เมืองไทย 360 องศา
ในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา หากสังเกตให้ดีจะเห็นท่าทีบางอย่างที่เปลี่ยนไป ทั้งในระดับพรรคพลังประชารัฐ และระดับแกนนำของพรรค ไล่เรียงไปตั้งแต่หัวหน้าพรรค คือ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ลงมา มีการตอกย้ำให้เห็นชัดเจนว่า สนับสนุน “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรีต่อไป รวมไปถึงการตอกย้ำในเรื่อง “3 ป.Forever” ไม่มีความแตกแยก รวมไปถึงเสียงสนับสนุนของรัฐบาล ที่ยังมั่นคงเพียงพอ
ท่าทีแบบนี้รับรองว่าแตกต่างไปจากช่วงก่อนหน้านี้ โดยเฉพาะในช่วงการหาเสียงเลือกตั้งซ่อมที่จังหวัดสงขลา และที่จังหวัดชุมพร ที่ตอนนั้นพรรคพลังประชารัฐไม่มีการเอ่ยถึงชื่อของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ที่เป็นแคนดิเดตนายกฯ ในนามพรรคมาก่อนเลย
บนเวทีปราศรัยจะให้ความสำคัญมุ่งเน้นไปที่หัวหน้าพรรค คือ พล.อ.ประวิตร และ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า อดีตเลขาธิการพรรคเท่านั้น และเมื่อพ่ายแพ้การเลือกตั้งอย่างหมดรูปทั้งสองเขต สองจังหวัดดังกล่าว และนำมาสู่ความแตกแยกในพรรคปะทุขึ้นมาอีกครั้ง จนกระทั่ง ร.อ.ธรรมนัส กับพวก ร้องขอให้ขับออกจากพรรคย้ายไปสังกัดพรรคอื่น ในลักษณะที่มองกันว่า “ย้ายไปอยู่บ้านหลังเล็ก” แต่ยังอยู่ในสังกัดของ “บิ๊กป้อม” และมีสถานะในแบบที่เรียกว่า “ยังไม่เป็นฝ่ายค้าน”
เมื่อวกกลับมาที่ท่าทีที่เปลี่ยนแปลงใหม่ล่าสุด วันที่ 25 มกราคม น.ส.พัชรินทร์ ซำศิริพงษ์ ส.ส.กทม.เขต 2 และโฆษกพรรคพลังประชารัฐ กล่าวยืนยันถึงความเหนียวแน่นของสมาชิกพรรคพลังประชารัฐ ที่แม้จะมีความคิดเห็นที่แตกต่างกัน แต่เมื่อต้องทำงานเพื่อประชาชน เชื่อว่า ทุกคนมีสปิริต สามารถเป็นหนึ่งเดียวกัน เพื่อเป็นฟันเฟืองสำคัญ ในการสนับสนุนรัฐบาลเดินหน้าแก้ปัญหาให้กับประชาชน และพรรคพลังประชารัฐ ยังคงมีเสถียรภาพ ไม่ใช่พรรคเฉพาะกิจ แต่เราเป็นสถาบันการเมือง ที่พร้อมจะทำงานเพื่อพี่น้องประชาชน ให้กินดี อยู่ดี ภายใต้นโยบายและแนวทางแก้ไขปัญหาของรัฐบาล
น.ส.พัชรินทร์ ระบุว่า พรรคพลังประชารัฐ ยังเชื่อมั่น และพร้อมชู พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรค และขอยืนยันความสัมพันธ์ของ 3 ป. Forever ว่ายังคงแน่นเหนียว เป็นหนึ่งเดียวในทุกๆ สถานการณ์
“พรรคพลังประชารัฐเรามีจุดยืนที่ชัดเจน ที่มุ่งเน้นการอยู่ดีมีสุขของพี่น้องประชาชน ให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และยึดมั่นระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขและเทิดทูนสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์” ดร.พัชรินทร์ กล่าวย้ำ
