562 ซึ่งต่อมาพนักงานสอบสวน สน.ทุ่งสองห้อง มีความเห็นสั่งฟ้องนายธนาธร ว่า ทำผิด พ.ร.บ.เลือกตั้ง ส.ส.ฯ แต่ปรากฏว่า อัยการมีความเห็นสั่งไม่ฟ้องนายธนาธร จึงต้องส่งเรื่องให้ พล.ต.อ.สุวัจน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร.ทำความเห็นตามประมวลกฎหมายอาญา

ทั้งนี้ สำนวนคดีนายธนาธร ได้ออกจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ไปที่อัยการสูงสุดแล้ว โดยสำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีความเห็นแย้งกับอัยการ ทำให้ต้องส่งเรื่องให้อัยการสูงสุดชี้ขาด โดยหากอัยการสูงสุดมีความเห็นสั่งไม่ฟ้องคดีก็จบ แต่หากมีความเห็นสั่งฟ้อง ต้องส่งเรื่องให้อัยการเจ้าของสำนวนคดี ส่งฟ้องต่อศาลต่อไป

ภาพ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ จากแฟ้ม
วันนี้เช่นกัน ดร.เสรี วงษ์มณฑา ผู้ร่วมก่อตั้งสถาบันทิศทางไทย บรรณาธิการบริหาร เพื่อวางกลยุทธ์สื่อสาร ศบค. โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กระบุว่า...

“คิดชั่วไม่ใช่คิดต่าง วิจารณ์ได้ ถ้าพูดเรื่องจริงไม่ใช่เรื่องเท็จ

มีคดี 112 เยอะ ก็เพราะคนทำผิดมาตรา 112 เยอะ

ได้ประกันตัวออกมา แล้วพูดจากล่าวหากระบวนการยุติธรรมของไทย และยังหมิ่นเหม่ที่จะทำผิดมาตรา 112 ซ้ำอีก น่าจะถูกถอนประกันนะ

ยโสโอหังมาก ทำผิดซ้ำซากแบบไม่กล้วกฎหมาย ไม่รู้ว่ามีดีอะไร ทำไมทุกคดีของคนนี้และสมาชิกในครอบครัวของเขา จึงช้าหมดทุกคดี” (จากสยามรัฐออนไลน์)

ขณะเดียวกัน ดร.ศุภณัฐ อภิญญาณ หรือ “ดร.นิว” นักวิจัยภายใต้สถาบันวิจัย MAST Center และ คณะวิศวกรรมชีวการแพทย์ University of Arkansas โพสต์ข้อความระบุว่า

“คนปกติทั่วไปไม่มีใครเดือดร้อนเพราะ ม.112

มีแต่คนหนักแผ่นดินคิดกบฏที่โดน ม.112”

ภาพ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ขณะไลฟ์สด โจมตีวัคซีนรัฐบาล จนโดนฟ้องคดี ม.112 จากแฟ้ม
ที่น่าสนใจไม่แพ้กัน จากกรณีอัยการยื่นฟ้อง นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า ในข้อหาผิดกฎหมายอาญา ม.112 และ พ.ร.บ.คอมพ์ กรณีไลฟ์สดวิจารณ์วัคซีนโควิด

ล่าสุด (11 เม.ย.) ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ อาจารย์ประจำคณะสถิติประยุกต์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (NIDA) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า

“ไอ้ตี๋ เอ็งและครอบครัว พร้อมหนีคดี เป็นสัมภเวสี ไม่มีแผ่นดินอยู่แล้วสินะ”

โดยหลังนายธนาธรได้ประกันตัว ก็ออกมาโพสต์เฟซบุ๊กว่า ตนไม่ใช่คนแรกและคนสุดท้ายในคดี ม.112

ผศ.ดร.อานนท์ โพสต์ข้อความอีกครั้ง ว่า “เออ พูดเยอะๆ อหังการเยอะๆ ดีเลย ศาลจะได้ถอนประกัน ตำรวจจะได้ทำคดีเพิ่ม 5555”

ด้าน เฟซบุ๊ก Thanathorn Juangroongruangkit - ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ โพสต์ข้อความหลังได้ประกันตัว (11 เม.ย.) หัวข้อ [เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าสิ่งที่ผมพูดเป็นความจริง]

โดยระบุว่า วันนี้ผมเสียเวลาทำงานทั้งวันไปกับขั้นตอนทางกฎหมาย รอศาลอนุญาตให้ประกันตัว จากกรณีที่อัยการสั่งฟ้องผมในข้อหา 112 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ จากการที่ผมแถลงผ่านเฟซบุ๊กไลฟ์ ในหัวข้อ “วัคซีนพระราชทาน: ใครได้-ใครเสีย?”

ซึ่งมีเนื้อหาวิพากษ์วิจารณ์การบริหารวัคซีนของรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่มีลักษณะ “แทงม้าตัวเดียว” สั่งวัคซีนหลักยี่ห้อเดียวคือแอสตร้าเซนเนก้า ทำให้ผมตั้งข้อสังเกตว่า การตัดสินใจแบบนี้ จะทำให้ประชาชนเสี่ยงได้วัคซีนช้า และไม่มีประสิทธิภาพ เพราะในเวลานั้น ไม่มีใครรู้ว่าวัคซีนชนิดไหนจะมีประสิทธิภาพที่สุด

