xs
xsm
sm
md
lg

“เดียร์” ชี้ถึงเวลาเลือกต่อสัมปทาน-ประมูลใหม่สายสีเขียว อัด ภท.ไม่เข้า ครม.ควรร่วม รบ.ต่อหรือไม่

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



“มาดามเดียร์” ชี้ “ผู้บริหาร” ถึงเวลาเลือก “ต่อสัมปทาน หรือ เปิดประมูลใหม่” BTS สายสีเขียว สบช่องซัด รัฐมนตรี ภท. บอยคอตประชุม ครม.พิจารณาตนเอง ควรร่วมรัฐบาลต่อหรือไม่

วันนี้ (8 ก.พ.) น.ส.วทันยา วงษ์โอภาสี ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว ถึงกรณีการขยายสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียว โดยระบุว่า จะขยายสัมปทาน หรือ ชำระหนี้ จะแบบไหนเลือกเอาสักทาง? ผู้นำที่ดีต้องกล้าตัดสินใจแก้ปัญหารถไฟฟ้าสายสีเขียวทางใดทางหนึ่ง ไม่ว่าจะขยายสัมปทาน หรือ ชำระหนี้สินแล้วเปิดประมูล ไม่ใช่เล่นเกมการเมืองด้วยการบอยคอตไม่มาประชุม เพราะสุดท้ายแล้วประชาชนคือคนที่ต้องแบกรับภาระ

พร้อมสรุปที่มาที่ไปของเรื่องราวไว้ว่า การขยายสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียว ที่ปัจจุบันบีทีเอสเป็นผู้ดำเนินกิจการ ออกไปอีก 30 ปี (ถึงปี 2602) เริ่มต้นมาจาก เมื่อวันที่ 26 พ.ย. 2561 รฟม.มีมติโอนสิทธิการดำเนินกิจการรถไฟฟ้าสายสีเขียวช่วงส่วนต่อขยาย (ช่วงแบริ่ง-สมุทรปราการ และช่วงหมอชิต-สะพานใหม่-คูคต) ให้กับ กทม. เพื่อให้การบริหารงานรถไฟฟ้าสายสีเขียวทั้งในส่วนเดิม หรือที่นิยมเรียกว่า “ส่วนไข่แดง” และส่วนต่อขยายนั้นอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของหน่วยงานเดียวกันเพื่อให้เกิดความสอดคล้องในการดำเนินงาน ซึ่งการรับโอนกิจการจาก รฟม. นี้ ทำให้ กทม. เกิดภาระผูกพัน เพราะต้องเป็นผู้รับผิดชอบต้นทุนค่าก่อสร้างและดอกเบี้ยเดิมของ รฟม.จำนวน 69,105 บาท (เงินต้น 55,704 ล้านบาท และดอกเบี้ย 13,401 ล้านบาท)

และนั่นจึงเป็นจุดเริ่มต้นของมหากาพย์รถไฟฟ้าสายสีเขียว เพราะหากดูตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น กทม.ควรจะเปิดประมูลรถไฟฟ้าสายสีเขียวช่วงส่วนต่อขยายนี้ให้แก่ผู้ที่สนใจลงทุนในอนาคตเพื่อประโยชน์สูงสุดของประเทศ แต่ข้อเท็จจริงของชีวิตมักไม่ได้โลกสวยเหมือนที่เราวาดภาพฝันไว้ เพราะการประมูลสัมปทานดังกล่าวจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อ กทม.มีศักยภาพในการชำระต้นทุนค่าก่อสร้างและดอกเบี้ยด้วยตนเอง ซึ่งต่อให้ไม่เกิดเหตุการณ์โควิด-19 ที่หน่วยงานภาครัฐไม่สามารถจัดเก็บรายได้ได้ตามเป้าหมายเหมือนที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน กทม.เองก็ไม่มีศักยภาพในการชำระค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างอยู่แล้ว

นอกจากนี้ สัญญาที่จะเปิดประมูลใหม่นั้นเป็นการเปิดประมูลเฉพาะในช่วงส่วนต่อขยาย (ช่วงแบริ่ง-สมุทรปราการ และช่วงหมอชิต-สะพานใหม่-คูคต) ในขณะที่สัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียวยังคงเป็นของบีทีเอส และบีทีเอสยังมีสัญญารับจ้างเดินรถไฟฟ้าระหว่าง กทม.-บีทีเอส อีกจนถึงปี 2585 ดังนั้น การเปิดประมูลสัมปทานเฉพาะในช่วงส่วนต่อขยาย จึงยากที่จะสามารถตอบโจทย์ผู้ลงทุนใหม่ เพราะจำนวนผู้โดยสารที่ใช้ในช่วงส่วนต่อขยายจะมีจำนวนที่น้อยกว่าช่วงไข่แดง อีกทั้งบีทีเอสเป็นบริษัทที่เป็นผู้เริ่มลงทุนรถไฟฟ้าสายสีเขียวมาตั้งแต่ต้น การแข่งขันในแง่ของต้นทุนจึงมีความได้เปรียบกว่าผู้ประกอบการรายใหม่ ในอีกทางหนึ่ง ก็คือ บีทีเอสจะสามารถบริหารต้นทุนได้ประหยัดมากที่สุดเมื่อเทียบกับผู้ประกอบการรายอื่นๆ

