เมืองไทย 360 องศา
ในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา ได้เห็น นายทักษิณ ชินวัตร หรือในชื่อ “โทนี่ วู้ดซัม” มาโผล่ที่สิงคโปร์ปรากฏในภาพข่าว ได้พื้นที่ในสื่ออีกครั้ง ในท่ามกลางสถานการณ์ความร้อนระอุของสงครามรัสเซีย-ยูเครน และข่าวความสนใจจากกรณีการเสียชีวิตของ “แตงโม” นิดา พัชรวีระพงษ์ ดาราสาว ที่ทั้งสองเรื่องดังกล่าวกำลังได้รับความสนใจต่อเนื่องมานานหลายวันแล้ว และยังมีทีท่าว่ายังจะได้รับความสนใจต่อเรื่อยๆ เนื่องจากยังมีแง่มุม และข้อสงสัยเพิ่มเติมอยู่ตลอดเวลา เรียกว่า เป็นรายวันก็เป็นได้
กรณีการเสียชีวิตของดาราสาว “แตงโม” เป็นตัวอย่างที่เห็นภาพชัดที่สุด เพราะแม้แต่กรณีวิกฤตสงครามรัสเซีย-ยูเครน ที่ถือว่าเป็นวิกฤตการณ์ระดับโลก มีผลกระทบเป็นวงกว้าง ไม่เว้นแม้แต่ในประเทศไทยที่กำลังได้รับผลกระทบเข้าอย่างจัง ทั้งในเรื่องน้ำมันแพงมหาโหด และตามมาด้วยของแพง สร้างความเดือดร้อนกันไปทั่ว และหากยังไม่คลี่คลายลงในเวลาอันรวดเร็ว หรือตรงกันข้าม หากสงครามขยายลุกลามบานปลายออกไปอีก มันก็ยิ่งเดือดร้อนเป็นเท่าทวี แต่ถึงอย่างไร ความสนใจของประชาชนก็ยังสู้การเสียชีวิตของดาราสาวดังกล่าวไม่ได้เลย
ยิ่งไม่ต้องไปพูดถึงเรื่องการเมืองภายในประเทศ แม้ว่าหากว่าไปแล้วในช่วงเวลาเดียวกันมีเรื่องให้ติดตามอยู่ไม่น้อย เพราะได้เห็นความเคลื่อนไหวบางอย่าง เช่น เมื่อวันที่ 8 มีนาคม ที่ผ่านมามี “ดินเนอร์วีไอพี” มีการหารือกันระหว่างหัวหน้าพรรคและเลขาธิการพรรคร่วมรัฐบาล ที่มีรัฐมนตรีร่วมในคณะรัฐบาล และแกนนำคนสำคัญ โดยมี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นโต้โผในการเชิญบรรดาแกนนำพรรคร่วมรัฐบาลเหล่านั้นมาหารือกันด้วยตัวเอง ผิดไปจากครั้งก่อนๆ ที่มักจะมอบหมายให้ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ในฐานะพรรคแกนนำรัฐบาลเป็นผู้นัดหมาย
มองภาพแค่นี้ก็ย่อมเห็นถึงความสำคัญ เพราะภายใต้ “ความไม่แน่นอน” เรื่องเสียงสนับสนุนรัฐบาล และเตรียมรับมือกับการเมืองหลังเปิดสมัยประชุมสมัยสามัญกลางเดือนพฤษภาคม ที่จะต้องเจอกับญัตติเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ ที่ทางพรรคฝ่ายค้านอย่างพรรคเพื่อไทยเตรียม “ลับมีด” รอไว้แล้ว ดังนั้น หากพิจารณาให้เห็นภาพแล้ว งานเลี้ยงดังกล่าวนี้เหมือนกับว่า พล.อ.ประยุทธ์ ต้องการ “ถามเรียงตัว” เพื่อสร้างความมั่นใจว่า ยังให้การสนับสนุนเต็มร้อยอยู่หรือเปล่า
เพราะตามเงื่อนไขหากพรรคฝ่ายค้านยื่นญัตติ “ซักฟอก” และถูกบรรจุเข้าระเบียบวาระแล้ว นายกฯ จะยุบสภาไม่ได้ ดังนั้น หากจะยุบสภาก็ต้องชิงลงมือก่อน แต่ถึงอย่างไรเมื่อพิจารณาจากท่าที และบรรยากาศในพรรคร่วมรัฐบาลยามนี้ ก็ยังไม่มีเหตุทำให้เกิดความขัดแย้งรุนแรง ตรงกันข้ามทุกพรรคยังไม่อยากให้มีการเลือกตั้งในเร็วๆ นี้ ยังอยากอยู่เป็นรัฐบาลไปเรื่อยๆ อย่างน้อยก็ครบเทอม ซึ่งยังเหลือเวลาแค่ปีเดียวเท่านั้น
