เมืองไทย 360 องศา
จะเรียกว่า คุยโม้โอ้อวดอยู่คนเดียว สำหรับคนในพรรคเพื่อไทย ที่เวลานี้บางคนอาจมีความมั่นใจสุดขีด หลังจากที่ นายทักษิณ ชินวัตร ซึ่งถูกมองว่าเป็น “เถ้าแก่” หรือเจ้าของพรรคตัวจริงมานานแล้ว ส่งลูกสาวคนเล็ก คือ “อุ๊งอิ๊ง” แพทองธาร ชินวัตร ที่เป็นทายาททางสายเลือดโดยตรงมาคุมพรรค ล่าสุด ได้เพิ่มบทบาทเป็น “หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย” มีการเปิดตัวกันอย่างคึกคักไปแล้ว ที่จังหวัดอุดรธานี เมื่อสัปดาห์ก่อน
การส่งลูกสาวคนเล็กลงมาคุมพรรคโดยตรงแบบนี้ เพราะหลายคนมั่นใจว่า เธอจะถูกเสนอชื่อให้เป็น “แคนดิเดตนายกฯ” ในนามพรรคเพื่อไทย อย่างแน่นอน ซึ่งความเคลื่อนไหวแบบนี้ ทำให้มีสมาชิกพรรค เชื่อว่า “งานนี้เอาจริง” เพราะถึงขั้นลงทุนเสี่ยงถึงขนาดนี้ จะมาเล่นๆ ไม่ได้เป็นอันขาด
อีกทั้งในความเป็นจริง ก็ยังมีเหตุผลสนับสนุนว่า นี่คือ “ความเสี่ยงครั้งสำคัญ” ที่อาจจะเป็น “ครั้งสุดท้าย” แล้วก็ได้ เพราะพ้นไปจากนี้แล้ว ถือว่าตัวเลือกที่ไว้ใจได้แทบจะไม่เหลืออีกต่อไปแล้ว ส่วนจะเป็นจริง หรือเป็นไปได้แค่ไหนนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่งค่อยมาว่ากัน
ดังนั้น อย่าได้แปลกใจที่ทำให้สมาชิกพรรคที่เป็น “ลูกหาบ” จะเกิดอาการ “ดี๊ด๊า” คุยโม้โอ้อวด จนบางครั้งมีคำพูดออกมาจนน่าหมั่นใส้ เช่น นายชูวิทย์ พิทักษ์พรพัลลภ ส.ส.อุบลราชธานี และประธาน ส.ส.ภาคอีสาน พรรคเพื่อไทย กล่าวอย่างมั่นใจว่า เท่าที่ประเมินการเลือกตั้งครั้งหน้า พรรคเพื่อไทย จะได้ ส.ส.เขต 250 คน บัญชีรายชื่ออีก 30 คน รวมแล้ว 280 เสียง ขณะที่พรรคก้าวไกล จะได้ ส.ส. 20 คน เสรีรวมไทย 7 คน ประชาชาติ 5 คน เพื่อชาติอีก 5 คน ทำให้มั่นใจว่า พรรคเพื่อไทย จะได้เป็นรัฐบาลแน่นอน
นายชูวิทย์ กล่าวอีกว่า ขณะนี้พรรคมีความพร้อมในการเลือกตั้ง ผู้สมัครเตรียมไว้ครบหมดแล้ว นโยบายมีความพร้อม เป็นนโยบายที่พูดได้ ทำได้ แต่ขอยังไม่เปิดเผย เพราะกลัวโดนลอกการบ้าน และด้วยความสามารถ มีทีมงานที่เคยบริหารจนประสบความสำเร็จ เชื่อว่า หนี้ที่รัฐบาลก่อขึ้นกว่า 9 ล้านล้านบาท จะถูกใช้หมดในเทอมที่พรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาล ภายใน 4 ปีหน้าอย่างแน่นอน
