เมืองไทย 360 องศา
นาทีนี้สรุปกันแบบรวบรัดตัดความไม่ต้องอ้อมค้อมคิดมาก ก็ชัดเจนแล้วว่า นายทักษิณ ชินวัตร หรือ “โทนี่” ที่กำลังหลบหนีคดีทุจริตในต่างประเทศ และสังคมเข้าใจว่าเป็นสั่งการ ชักใยพรรคเพื่อไทย โดยพฤตินัย ความหมายที่เข้าใจกันก็คือ “เป็นเจ้าของ” นั่นแหละ และเวลานี้กำลังพยายามผลักดัน “อุ๊งอิ๊ง” น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ลูกสาวคนเล็ก ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไปให้ได้ เพียงแต่ว่ารอจังหวะเวลาประกาศอย่างเป็นทางการอีกครั้งเท่านั้น
ขณะเดียวกัน หากพิจารณาจากความจำเป็น “ส่วนตัว” ของ นายทักษิณ ชินวัตร ก็สามารถเข้าใจได้ไม่ยาก ว่า ทำไมถึงต้องเป็น “อุ๊งอิ๊ง” น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ซึ่งเป็นลูกสาวนคนเล็กของเขา แน่นอนว่า ต้องมีคำถามตามมาอีกว่า ทำไมถึงไม่เป็น “โอ๊ค” นายพานทองแท้ ชินวัตร ที่เป็นลูกชายคนโต หรือ นางพินทองทา คุณากรวงศ์ ซึ่งเป็นเหตุผลของพวกเขา แต่เอาเป็นว่าไม่ว่าใครก็ตามก็ถือว่าเป็น “ทายาทโดยตรง” ที่ไว้ใจได้
ที่ผ่านมา นายทักษิณ ชินวัตร ได้มีการทำทางล่วงหน้าไว้ให้ น.ส.แพทองธาร อย่างต่อเนื่อง แบบเป็นขั้นเป็นตอน ทั้งการเรียกร้องให้ “คนรุ่นเก่า” วางมือ ทั้งตัวเขาเอง รวมไปถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รวมไปถึง “กลุ่มสาม ป.” ที่เป็นกลุ่มอำนาจในปัจจุบัน โดยบอกว่า “ตกรุ่น” และควรเปิดทางให้ “คนรุ่นใหม่” เข้ามา จนกระทั่งช่วงเวลาสำคัญก็มาถึงตั้งแต่การเริ่มเปิดตัว “ลูกสาวคนเล็ก” เป็นประธานยุทธศาสตร์ของพรรค ด้านการมีส่วนร่วมและนวัตกรรมของพรรคเพื่อไทย และล่าสุด มาถึงตำแหน่งหัวหน้าครอบครัวพรรคเพื่อไทย ซึ่งถือว่าชัดเจนที่อธิบายว่าขั้นตอนสุดท้ายคือเปิดตัว “แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี” ในรายชื่อของพรรคเพื่อไทย เมื่อมีการเลือกตั้ง หรือรอประกาศอย่างเป็นทางการเท่านั้น
ส่วนความจำเป็นที่ต้องวางทายาทสายตรงแบบนี้ หากมองอีกมุมหนึ่งมันก็เหมือนกับว่า นายทักษิณ ชินวัตร ก็หมดทางเลือก หรือไม่กล้าเสี่ยงกับ “หุ่นเชิด” ตัวอื่นที่อยู่ “ในคอก” อาจจะเป็นเพราะด้วยอายุของเขาที่ “สูงวัย” อายุล่วงเข้าเจ็ดสิบกว่าไปแล้ว อาจจะเรียกว่า “ไม้ใกล้ฝั่ง” เข้าไปทุกทีแล้ว และไม่ว่าจะรวยล้นฟ้าแค่ไหน บางครั้งคนเราก็ “อยากจะกลับมาตายบ้าน” ไม่อยากหลบหนีเร่ร่อนอยู่ในต่างแดนแบบนี้
แม้หลายคนจะแย้งว่า นายทักษิณ ชินวัตร สามารถกลับไทยได้ตลอดเวลา นั่นก็อาจจะใช่ แต่นั่นไม่ใช่เขา เพราะหนึ่งด้วยเหตุผลที่สำคัญที่สุด ก็คือ เขายังมี “อิทธิพลทางการเมือง” ในประเทศไทยสูง ยังสามารถชี้นิ้วสั่งการพรรคการเมือง นักการเมืองในพรรคการเมืองได้ ดังนั้นด้วยลักษณะแบบนี้ มันจึงไม่มีทางที่จะเดินทางกลับมาติดคุกที่มีคดียาวเป็นหางว่าวอย่างแน่นอน
หากจะกลับมา ก็ต้องเกิดขึ้นหลังจากที่พรรคเพื่อไทยชนะการเลือกตั้ง ได้เป็นรัฐบาล และที่สำคัญ “ลูกสาวคนเล็ก” คือ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ได้เป็นนายกรัฐมนตรีแล้วเท่านั้น ส่วนจะมีการ “นิรโทษสุดซอย” หลังจากนั้น หรือว่าจะกลับรับโทษแบบ “กรณีพิเศษ” นั่นคือ “ติดคุกแบบวีไอพี” และบางคดีเขาก็เข้าคุณสมบัติลดหย่อนโทษสำหรับผู้สูงอายุ แต่ทุกอย่างจะไร้ปัญหาหากพวกเขา “คุมอำนาจรัฐ” อยู่ในมือ คุมกระทรวงยุติธรรม และกรมราชทัณฑ์ ส่วนจะเกิดความวุ่นวายในบ้านเมืองตามอีกหรือไม่ หากมีการดำเนินการแบบนั้นจริง ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ค่อยมาว่ากัน
