“สุริยะ” แจงปมคิงส์เกต ยันไทยไม่ได้เริ่มขอเจรจา แต่อนุญาโตฯ แนะนำ ลั่น ไม่มีการยกทรัพยากรชาติแลกเปลี่ยนถอนฟ้อง ตอกกลับสำรวจ-ทำเหมืองแร่เริ่มสมัย “ทักษิณ” ยัน ออกอาชญาบัตร 44 แปลง ทำถูก กม.ทุกประการ ส่วนผงทองคำ เป็นของค้างเดิมก่อนระงับ หลอมส่งออกได้
วันนี้ (18 ก.พ.) นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.อุตสาหกรรม ชี้แจงว่า การเจรจาระหว่างไทย กับคิงส์เกต ฝ่ายไทยไม่ได้เป็นผู้เริ่มขอเจรจา แต่เป็นการแนะนำของคณะอนุญาโตตุลาการประหว่างการไต่สวนข้อพิพาทที่ประเทศที่สิงคโปร์ ช่วงต้นเดือน ก.พ. 63 และเริ่มมีการเจรจาในเดือน มิ.ย. 63 ส่วนที่เลื่อนการชี้ขาดส่วนหนึ่งมาจากสถานการณ์โควิด-19 แต่ละครั้งที่เลื่อนไม่มีเรื่องการให้สิทธิประโยชน์มาเกี่ยวข้องแต่อย่างใด ส่วนที่คิงส์เกตสามารถเปิดเผยข้อมูลได้ แต่ไทยกลับไม่เปิดเผยข้อมูลใดๆ นั้น ในหลักการตราบใดที่ยังไม่มีการอ่านคำชี้ขาด ทั้งสองฝ่ายจะไม่สามารถเปิดเผยข้อมูลในชั้นอนุญาโตตุลาการได้ ซึ่งข้อมูลที่คิงส์เกตนำมาเปิดเผยไม่ใช่ข้อมูลในคดี แต่เป็นเอกสารข่าวของบริษัท และเป็นข้อมูลจากการเจรจายุติข้อพิพาทที่คิงส์เกตอยากจะได้และเรียกร้อง ซึ่งไม่ใช่ข้อตกลงของสองฝ่าย
ส่วนที่อ้างว่า ฝ่ายไทยมีโอกาสแพ้และเสียค่าโง่ พร้อมกับหยิบยกคดีต่างประเทศมาเทียบเคียงนั้น จากข้อมูลทางการเงินของบริษัท อัคราฯ ที่ประกอบกิจการเหมืองทองในประเทศไทยตั้งแต่ปี 2543-2558 มีกำไร 1.1 หมื่นล้านบาท เมื่อเทียบกับค่าเสียหายที่อ้าง 3 หมื่นล้านบาท บริษัท อัคราฯ ต้องประกอบกิจการถึง 38 ปี ส่วนการกล่าวหาว่าการสำรวจแร่ การนำผงเงินไปจำหน่าย เพื่อประนีประนอมแลกเปลี่ยนให้ถอนฟ้องคดีก็ไม่เป็นความจริง ซึ่งการยื่นคำขออนุญาตอาชญาบัตรสำรวจแร่ 44 แปลง ก็เกิดขึ้นในสมัย นายทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี โดยบริษัท อัคราฯ ยื่นขอสำรวจเมื่อปี 2546-2548 ต่อมาปี 2549 คำขออยู่ระหว่างการพิจารณาเตรียมเสนอขออนุมัติแต่เกิดรัฐประหารก่อน กระทั่งปี 2550 สมัย พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ เป็นนายกฯ มีมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) ให้ชะลอการอนุญาตอาชญาบัตรพิเศษสำรวจแร่ทองคำไว้ก่อน เพื่อจัดทำนโนบายทองคำให้เกิดประโยชน์แก่ประเทศและประชาชน กระทั่งปี 2557 ประชาชนรอบเหมืองประสบปัญหาสุขภาพจากการทำเหมือง และความขัดแย้งของประชาชนในพื้นที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในฐานะหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) จึงส่งหน่วยงานจาก 4 กระทรวงลงไปตรวจสอบ และมีข้อเสนอให้ยุติการทำเหมืองไว้ก่อน พล.อ.ประยุทธ์ จึงมีคำสั่ง คสช.ที่ 72/2559 เมื่อวันที่ 3 ธ.ค. 59 ให้ยุติการทำเหมืองชั่วคราว และให้กระทรวงอุตสาหกรรม ไปปรับปรุงการทำเหมืองทองคำใหม่ ต่อมาวันที่ 1 ส.ค. 60 ครม.มีมติรับทราบนโยบายทองคำ มีผลให้บริษัท อัคราฯ ยื่นขออนุญาตอาชญาบัตรพิเศษที่เคยยื่นค้างไว้ และที่บริษัท อัคราฯ ยังไม่กลับมาเดินเรื่องต่อทันที เพราะมีการฟ้องร้องคดีกันอยู่เกรงว่าจะกระทบรูปคดีในช่วงนั้น
“ช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ราคาทองคำสูงขึ้น เป็นเหตุให้บริษัท อัคราฯ กลับมาขอสำรวจแร่ กระทรวงอุตสาหกรรม จึงดำเนินการตามระเบียบที่เกี่ยวข้อง จนอนุญาตอาชญาบัตรสำรวจแร่ให้ในเดือน พ.ย. 63 หากสำรวจเจอแหล่งแร่ และประกอบการทำเหมืองทองคำได้ รัฐจะได้ประโยชน์จากค่าภาคหลวง และค่าภาษีเงินได้นิติบุคคล รวมถึงมีการจ้างงานในพื้นที่ ที่สำคัญ การออกอาชญาบัตร 4 แสนไร่ เป็นการให้สิทธิสำรวจแร่ในพื้นที่ที่กำหนด ซึ่งพื้นที่อนุรักษ์สัตว์ป่าไม่อนุญาตให้มีการสำรวจ ยืนยันว่า การอนุญาตอาชญาบัตรพิเศษพื้นที่ 44 แปลง เป็นการดำเนินการตามระเบียบกฎหมายทุกประการ ไม่มีการแทรกแซงเร่งรัดแลกเปลี่ยนกับการถอนฟ้องคดีแต่อย่างใด” นายสุริยะ กล่าว
นายสุริยะ กล่าวอีกว่า ส่วนที่กล่าวหาว่าการอนุญาตให้บริษัท อัคราฯ เอาผงทองไปขายเพื่อแลกเปลี่ยนการถอนฟ้องคดีนั้น ในอดีต บริษัท อัคราฯ จะนำผงทองคำ และเงิน ที่ได้จากการทำเหมืองมาหลอมเป็นแท่งโลหะทองผสมเงินส่งออกต่างประเทศ แต่ช่วงที่ คสช.ระงับการทำเหมืองตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 60 บริษัท อัคราฯ มีผงทอง ผงเงิน ค้างอยู่ ต่อมาวันที่ 9 ส.ค. 60 มีการยกเลิกการระงับการประกอบกิจการชั่วคราว ดังนั้น ในหลักการบริษัท อัคราฯ สามารถนำผงทองคำ และเงิน ที่เหลือไปหลอมส่งออกต่างประเทศได้ ซึ่งไม่ใช่การนำทรัพยากรของชาติไปแลกแต่อย่างใด