“นพ.วาโย” ฉะ “รมว.สธ.” ใช้วัคซีนเชื้อตายในผู้ใหญ่ไม่ได้ผล คิดมาทดลองกับเด็ก เหตุยังไม่มีผลการศึกษารองรับ ปลุกหมอเด็กออกมาต้าน แฉ “วราวุธ” โป๊ะแตกเอาปูตัวอื่นมากินโชว์ ไม่ใช่ของ ส.ส.ก้าวไกล
วันนี้ (18 ก.พ.) นพ.วาโย อัศวรุ่งเรือง ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล อภิปรายในญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อซักถามข้อเท็จจริงหรือเสนอแนะปัญหาต่อคณะรัฐมนตรี ว่า ตนขออภิปราย นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.สาธารณสุข เรื่องการแก้ไขปัญหาโควิด-19 ซึ่งสถานการณ์ในประเทศไทยปัจจุบันดูแล้วพอใช้ได้ แต่ข้อมูลที่แท้จริงใน 70% มีคนฉีดวัคซีนชนิดเชื้อตาย 2 เข็มอยู่ 16.17% ทำให้ต่อกรกับสายพันธุ์เดลตา และ โอมิครอน ได้เพียงกว่า 50% เท่านั้น อีกทั้งตอนนี้ยังเหลือเค้กก้อนโตที่ยังไม่ได้ฉีดวัคซีน คือ เด็กอายุ 0-12 ปี จำนวน 9 ล้านคน คิดเป็น 15% ของประชากรที่ยังไม่ได้ฉีดวัคซีน แม้ว่าตอนนี้องค์การอนามัยโลก และ องค์การอาหารและยา (อย.) ได้อนุมัติให้เด็กอายุ 5 ปีขึ้นไป สามารถฉีดวัคซีนไฟเซอร์ฝาสีส้ม แต่เกิดข้อน่าสงสัยที่กระทรวงสาธารณสุข ประกาศว่า จะมีการนำวัคซีนซิโนแวคมาฉีดให้เด็กอายุ 3 ปี ทั้งที่ทั่วโลกเขาฉีดวัคซีนไฟเซอร์ฝาส้มให้กับเด็ก
โดย นายอนุทิน และ นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะด้านไวรัสวิทยา คลินิกภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ออกมารับลูกสนับสนุนให้ฉีดวัคซีนซิโนแวคกับเด็ก แม้ว่ายังไม่มีคำแนะนำให้ฉีดวัคซีนชนิดเชื้อตายในเด็ก และผลการศึกษาของต่างประเทศ ก็ยังไม่มีข้อมูลเหล่านี้ ฉีดไปก็ต้องเสี่ยงกับผลข้างเคียงด้วย และถามว่าทำไมตอนนี้ยังมีวัคซีนซิโนแวคอยู่ ยังเหลืออีกหรือ หรือว่าแอบสั่งมาเพิ่ม เพราะวัคซีนเชื้อตายในผู้ใหญ่ข้อมูลถึงทางตันแล้วพบว่าใช้ไม่ได้ แต่มาผลักดันใช้ในเด็ก คนไทยเป็นหนูทดลองไม่พอ ท่านยังเอาลูกหลานมาเป็นหนูทดลองต่อ ตนขอส่งเสียงดังๆ ถึงหมอเด็กว่าถ้าไม่เห็นด้วยกับการกระทำแบบนี้ก็ต้องออกมา เหมือนกับที่ท่านเคยหยุดคนไข้มาไล่อะไรสักอย่าง เด็กไทยสูญเสียโอกาสหลายอย่าง
“ชะตากรรมของเด็กไทยสอบทีแคส หากติดโควิด-19 แล้วหายไม่ทันก่อนสอบจะทำอย่างไร แต่ นายเอนก เหล่าธรรมทัศน์ รมว.อุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) กลับบอกว่าให้ไปสอบปีหน้า หรือเลือกสาขาที่ไม่ใช้คะแนนสอบ รวมทั้งหากไม่ได้สอบก็ขอเงินคืนไม่ได้ เพราะบอกว่าเป็นการสร้างภาระ รวมถึงก่อนเข้าสนามสอบก็ไม่มีมาตรการตรวจเอทีเคให้ อีกทั้งมาตรการป้องกันโควิด-19 ในสนามสอบก็ไม่ดีพอ”
นพ.วาโย ยังอภิปรายถึงปัญหาเรื่องน้ำมันรั่ว ว่า ตนฟังการชี้แจงต่อ น.ส.เบญจา แสงจันทร์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ของรมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม แล้วได้ความรู้มากมาย แต่ก็งงว่าสรุปน้ำมันรั่วเท่าไหร่กันแน่ 4 แสนลิตร หรือ 1.6 แสนลิตร หรือ 5 หมื่นลิตร ขณะเดียวกัน ได้เทสารเคมีเพื่อให้น้ำมันกระจาย 6-7 หมื่นลิตร สรุปน้ำมันรั่ว 5 หมื่นลิตร แต่เทสารเคมี 7 หมื่นลิตร จากข้อมูลที่ศึกษาพบว่า บริษัทผู้ผลิตสารเคมีแนะนำการใช้สารเคมี 1 ต่อ 20 หรือ 1 ต่อ 30 เพื่อได้ผลลัพธ์การบำบัดอย่างมีประสิทธิภาพ เบื้องต้นได้อนุมัติให้ใช้สารเคมี 4 หมื่นลิตร ต่อมาอนุมัติเพิ่มเติมอีก 3.64 หมื่นลิตร จากนั้นอนุมัติเพิ่มอีก 9 พันลิตร ตนจึงตั้งคำถามว่าน้ำมันรั่วเท่าไหร่กันแน่
“สุดท้ายน้ำมันก็เข้าสู่ชายฝั่งจนทำให้ชาวประมงเจอสัตว์น้ำที่มีน้ำมันติดมาด้วย ซึ่ง น.ส.เบญจา หวังดีเอาปูมาให้มารัฐมนตรีกิน แต่ไม่ได้เอาน้ำจิ้มมา แต่ นายวราวุธ ได้แขวะว่า ทำไมไม่เอาน้ำจิ้มมา และยังกินปูโชว์ว่าปลอดภัย แต่ น.ส.เบญจา ได้ถ่ายรูปปูทุกตัวไว้ บอกว่า ลายปูและหนังยางที่รัดไว้ไม่เหมือนกัน ขนาดเรื่องปูยังเอาตัวอื่นมากินเลย”