อย่างไรก็ดี นั่นเป็นความคาดหมายที่ เชื่อว่า นายทักษิณ ชินวัตร วางแผนและคิดแบบนี้ และเชื่อว่า สำหรับคอการเมือง และคู่แข่งก็คงคิดเหมือนกัน เพราะหากว่ากันตามจริงมันก็ไม่ได้มีอะไรซับซ้อน เพียงแต่ว่าจะทำได้สำเร็จหรือไม่เท่านั้นเอง
ก่อนหน้านี้ นายทักษิณ มั่นใจว่า ในการเลือกตั้งคราวหน้าพรรคเพื่อไทย จะชนะแบบ “แลนด์สไลด์” และต่อมา นายชูวิทย์ พิทักษ์พรพัลลภ ส.ส.อุบลราชธานี และเป็นประธาน ส.ส.ภาคอีสานของพรรค ก็ยังออกมากล่าวอย่างมั่นใจตามหลังว่าในการเลือกตั้งครั้งหน้า ชนะเลือกตั้งได้ ส.ส.ทั้งหมด 280 เสียง แบ่งเป็น ส.ส.เขต 250 คน และ บัญชีรายชื่อ 30 คน ขณะเดียวกันมีการพูดถึงพรรคก้าวไกล ว่าจะได้ราว 20 เสียง เป็นต้น
หากเป็นแบบนี้ก็จะทำให้ พรรคเพื่อไทยจัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียว และน.ส.แพทองธาร ชินวัตร ได้เป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนที่สองของครอบครัวอย่างแน่นอน เป็นไปตามฝันของ นายทักษิณ ที่จะได้กลับบ้านอย่างเท่ๆ
ขณะเดียวกัน เมื่อพูดถึง “พรรคก้าวไกล” ที่นาทีนี้มองข้ามไม่ได้อย่างเด็ดขาด และเมื่อพิจารณาจากแนวโน้มและความเป็นไปได้รวมไปถึงบรรยากาศที่เป็นอยู่ในเวลานี้ อาจไม่ได้เป็นไปอย่างที่คนในพรรคเพื่อไทย “ด้อยค่า” ให้ถอยหลังเหลือส.ส.แค่ 20 คน อย่างที่ปรามาสเอาไว้ก็ได้ เพราะเมื่อพิจารณาจากผลสำรวจ “นิด้าโพล” ล่าสุดที่เพิ่งออกมากลายเป็นว่า นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ได้รับความนิยมแซงหน้า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นครั้งแรก แม้ว่าในผลสำรวจจะบอกว่า “ยังไม่มีพรรคใด” ที่อยากเลือกก็ตาม และ น.ส.แพทองธาร มีคะแนนตามหลัง รวมไปถึงบางคนยังสงสัยของการทำโพลของสำนักนี้ก็ตาม
แต่ผลสำรวจดังกล่าวมันสะท้อนผลทางการเมืองหลายอย่าง และอาจส่งผลไปถึงอนาคตอีกด้วย โดยเฉพาะ “แผนการแลนด์สไลด์” ของนายทักษิณ ชินวัตร ที่วาดฝันเอาไว้ ที่สำคัญยังส่งผลเฉพาะหน้าต่อการเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าอีกด้วย ซึ่งจะชี้ไปถึงการเลือกตั้งระดับชาติตามมา เพราะการเลือกตั้งผู้ว่าฯกรุงเทพฯ พรรคก้าวไกล ส่งผู้สมัครลงชิงเก้าอี้ ขณะที่พรรคเพื่อไทย ทำได้เพียงแค่แอบข้างหลัง นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้สมัครอิสระ ที่เคยเป็นแคนดิเดตนายกฯในนามพรรคเท่านั้น
นอกเหนือจากนี้ หากพิจารณากันในเรื่อง “ฐานเสียงทับซ้อน” กันระหว่างพรรคเพื่อไทย กับพรรคก้าวไกล ที่ในระยะหลังมีความขัดแย้งที่ชัดเจนและปิดไม่มิดแล้ว ถึงเวลาก็ต้องฟาดฟันกันในทุกสนาม และเมื่อความนิยมของพรรคก้าวไกลเพิ่มขึ้น มันก็ย่อมส่งผลกระทบโดยตรงกับพรรคเพื่อไทย อย่างแน่นอน อีกทั้งยังมีพรรคไทยสร้างไทยของ คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ที่แยกออกมา มีฐานเสียงเดียวกันทั้งในกรุงเทพฯ และภาคอีสาน
แน่นอนว่า เมื่อคิดจะให้ “อุ๊งอิ๊ง” แพทองธาร ชินวัตร “แลนด์สไลด์” มันก็ต้องข้ามพรรคก้าวไกลไปให้ได้ก่อน ซึ่งนาทีนี้มันไม่ง่ายแล้ว และยังมีพรรคของคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ที่เข้ามาแชร์เก้าอี้ในทุกพื้นที่ บอกเลยว่ามันไม่หมู หรืออาจเป็นฝันกลางวันครั้งสุดท้ายของ นายทักษิณ ชินวัตร ก็เป็นได้ ถามว่า พรรคเพื่อไทยมีโอกาสชนะเลือกตั้งหรือไม่ คำตอบคือ มีโอกาส แต่สำหรับ “โทนี่” เขาต้องการกวาดทั้งประเทศเพื่อครองเสียงข้างมาก อาจเป็นรัฐบาลผสมที่เขามีอำนาจเหนือกว่า ชี้นิ้วสั่งได้เท่านั้น ไม่ชอบให้ใครมีอำนาจต่อรอง !!