ขณะเดียวกัน ระหว่างช่วย นางสรัลรัศมิ์ เจนจาคะ ภรรยาของ นายสิระ เจนจาคะ ผู้สมัคร ส.ส.กทม. เขตหลักสี่-จตุจักร พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ กล่าวว่า วันนี้ก็ดีใจที่ได้มาเยี่ยมเยียนพี่น้องประชาชนภายในชุมชนสะพานไม้ โดยยืนยันว่า จะทำให้ความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชนคนไทยดีขึ้นอย่างแน่นอน และขอยืนยันว่า ภายใต้การดูแลของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ซึ่งดูแลพี่น้องประชาชนมาไม่ต่ำกว่า 7 ปี หลังจากนี้ จะพัฒนาความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชนให้ดีขึ้นต่อไป รวมทั้งขอให้พี่น้องประชาชนเลือกเบอร์ 7 พรรคพลังประชารัฐ
ขณะเดียวกัน เมื่อ พล.อ.ประวิตร กำลังเดินทางกลับ บรรดาสื่อมวลชนถามว่า ได้พูดคุยกับ พล.อ.ประยุทธ์ หรือยัง ซึ่ง พล.อ.ประวิตร ยืนยันเสียงเเข็งว่าได้พูดคุยกับ พล.อ.ประยุทธ์ อยู่แล้ว หลังเหตุการณ์ขับ 21 ส.ส. ออกจากพรรคพลังประชารัฐ “คุยตลอด และคุยทุกวัน สิ่งที่เกิดขึ้นไม่เป็นไร ไม่มีอะไรต้องรับมือ เพราะพรรคผมทั้งนั้น และไม่ตอบคำถามว่าจะต้องทบทวนมติพรรคในเรื่องที่มี ส.ส.บางคนที่มีรายชื่อในกลุ่มของ ร.อ.ธรรมนัส อ้างว่าไม่เกี่ยวข้องและร้องให้ทบทบมติหรือไม่”
สอดคล้องกับคำพูดของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ย้ำว่า “สาม ป.ไม่มีวันแตกแยก” และไม่ต้องเสียเวลายุแยง ไม่ได้ผลอะไรประมาณนั้น
เมื่อเป็นแบบนี้ทำให้ประเมินในภาพรวมๆ ได้ ว่า น่าจะ “เคลียร์” กันลงตัวและเข้าใจกันแล้วในระดับหนึ่ง โดยเฉพาะในระดับ “กลุ่มสาม ป.” เพราะในท่ามกลางสถานการณ์ที่รุมเร้าเวลานี้ เชื่อว่า หาก “แยกกัน” ก็รับรองได้ว่า “ตายหมู่” นั่นคือ “ตายกันทั้งสาม ป.” นั่นแหละ เพราะเชื่อว่าในระยะเวลาอันใกล้นี้ หากไม่กอดคอกันไว้ เป็นภาพที่มีความแตกแยกออกมาให้เห็นมากเท่าใด มันก็ยิ่งส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ และสั่นสะเทือนเสถียรภาพของรัฐบาล
ขณะเดียวกัน เมื่อประเมินจากกระแสที่ผ่านมา จากผลการเลือกตั้งซ่อมในภาคใต้ ที่พรรคพลังประชารัฐพ่ายแพ้ทั้งสองเขต และเป็นการพ่ายแพ้การเลือกตั้งซ่อมเป็นครั้งแรก หลังจากเคยฮึกเหิมว่าสามารถ “รุกคืบ” ในในพื้นที่สำคัญอย่าง จ.นครศรีธรรมราช ที่สามารถเอาชนะกลุ่มของ นายเทพไท เสนพงศ์ ของพรรคประชาธิปัตย์ เมื่อครั้งเลือกตั้งซ่อมคราวที่แล้ว
แต่ล่าสุด เมื่อไม่มีการพูดถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ให้ได้ยิน แต่กลับไปชู ร.อ.ธรรมนัส มันก็ได้รับบทเรียนกลับมา แม้ว่าการพ่ายแพ้ดังกล่าวจะมีปัจจัยและองค์ประกอบอีกหลายอย่าง แต่รับรองว่า ชื่อของ “ผู้กองแป้ง” นั้นขายไม่ได้ในภาคใต้ หรือแม้แต่ “ลุงป้อม” ก็ตามที
ดังนั้น เมื่อประเมินสถานการณ์แบบต้องการอยู่รอดก็ต้องจับมือกันในลักษณะ “รวมกันเราอยู่” แต่หากแยกกันก็รับรองว่า “ตายหมู่” แน่นอน และหากพิจารณาจากท่าทีของแต่ละฝ่ายเริ่มเห็นความชัดเจนมากขึ้น รวมไปถึงความมั่นใจจากทั้ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ที่ย้ำว่า “คุยกันทุกวัน” มันก็เหมือนกับการทำความเข้าใจเพื่อร่วมมือกันเดินไปข้างหน้าในโค้งสุดท้าย ที่กำลังลุ้นได้เสียกันอยู่ แต่เท่าที่เห็นท่าทีล่าสุดที่ออกมาแบบนี้ ก็แสดงให้เห็นแล้วว่า พวกเขายังต้องการเดินต่อไปในแบบแบ่งแยกบทบาทหน้าที่เพื่อลุ้นให้ผ่านช่วงวิกฤตไปให้ได้ อย่างน้อยก็ให้ถึงปลายปี !!