“ส่วนที่ถามกันมาก แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทย จะเป็นใคร อยากให้ลองสังเกตการจัดกิจกรรมของพรรค การจัดงานครอบครัวเพื่อไทย ที่ จ.อุดรธานี เป็นแคมเปญใหญ่ของพรรค ครั้งที่ 2 คุณอุ๊งอิ๊ง ได้มาร่วมงาน การจัดแคมเปญใหญ่ ในการประชุมใหญ่ของพรรคที่ จ.ขอนแก่น เมื่อเดือนตุลาคมปีที่แล้ว คุณอุ๊งอิ๊ง ก็มาร่วมงาน ส่วนจะใช่หรือไม่ใช่แคนดิเดตนายกฯ ของพรรค อยากให้ประชาชนลองสังเกตเอาเองก็แล้วกัน” นายชูวิทย์ ระบุ
เมื่อพิจารณาจากตัวเลข ส.ส.ที่ นายชูวิทย์ คาดว่า พรรคเพื่อไทย จะชนะเลือกตั้งในครั้งต่อไปจะมากถึง 280 ซึ่งรวมทั้งเขตและแบบบัญชีรายชื่อ แบบนี้ก็หมายความว่า จะชนะแบบ “แลนด์สไลด์” ขณะเดียวกัน เมื่อพิจารณาจากตัวเลข ส.ส.ดังกล่าว จากจำนวน ส.ส.ทั้งหมดในสภาที่มีจำนวน 500 คน นั่นก็หมายความว่า พรรคเพื่อไทยมี ส.ส.เกินครึ่งมาถึง 30 เสียง สามารถจัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียวได้อย่างสบาย โดยไม่จำเป็นต้องดึงพรรคใดมาร่วมเลยก็ได้
อย่างไรก็ดี นั่นคือ “ความฝัน” ที่ทุกพรรคสามารถฝันกันได้ หลายคนอาจถึงขั้น “เพ้อ” เพราะบางทีอาจได้ชุดข้อมูลบางอย่างที่ผิดเพี้ยนไปจากความเป็นจริง ก็มีไม่น้อย แต่สำหรับ นายชูวิทย์ พิทักษ์พรพัลลภ คนนี้หากจำกันได้ ก็เป็นหนึ่งใน ส.ส.เพื่อไทย ที่มีภาพปรากฏพร้อมกับ นายเกรียง กัลป์ตินันท์ ว่า เดินทางไปพบกับนายทักษิณ ชินวัตร ที่สิงคโปร์ ก่อนหน้าที่จะมีการเปิดตัว น.ส.แพทองธาร ชินวัตร เป็นหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย ที่ จ.อุดรธานี เมื่อวันที่ 20 มีนาคมที่ผ่านมา
หากภาพข่าวดังกล่าวเป็นเรื่องจริง ในวงสนทนาก็คงมีเรื่องที่ นายทักษิณ ได้ยืนยันอะไรบางอย่าง จนทำให้เขามีความมั่นใจถึงขนาดฟันธงออกมาให้เห็นตัวเลข ส.ส.ของพรรคเพื่อไทย หลังการเลือกตั้งที่ชนะแบบถล่มทลาย สามารถจัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียวเลย
ขณะเดียวกัน ยังฟันธงข้ามพรรคไปถึงพรรคก้าวไกล ที่ระบุว่า จะเหลือจำนวน ส.ส.ที่ได้รับการเลือกตั้งเข้ามาได้ไม่เกิน 20 คน ถือว่า “หดตัวแบบแลนด์สไลด์” เช่นเดียวกัน อีกทั้งหากมองอีกมุมหนึ่ง ก็ถือว่า “หยาม” หรือ “ข่มให้จมดิน” เลยทีเดียว เพราะปัจจุบันพรรคก้าวไกลที่มีจำนวน ส.ส.ราว 50 คน หากลดเหลือไม่ถึงครึ่งแบบนี้มันก็ถือว่าถอยหลังลงคลองกันเลยทีเดียว