อีกเรื่องที่สัมพันธ์กัน ก็คือ กรณีของกฎหมายลูก หรือกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญที่เกี่ยวกับการเลือกตั้งสองฉบับ คือ กฎหมายพรรคการเมือง และกฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.ที่กำลังอยู่ในขั้นของคณะกรรมาธิการวิสามัญ ที่คาดว่าจะแล้วเสร็จในช่วงเปิดสภา แต่ตามขั้นตอนทางกฎหมายแล้วน่าจะมีผลบังคับใช้ราวเดือนกรกฎาคม หรือหลังจากนั้น ซึ่งแน่นอนว่าสำหรับพรรคฝ่ายค้านอย่างพรรคเพื่อไทย ต้องรอให้กฎหมายดังกล่าวใช้บังคับสำหรับการเลือกตั้งครั้งถัดไป เพราะมั่นใจว่าตัวเองจะได้เปรียบ
ดังนั้น หากพิจารณาตามรูปการณ์แล้ว เชื่อว่า สิ่งที่พรรคเพื่อไทย และตัว “เจ้าของพรรค” ตัวจริงต้องการ น่าจะให้ออกมาในรูปของการที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา “ลาออกมากกว่ายุบสภา” ขณะเดียวกัน ก็ไม่อยาก “รับเผือกร้อน” ในช่วงสถานการณ์วิกฤตทุกด้านแบบนี้ เพราะ “เป็นวิกฤตจากภายนอกที่เหนือการควบคุม” ใครเข้ามาช่วงนี้มีแต่อ่วม แก้ไขไม่ได้ มีแต่เลวร้าย
แต่สิ่งที่พวกเขา (ฝ่ายค้าน) น่าจะให้ออกมาในรูปนายกฯลาออกแล้ว พรรคเพื่อไทยเข้ามาบริหารแบบ “นายกฯรักษาการ” เพื่อรอให้กฎหมายลูกสองฉบับบังคับใช้แล้วยุบสภา โดยรักษาการ “คุมเกม” ในช่วงการเลือกตั้ง ซึ่งเวลานี้พรรคเพื่อไทยก็มีแคนดิเดตนายกฯ เหลืออยู่เพียงคนเดียว คือ นายชัยเกษม นิติสิริ เท่านั้น
เมื่อพิจารณาจากความเคลื่อนไหวทางการเมืองที่ว่านี้ ก็ต้องบอกว่าน่าติดตาม แม้ว่าจะเป็นช่วงผ่อนคลายลงไปบ้าง เนื่องจากเป็นช่วงปิดสมัยประชุมสภา ได้มีเวลาได้หายใจหายคอ สำหรับ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม
แต่ก็อย่างว่า เมื่อยังเป็นช่วงเวลาสำคัญเราก็ถึงได้เห็นการเคลื่อนไหวของ “บางคน” ที่เกี่ยวข้องกับพรรคเพื่อไทย อย่าง นายทักษิณ ชินวัตร หรือ “โทนี่” ที่พักหลังเริ่มมีการเคลื่อนไหวถี่มากขึ้น
โดยเฉพาะในโลกออนไลน์ และล่าสุด ก็มาโผล่ที่สิงคโปร์ และมี ส.ส.และระดับกรรมการบริหารของพรรคเพื่อไทยบางคนไปพบกันที่นั่น และแน่นอนว่าคงไม่ใช่เรื่องบังเอิญ ย่อมมีการนัดหมาย และที่สำคัญ มีเจตนาให้ภาพดังกล่าวมาปรากฏในประเทศไทยด้วย ความหมายมุมหนึ่งก็เหมือนมีเจตนาต้องการ “เขย่าขวัญ 3 ป.” ในทางการเมือง เป็นการ “สื่อสารบางอย่าง” ให้เห็น
ขณะเดียวกัน เมื่อเขาเคยบอกว่า “เคยเป็นเจ้าของคอกหมา ที่เลี้ยงเอาไว้หลายตัว” การมาคราวนี้มันก็เป็นไปได้เหมือนกันว่า ต้องการมาให้ “อาหารหมา” เพื่อต้องการให้มันเชื่อง ไม่กล้าย้ายคอกหนีไปไหนก็ได้ แต่ที่น่าจับตา ก็คือ “ต้องเลี้ยงให้อิ่ม” เพื่อป้องกันการทรยศ หรือ “กัดเจ้าของ” เหมือนกับที่เคยยกตัวอย่างให้เห็นก่อนหน้านี้ก็เป็นได้
ดังนั้น หากมองในมุมนี้ ก็การมาโผล่สิงคโปร์ของ “โทนี่” ในช่วงเวลาสำคัญแบบนี้ ทางหนึ่งอาจต้องการเล่นสงครามประสาทกับ “3 ป.” แต่ดอดมาในเวลาที่เกิดวิกฤตการณ์โลก และมีกรณีอื่นที่ชวนให้ติดตามเบี่ยงเบนความสนใจ แต่ขณะเดียวกัน หากพิจารณาในมุมของ “เจ้าของคอก” ก็มีความเป็นไปได้เหมือนกันว่า อาจมาให้ “อาหารหมา” ที่เคยเลี้ยงไว้หรือเปล่า !!