ชมรม รพ.สต.ยื่นหนังสือถึงนายกฯ เร่งถ่ายโอน รพ.สต.สู่ อบจ.ให้ครบตามมติ ครม.ในปีงบประมาณ 2566 เชื่อมั่นให้บริการประชาชนดีกว่าเดิม สายการบังคับบัญชาสั้นลง แก้ไขปัญหาได้รวดเร็ว ลั่นพร้อมหนุนพรรคการเมืองที่ดูแลเรา
เมื่อเวลา 09.30 น. วันที่ 25 มี.ค. ที่ศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ ทำเนียบรัฐบาล นายสมศักดิ์ จึงตระกูล ประธานชมรมผู้อำนวยการโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล หรือ รพ.สต. (ประเทศไทย) พร้อมด้วยสมาชิก รพ.สต.จังหวัดต่างๆ ยื่นหนังสือถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม เพื่อขอให้พิจารณาทบทวน มติคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันที่ 15 มี.ค. 2565 ที่ได้เห็นชอบกรอบวงเงินปีงบประมาณ 2566 เพื่ออุดหนุนให้แก่ รพ.สต.ถ่ายโอน จำนวน 3,384 แห่ง บุคลากรสมัครใจ 22,265 คน โดยทางชมรมเห็นว่า รายละเอียดกรอบวงเงินที่สำนักงบประมาณเสนอ ครม.นั้น ไม่เป็นไปตามพระราชบัญญัติกำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจ ให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2542 และไม่เป็นไปตามประกาศคณะกรรมการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในเรื่องหลักเกณฑ์ และขั้นตอน การถ่ายโอนภารกิจ สถานีอนามัย เฉลิมพระเกียรติ 60 พรรษา นวมินทราชินี และโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล ให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และประกาศราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2564 ซึ่งไม่เป็นไปตามมติคณะอนุกรรมการบริหารภารกิจถ่ายโอนด้านสาธารณสุขให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ที่เห็นชอบให้มีการถ่ายโอนภารกิจดังกล่าวให้แก่ อบจ. 49 แห่ง ในปีงบประมาณ 2566 ซึ่งสำนักงบประมาณ เสนอ ครม.เห็นชอบตามกรอบวงเงินงบประมาณ ให้มีการถ่ายโอนเพียง 512 แห่ง ทำให้เกิดข้อขัดข้องทางกฎหมาย และไม่เป็นไปตามหลักการกระจายอำนาจ ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
ดังนั้น จึงขอเร่งรัดให้มีการถ่ายโอน รพ.สต.ให้ครบทั้งหมด ตามที่เคยเป็นมติคณะอนุกรรมการบริหารภารกิจถ่ายโอนด้านสาธารณสุขให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ภายในปีงบประมาณ 2566 โดยมี นายธีรภัทร ประยูรสิทธิ ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเป็นผู้รับมอบหนังสือ
นายสมศักดิ์ ให้สัมภาษณ์ว่า การถ่ายโอน รพ.สต.ให้ อบจ. พวกเราเชื่อมั่นว่า จะทำให้การบริการประชาชนดีกว่าเดิม เพราะเราจะได้รับงบประมาณและคนอย่างเต็มที่ และเมื่อไปอยู่ภายใต้ อบจ.สายการบังคับบัญชาจะสั้นลง และจะตอบสนองการแก้ไขปัญหาได้รวดเร็ว และวันนี้เรามี รพ.สต.ทั้งประเทศประมาณ 10,000 แห่ง แต่ละแห่งมีบุคลากร 5 คน และยังมี อสม.ดูแลประชาชนทั่วประเทศอยู่ประมาณ 1.04 ล้านคน แต่ละคนดูแลประชาชน 15 ครัวเรือน แต่ละหลังเฉลี่ย 3 คน เราถือว่ามีคนในเครือข่ายเยอะมาก สามารถตั้งพรรคการเมืองได้เลย หากพรรคการเมืองใดดูแลเรา เพื่อให้เราไปดูแลประชาชน เราก็พร้อมที่จะสนับสนุน และหาก พล.อ.ประยุทธ์ ผลักดันในเรื่องนี้ เราก็พร้อมที่จะสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ ต่อ แต่ขอให้สนับสนุนเราจริงๆ หากรัฐบาลชุดปัจจุบัน ไม่สามารถตอบสนองเราได้ แสดงว่าไม่ตอบสนองประโยชน์ประชาชนอย่างแท้จริง เราจะเอาประชาชนเป็นตัวตั้งในการดูแลสุขภาพ และหากรัฐบาลไม่ตอบสนอง เราก็จะแสดงปฏิกิริยาอย่างใดอย่างหนึ่งออกมา