แต่ก็อย่างว่านั่นแหละ ในความเป็นจริงสำหรับความเคลื่อนไหวที่รับรู้กันสำหรับคอการเมือง โดยเฉพาะ “วงใน” ที่สัมผัสกับทั้งสองพรรคดังกล่าวก็คงจะรู้ว่า “กำลังขัดแย้งแตกแยกกันหนัก” เหมือนกับที่ นายอานนท์ นำภา แกนนำม็อบสามนิ้ว จำเลยคดีความผิด มาตรา 112 ที่เพิ่งได้รับการประกันตัวออกมาไม่นาน ได้เคยโพสต์ข่าวเศร้าเอาไว้ว่า “ไม่นึกว่าจะได้รับรู้ข่าวหลังออกจากคุกว่า พรรคเพื่อไทย กับพรรคก้าวไกล กำลังขัดแย้งสาหัสกว่าที่คิด” และหลังจากนั้น ก็ได้เห็นภาพอดีตแกนนำม็อบบางคน ได้ไปชูป้ายด่าทอ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานกลุ่มก้าวหน้า ว่า “ไปให้พ้น คนชังชาติ” ขณะกำลังเปิดตัวผู้สมัครนายกเมืองพัทยา ในนามพรรคก้าวไกล จนเป็นเรื่องฮือฮา วิพากษ์วิจารณ์ตอบโต้กันระหว่างผู้สนับสนุนของแต่ละฝ่ายอย่างรุนแรง ทั้งในโซเชียลฯและวงนอก
ที่ผ่านมา หากโฟกัสกันเฉพาะสองพรรคนี้ ที่มีการมองว่ามีฐานมวลชนที่ทับซ้อนกัน และกล่าวกันตรงๆ ก็คือ เมื่อการเลือกตั้งคราวที่แล้ว พรรคก้าวไกล ขณะที่ยังเป็นพรรคอนาคตใหม่ ก็ได้อานิสงส์จากการยุบพรรคไทยรักษาชาติ ทำให้ได้รับการเลือกตั้ง และจำนวน ส.ส. มากเกินความคาดหมาย
แต่มาถึงวันนี้ สถานการณ์เริ่มเปลี่ยนไป เหมือนต้อง “เดินเบียดในทางแคบ” ก็ต้องเหลือแค่คนเดียวหรือแค่พรรคเดียวเท่านั้น เมื่อต้องแย่งฐานเสียง และแนวทางต่างกันแบบสุดขั้วในความเป็นจริงก็ต้องมีการแตกหักกันอยู่แล้ว
แต่คำถามก็คือ พรรคก้าวไกล จะตกต่ำลงมาถึงขนาดที่ นายชูวิทย์ พิทักษ์พรพัลลภ ส.ส.อุบลราชธานี ประธาน ส.ส.อีสานพรรคเพื่อไทย ฟันธงแบบหยามเหยียดว่า ในการเลือกตั้งครั้งหน้าจะเหลือ ส.ส.แค่ 20 ที่นั่ง แน่หรือ ขณะที่ทางแกนนำพรรคก้าวไกล มั่นใจว่า พวกเขากำลังได้รับความนิยม มีฐานเสียงจากคนรุ่นใหม่ สนับสนุนจำนวนมาก
แม้ว่านาทีนี้อาจจะเร็วเกินไปที่จะพูดถึงเรื่องจำนวน ส.ส.เพราะยังไม่รู้ว่าจะมีการเลือกตั้งวันไหน แต่เมื่อพิจารณาจากความมั่นใจของคนในพรรคเพื่อไทย ว่าจะชนะถล่มทลาย แม้ว่าจะเป็นแค่ระดับ “ลูกหาบ” แต่ก็คงได้ยินจากคำพูดของเจ้าของคอกที่คุยโม้จนคล้อยตาม แต่ขณะเดียวกัน มันก็ไปเหยียดหยามอีกฝ่ายให้จมดิน ซึ่งมันก็ได้เห็นแนวโน้มในอนาคตทั้งสองพรรคนี้จะต้องฟัดกันสนุกแน่ เพราะมันทับซ้อนกันทุกเขตทั่วประเทศนั่นเอง !!