เมืองไทย 360 องศา
ผ่านมาเกือบสองสัปดาห์แล้วสำหรับสงครามรัสเซีย-ยูเครน ที่บรรดานักวิเคราะห์ประเมินว่าอาจจะยืดเยื้อไปอีกพักหนึ่ง รวมไปถึงอาจขยายบานปลายออกไปเป็นการเพิ่มสมรภูมิในประเทศที่มีชายแดนด้านตะวันออกติดกับรัสเซีย หากมีการเปิดทางให้ใช้เป็นพื้นที่ติดตั้งขีปนาวุธ รวมไปถึงการส่งกำลังทหารเข้าร่วมรบในสงครามครั้งนี้
อย่างไรก็ดี ผลจากสงครามดังกล่าวก่อให้เกิดผลกระทบโดยตรงกับทั่วโลก ไม่เว้นแม้แต่กับประเทศไทยที่อยู่ห่างออกไป และไม่ได้เป็นคู่ขัดแย้งกับใคร ที่นาทีนี้โดนเข้าไปแล้วแบบ “จังเบอร์” นั่นคือ ผลจากสงครามครั้งนี้ทำให้ราคาพลังงาน ทั้งน้ำมันและก๊าซราคาพุ่งกระฉูด
โดยเฉพาะราคาน้ำมันดิบที่เวลานี้มีราคาเกินบาเรลละ 110 ดอลลาร์สหรัฐฯ ไปแล้ว และผู้เชี่ยวชาญด้านนี้มั่นใจว่ามีแนวโน้มพุ่งไปถึงบาเรลละ 120 เหรียญ ก็เป็นไปได้สูงมาก เพราะประเทศรัสเซีย เป็นประเทศผู้ส่งออกน้ำมันและก๊าซรายใหญ่ นั่นคือเป็นผู้ส่งออกน้ำมันอันดับสองของโลก ขณะที่ประเทศในแถบยุโรป ส่วนใหญ่ก็ล้วนพึ่งพาก๊าซจากรัสเซีย เมื่อมีการคว่ำบาตรกันเกิดขึ้น มันก็ยิ่งเป็นแรงผลักดันให้เกิดการตอบโต้ตามมา
แน่นอนว่าสำหรับประเทศไทยเมื่อราคาน้ำมันและก๊าซมีราคาพุ่งสูงแบบพรวดพราด และยังมีแนวโน้มทะลุเพดานไปเรื่อยๆ ตราบใดที่สงครามยังยืดเยื้อ และมีมาตรการคว่ำบาตรตอบโต้กันไปมาแบบนี้ มันก็เหมือนหายนะกันทั้งโลก ซึ่งที่ผ่านมาประเทศไทยต้องเผชิญกับปัญหาราคาน้ำมันที่พุ่งสูงมาก่อน หลังจากสถานการณ์ด้านโรคระบาดโควิด-19 เริ่มคลี่คลาย และหลายประเทศกำลังปรับวิธีการหันมาอยู่ร่วมกับโรคดังกล่าว โดยประกาศให้เป็นโรคประจำถิ่น มีการผ่อนคลายมาตรการลงมาเรื่อยๆ จนทำให้มีการขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจมากขึ้น ทำให้มีการใช้น้ำมันมากขึ้น และมีราคาพุ่งสูงมาก จนที่ผ่านมารัฐบาลต้องตรึงราคาน้ำมันดีเซล ไม่ให้เกินลิตรละ 30 บาท โดยใช้เงินจากกองทุนน้ำมันเข้าไปอุดหนุน แต่ก็เอาไม่อยู่ เงินกองทุนแทบเกลี้ยง
ในที่สุดก็ยอมหั่นเนื้อทิ้งบางส่วน โดยการลดการเก็บภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลลงลิตรละ 3 บาท ส่งผลให้ราคาน้ำมันดีเซลในตอนนั้นลดราคาลงลิตรละ 2 บาท อย่างไรก็ดี มาถึงวันนี้ทุกอย่างทำท่าเอาไม่อยู่อีกแล้ว เมื่อราคาน้ำมันในตลาดโลกพุ่งสูงขึ้นไม่หยุดแบบนี้ ดังที่มีการคาดการณ์เอาไว้น่าจะไปถึง 120 เหรียญสหรัฐ ต่อบาเรลในไม่ช้า หลังจากในเวลานี้สูงเกิน 110 เหรียญต่อบาเรลแล้ว
นั่นเท่ากับว่าเป็น “หายนะ”อย่างชัดเจน เพราะที่ผ่านมาในช่วงก่อนลดการเก็บภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลลิตร 3 บาท เป็นเวลา 3 เดือน โดยยอมแลกกับการสูญเสียรายได้ของรัฐไปประมาณ 17,000 ล้านบาท แต่มาวันนี้ เมื่อเกิดสงคราม รัสเซีย-ยูเครน สถานการณ์ก็ทำท่าเอาไม่อยู่ จากปัญหาราคาน้ำมันและพลังงานพุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ แบบรายวัน ทำให้แน่นอนว่า ทำให้ “ราคาสินค้าแพงขึ้น” ไปอีก จากที่ผ่านมา “แพงทั้งแผ่นดิน”กันไปแล้ว จนต้องยอมหั่นรายของรัฐด้วยการลดภาษีน้ำมันดีเซล