กรณีของผม เป็นเพียงส่วนหนึ่งของการใช้กฎหมายทั้งมาตรา 112 มาตรา 116 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ปิดปากผู้ที่วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลและเห็นต่างจากผู้มีอำนาจ โดยนับตั้งแต่กรกฎาคม 2563 ถึงปัจจุบัน มีผู้ถูกดำเนินคดี 112 จำนวนถึง 183 ราย
ผมไม่ใช่คนแรก และจะไม่ใช่คนสุดท้าย ที่ถูกปิดปากโดยมาตรา 112 ทั้งที่การวิพากษ์วิจารณ์การบริหารจัดการวัคซีนของผมเป็นไปเพื่อประโยชน์ของประชาชน โดยความเป็นห่วงว่า คนไทยจะได้วัคซีนช้าเกินไป และไม่มีประสิทธิภาพ และเวลาก็พิสูจน์แล้วว่าสิ่งที่ผมพูดเป็นความจริง ตอนนี้วัคซีนที่ได้ผลที่สุดในการป้องกันการติดเชื้อและลดความรุนแรงของโควิด คือ ชนิด mRNA ไม่ใช่ไวรัลเวคเตอร์

ภาพ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ออกมาเคลื่อนไหวผ่านเฟซบุ๊ก หลังได้ประกันตัวคดี ม.112 ขอบคุณข้อมูล-ภาพ จากเฟซบุ๊ก Thanathorn Juangroongruangkit - ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ
การใช้คดี 112 กับผม และนักกิจกรรมทางการเมือง รวมถึงประชาชนทั่วไป เป็นอาวุธที่ผู้มีอำนาจใช้ หวังว่า จะเป็นไม้ตายในการปิดปากพวกเรา หยุดยั้งพวกเราไม่ให้ตั้งคำถาม และเรียกร้องความเป็นธรรม เรียกร้องสังคมที่ดีกว่านี้ และขอยืนยันตรงนี้ว่า การทำงานของผมจะยังดำเนินต่อไป โดยยึดผลประโยชน์ของประชาชนเป็นที่ตั้ง ผมจะไม่ลังเลที่จะพูด จะทำสิ่งใดก็ตามที่ผมเห็นว่าจำเป็น และมีประโยชน์ต่อประเทศชาติ เพียงเพราะเกรงกลัวว่าจะเกิดคดีความเป็นโทษกับตัวเอง

สุดท้าย ผมขอให้กำลังใจผู้ต้องหาคดี 112 และคดีการเมืองทุกคน

สู้ด้วยกันต่อไปจนกว่าจะถึงวันที่อำนาจสูงสุดเป็นของประชาชนครับ”

แน่นอน, ประเด็นที่น่าสนใจ ก็คือ เรื่องที่ดูเหมือน เพียงแค่ มีคนจำนวนมาก ทำผิดข้อหา “หมิ่นสถาบันฯ” (ม.112) หรือไม่ จำนวนมากมาย มิใช่เป็นเรื่องที่อยู่ๆ ก็เกิดขึ้น

แต่ที่คนไทยรับรู้ และคนที่เกาะติดสถานการณ์การเมืองอย่างใกล้ชิดเข้าใจ คือ เกมต่อสู้ระหว่างกลุ่มคนที่ต้องการเปลี่ยนแปลงประเทศ (ไปสู่อะไรก็สรรหามาพูด) ต้องการปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ จึงมีการหมิ่นสถาบันฯเกิดขึ้น

ไม่เพียงเท่านั้น คนกลุ่มนั้นยังยุยงปลุกปั่น สนับสนุนให้คนรุ่นใหม่ เคลื่อนไหว “ปฏิรูปสถาบันฯ” เพื่อนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงประเทศ ด้วยการจัดชุมนุมทางการเมือง (ม็อบ) ไม่ว่าจะภายใต้ชื่อ และหัวข้ออะไรก็ตาม ล้วนมีเป้าหมายเดียวกัน ด้วยเหตุนี้ จึงมีคนจำนวนมาก ทำผิดข้อหาหมิ่นสถาบันฯ เพราะการเคลื่อนไหวเข้าข่ายหมิ่นเหม่ต่อการหมิ่นสถาบัน จาบจ้วงล่วงละเมิดสถาบันฯ และมีพฤติกรรมสร้างความรุนแรง เช่น เผาทำลายสัญลักษณ์ของสถาบันฯ (สิ่งเหล่านี้ เป็นข่าวและเป็นคดีจำนวนมาก)

เมื่อเป็นเช่นนี้ ย่อมถือว่า เป็นการทำผิดกฎหมายชัดเจน และไม่ใช่กฎหมายรุกรานประชาชนผู้เห็นต่างตามที่กล่าวอ้าง หากแต่เป็นการต่อสู้เรียกร้องด้วยการทำผิดกฎหมาย เรื่องนี้ศาลรัฐธรรมนูญก็ได้วินิจฉัยเอาไว้อย่างชัดเจน ว่า ใช้เสรีภาพภายใต้รัฐธรรมนูญ เพื่อล้มล้างการปกครองฯ เพียงแต่คนกลุ่มนั้น ไม่ยอมรับกฎหมายเท่านั้นเอง

สุดท้าย พยานหลักฐานจะเป็นเครื่องพิสจน์ ว่า กลุ่มคนนี้จะศักดิ์สิทธิ์เหนือกฎหมาย หรือ กฎหมายจะศักดิ์สิทธิ์เหนือกว่า เพื่อความ “เป็นธรรม” ของสังคมไทยส่วนรวม มิใช่เพื่อคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ที่ปากกล้า เสียงดัง ตังค์เยอะ เป็นสำคัญ เพราะข้ออ้าง “ประชาธิปไตย” ใครก็พูดได้ หรือไม่จริง?


กำลังโหลดความคิดเห็น