น.ส.วทันยา ระบุว่า ด้วยข้อเท็จจริงของอุปสรรคที่เกิดขึ้น รัฐบาล และผู้บริหารที่เกี่ยวข้อง ซึ่งก็คือ กทม. มีหน้าที่ในการแก้ไขปัญหาจึงเป็นที่มาของการตั้งโต๊ะเจรจา เพื่อหาทางออกร่วมระหว่างภาครัฐและเอกชน จนออกมาเป็นเงื่อนไขการขยายระยะเวลาสัมปทานให้กับบีทีเอสออกไปเป็นจำนวน 30 ปี โดยมีเงื่อนไขหลักๆ ดังนี้

- หนี้ค่าก่อสร้างพร้อมดอกเบี้ยที่ กทม.รับภาระมาจาก รฟม.ทั้งหมดจำนวน 69,105 ล้านบาท จะถูกโอนไปเป็นภาระของบีทีเอสเป็นผู้รับผิดชอบ
- สัญญาจ้างเดินรถเดิมระหว่าง กทม.- บีทีเอส ที่ยังเหลือเวลาอยู่อีก 20 ปี รวมถึงค่าจ้างเดินรถเดิมตั้งแต่ปี 2560 จนถึงปัจจุบันมูลค่า 37,000 ล้านบาท จะถูกยกเลิก โดยให้ถือรวมเป็นส่วนหนึ่งของสัญญาสัมปทานแล้ว
- บีทีเอสต้องคุมค่าโดยสารรถไฟฟ้าตลอดสาย (จากสถานีต้นทางจนถึงปลายสุด) ให้ไม่เกิน 65 บาทตลอดระยะเส้นทาง
- ระหว่างการดำเนินกิจการบีทีเอสจะต้องแบ่งส่วนแบ่งรายได้ตลอดระยะเวลาสัมปทานให้ กทม.

น.ส.วทันยา ทิ้งท้ายว่า หน้าที่ของผู้นำและผู้บริหารที่ดีคือการเดินหน้าแก้ไขปัญหาเพื่อหาทางออก ไม่ว่าการแก้ไขปัญหาจะเลือกทางเดินไหน ทั้งการขยายสัมปทาน หรือการเดินหน้าจัดการประมูลใหม่ อย่างน้อยที่สุดก็คือ “การก้าวไปข้างหน้า ไม่ใช่หยุดอยู่กับที่แล้วซุกปัญหาไว้ใต้พรม” เพราะไม่ช้าหรือเร็วปัญหานั้นก็ต้องสะสมจนวนกลับมาอีกครั้งอยู่ดี และในท้ายที่สุดภาระของ กทม. ที่เกิดขึ้น ก็คือ ภาษีที่ประชาชนต้องแบกรับ ดังนั้น สิ่งที่ผู้บริหารที่ดีพึงกระทำ ก็คือ การกล้าเผชิญปัญหาเพื่อแก้ไขความเดือดร้อนและปกป้องผลประโยชน์ของประชาชน จะยืดสัมปทานเพื่อแก้ไขปัญหาหนี้สิน บนระยะเวลาสัมปทานที่เป็นธรรมระหว่างรัฐและเอกชน พร้อมกับการกำหนดเงื่อนไขเพื่อปกป้องประชาชนจากการถูกขูดรีด ก็สามารถทำได้ หรือจะไม่ขยายเวลาสัมปทานแล้วเลือกจ่ายหนี้สินแทนก็ต้องตัดสินใจให้เบ็ดเสร็จเด็ดขาด ไม่ใช่เลือกที่จะปล่อยให้ปัญหาคาราคาซัง ประชาชนเสียหาย รัฐมนตรีที่เลือกวิธีการบอยคอตการประชุมเพื่อปฏิเสธความรับผิดชอบ ก็ควรพิจารณาตนเองว่ายังสามารถเป็นแบบอย่างของผู้นำที่ดี และควรร่วมรัฐบาลต่อหรือไม่?


กำลังโหลดความคิดเห็น