ล่าสุดมีรายงานว่า รัฐบาลกำลังพิจารณาลดภาษีน้ำมันประเภทเบนซินตามมาอีกหลัง โดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้เรียกประชุมด่วนรัฐมนตรีและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องด้านเศรษฐกิจที่ทำเนียบรัฐบาลไปเมื่อสัปดาห์ก่อน หลังจากลดภาษีน้ำมันดีเซลมาแล้วระยะหนึ่ง แต่ปัญหาก็คือ เมื่อราคาน้ำมันในตลาดโลกพุ่งไม่หยุดแบบนี้ มันก็ทำให้รับมือได้ลำบากเหมือนกัน
ขณะเดียวกันหากพิจารณาเชื่อมโยงจากสถานการณ์ภายนอกประเทศเข้ามามาสู่การเมืองภายในประเทศก็ถือว่ามีความสอดคล้องกันได้อย่างลงตัว และหากข้อมูลของ นายดอน ปรมัตถ์วินัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ที่เคยระบุก่อนหน้านี้ “มีคนต้องการให้สถานการณ์สู้รบระหว่างรัสเซียกับยูเครนยืดเยื้อ” แม้จะไม่ระบุว่าใคร แต่ก็น่าจะหมายถึงประเทศมหาอำนาจบางประเทศ ที่ต้องการเก็บเกี่ยวประโยชน์จากสถานการณ์ความขัดแย้งดังกล่าว
และหากเชื่อมโยงมาถึงประเทศไทย นาทีนี้ก็ย่อมมีคนที่ต้องการให้สงครามยืดเยื้ออยู่เหมือนกัน เพราะในทางการเมืองย่อมเป็นผลบวกต่อพวกเขา ขณะเดียวกันอีกด้านหนึ่งก็ย่อมแน่นอนว่า เป็นแรงกระแทกเข้าใส่ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รวมไปถึงฝ่ายรัฐบาลเข้าไป“จังเบอร์” โดยเป็นแรงกระแทกต่อเนื่องมาจากสถานการณ์โรคระบาดโควิดที่ยืดเยื้อมานานเกือบสามปีแล้ว แม้ว่าหากพิจารณาตามสถานการณ์ และด้วยความเป็นธรรมก็ต้องบอกว่า ประเทศไทยได้รับมือและแก้ปัญหาวิกฤตโควิดได้ดีไม่น้อย เพียงแต่ว่ามันเป็น “วิกฤต” ก็ย่อมมีความร้ายแรง มีผลกระทบในวงกว้าง ทั้งในด้านสังคม และเศรษฐกิจ
ล่าสุด เมื่อเกิดสงครามรัสเซีย-ยูเครน ที่ส่อเค้ายืดเยื้อ และเลี่ยงไม่ได้ก็คือ “น้ำมันแพง” เมื่อน้ำมันแพงมันก็ตามสูตรนั่นคือทำให้ เงินเฟ้อ ของแพงตามมาทันที และยิ่งน้ำมันแพงมากเท่าใด โดยเฉพาะน้ำมันดีเซล ที่เป็นต้นทุนหลักก็จะทำให้ของยิ่งแพงขึ้น และล่าสุดข่าวร้ายก็คือ “บะหมี่สำเร็จรูป” ขอขึ้นราคาแล้ว นี่คือแค่หนึ่งตัวอย่างที่สัมผัสได้ และมองเห็นภาพความเดือดร้อนที่รออยู่ข้างหน้า
ในทางการเมืองในมุมโหดร้าย มันก็ย่อมมีฝ่ายที่ต้องการสถานการณ์แบบนี้ลากยาวต่อไปเรื่อยๆ แม้ว่าตัวเองไม่สามารถเป็นคน “กำหนดเกม” ระดับโลกแบบนี้ได้ แต่อย่างน้อยพวกเขาก็ย่อมต้องเก็บเกี่ยวจากสถานการณ์ดังกล่าวได้อย่างแน่นอน ตราบใดที่สงครามยืดเยื้อ น้ำมันแพง ก็ย่อมส่งผลให้ข้าวของแพง ชาวบ้านเดือดร้อน กระแสโจมตีก็ย่อมพุ่งเป้าไปที่รัฐบาลเป็นหลัก มีน้อยคนนักที่มองอย่างเข้าใจ เพราะสิ่งที่เข้าบ้านส่วนใหญ่มองแต่เงินในกระเป๋า ปากท้องความอยู่รอด เป็นหลักเท่านั้น
แม้ว่าไม่ต้องการกล่าวหาใครว่าได้ประโยชน์และซ้ำเติมสถานการณ์จากวิกฤตโรคระบาดและต่อเนื่องมาถึงวิกฤตสงครามรัสเซีย-ยูเครน เพราะหากยิ่งลากยาวเท่าไร มีแต่ฝ่ายรัฐบาลเท่านั้นที่จะเสียเปรียบ โดยเฉพาะ“บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และแม้ว่าทุกอย่างจะยุติโดยเร็วก็ตาม แต่ผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อเนื่องยาวนานนับปี โดยเฉพาะจากโรคระบาดโควิดเพียงแค่เรื่องเดียวก็อ่วมแบบสาหัสกันอยู่แล้ว ซึ่งมันจะนำไปสู่เงื่อนไขในการเปลี่ยนแปลง อย่างน้อยก็ทำให้ “บางคน” ฝันไปถึงผลการเลือกตั้งที่ชนะแบบ “แลนด์ไสลด์”กันล่วงหน้าแล้ว
แต่คำถามที่จะตามมาก็คือ เมื่อชนะเข้ามาแล้ว จะหนักกว่าเดิมหรือไม่ นี่แหละคำถาม แต่ถึงตอนนั้น ใครจะสนล่ะ !!