เมืองไทย 360 องศา
เริ่มต้นปีใหม่ พ.ศ. 2565 กันแล้ว ผ่านมาสองสามวัน หลายคนก็ยังมองว่า “ยังหนัก” กันอีกปี อย่างไรก็ดี หากพิจารณากันตามสถานการณ์ที่เป็นอยู่ ก็ยังพออุ่นใจได้บ้างว่า แนวโน้มก็น่าจะ “ดีกว่า” ปีที่แล้วอยู่บ้าง โดยเฉพาะในเรื่องของภาวะ “โรคระบาด” และ “ผลกระทบ” ที่แม้ว่าเรายังต้องเจอกับโรคระบาดโควิดสายพันธุ์ใหม่ ที่กลายพันธุ์ไปเรื่อยๆ โดยตอนนี้สายพันธุ์ “โอมิครอน” กำลังกลายเป็น “สายพันธุ์หลัก” ในทั่วโลก และประเทศไทยก็เริ่มระบาดกระจายไปทั่วประเทศแล้ว
แต่เมื่อพิจารณาจากความรุนแรงของเชื้อโรคแล้ว ยังถือว่าไม่มีอาการร้ายแรง เมื่อเทียบกับสายพันธุ์ “เดลตา” ก่อนหน้านี้ แต่ถึงอย่างไรก็ยังประมาทไม่ได้ และอย่างที่บอกว่า ประเทศไทยปีนี้ “ยังหนัก” แต่คง “ไม่หนักสาหัสเท่ากับปีก่อน” เพราะหากประเมินจากโรคระบาดโควิด-19 ที่เป็นสาเหตุหลักแล้ว ก็ยังน่าเชื่อว่าน่าจะเบาลงกว่าเดิม นั่นเป็นเพราะคนไทยเริ่ม “ปรับตัว” ให้เข้ากับโรคติดต่อชนิดนี้ได้มากแล้ว
โดยเฉพาะมาตรการในการป้องกันรับมือ คนไทยพร้อมทำตามมาตรการทางกระทรวงสาธารณสุขตามคำแนะนำ โดยไม่มีข้อโต้แย้งรุนแรงเหมือนกับประเทศทางตะวันตก เขาบอกให้สวมหน้ากากอนามัย ก็สวม ให้ฉีดวัคซีนก็พร้อมใจกันฉีด อาจมีงอแงบ้างตามคำยุยงของพวกนักการเมืองฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลว่าต้องเป็นยี่ห้อนั้นยี่ห้อนี้ แต่พวกเขาก็ฉีดวัคซีน ขณะที่ในประเทศยุโรป อเมริกา ที่มีการระบาดรุนแรงก็ล้วนมาจากไม่เชื่อฟัง และ “บ้าคลั่งกับเรื่องสิทธิเสรีภาพส่วนบุคคล” ซึ่งโชคดีว่าประเทศไทยยังไม่มีเรื่องแบบนั้นมากนัก
แต่อย่างไรก็ดี สำหรับปีนี้ตลอดทั้งปี ประเทศไทยก็ยังเชื่อว่า จะต้องเจอกับภาวะโรคระบาดโควิดอยู่ต่อไป และอาจต้องเจอกับการ “กลายพันธุ์” เป็นสายพันธุ์ใหม่ไปเรื่อยๆ แต่สำหรับคนไทยถือว่า “ได้ปรับตัว” กับการรับมือกับโรคนี้ได้อย่างคุ้นชินมากขึ้นทุกที นั่นคือ “การป้องกัน” ทั้งในเรื่องของการสวมหน้ากากอนามัย และการฉีดวัคซีน ขณะที่รัฐบาลก็มีการกระตุ้นเตือนอยู่ตลอดเวลา “ไม่ให้การ์ดตก”
ดังนั้น หากพิจารณาจากสถานการณ์ที่เป็นอยู่และแนวโน้มที่แม้ว่าจะต้องเจอกับภาวะที่หนักอยู่ต่อไป แต่อีกด้านหนึ่งมันก็มีการปรับตัว ให้เกิดความ “สมดุล” ระหว่างการป้องกันและการเดินทางทางเศรษฐกิจไปพร้อมๆ กัน ซึ่งถือว่าที่ผ่านมาเราทำได้ดี
แม้ว่าหลังปีใหม่ที่จะต้องเจอกับตัวเลขผู้ติดเชื้อกลับมาพุ่งสูงขึ้นแน่นอน จากการฉลองเทศกาลปีใหม่ แต่ทุกฝ่ายก็เตรียมการรับมือไว้ล่วงหน้า โดยฝ่ายรัฐบาลสั่งให้มีการประเมินสถานการณ์ภายใน 15 วันหลังจากปีใหม่ อีกครั้ง
อย่างไรก็ดี สำหรับการเมืองในปีนี้ ก็ต้องฟันธงได้เลยว่า “ต้องเดือด” แน่นอน และก็จะอาจจะเท่า หรือร้อนแรงกว่าปีก่อนก็เป็นไปได้ทั้งสิ้น เพราะหากพิจารณาจากฝ่ายตรงข้ามรัฐบาล ทั้งในส่วนของพรรคฝ่ายค้าน ที่นำโดย พรรคเพื่อไทย และพรรคก้าวไกล ที่จะต้องโหมแรงให้หนักหน่วงกว่าเดิม
โดยเฉพาะ การทำลายเครดิต “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และเครือข่าย “สาม ป.” ลงไปให้มากที่สุด เพราะเมื่อพิจารณาจาก “ไทม์ไลน์” ทางการเมืองแล้ว ถือว่า ปี 2565 เป็นช่วง “ท้ายเกม” แล้ว ทั้งในเรื่องวาระรัฐบาลตามปกติที่จะหมดลงในต้นปี 2566 แต่ก่อนหน้านั้น ก็ยังสามารถเพิ่มแรงกระหน่ำได้อีก ทั้งในเรื่องของการส่ง “ตีความวาระนายกฯ 8 ปี” ของ พล.อ.ประยุทธ์ ว่าจะเริ่มนับตั้งแต่ปีไหน และไปจบลงในปีไหน ซึ่งพวกเขาเงื้อดาบไว้แล้วว่าจะเริ่มส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญ ตีความตั้งแต่เดือนสิงหาคม
แต่ก่อนหน้านั้น ในราวเดือนพฤษภาคม พรรคร่วมฝ่ายค้าน ก็กางปฏิทินรอไว้แล้วว่าจะ “ยื่นญัตติซักฟอก” ตามโควตาที่รัฐธรรมนูญกำหนดเอาไว้อีกครั้ง หลังจากก่อนหน้านี้ ทุกปี หรือทุกครั้งที่โอกาสเปิดพวกเขาก็จะยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจมาตลอด
แม้ว่าหากพิจารณาโดยภาพรวมแล้วจะ “ไม่ได้น้ำได้เนื้อ” หรือไม่มีหลักฐานเพียงพอที่จะทำอะไรตัว นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีที่ถูกยื่นญัตติอภิปรายได้เลย เพราะบางครั้งเนื้อหาในการอภิปรายอาจมีน้ำหนักเพียงแค่ระดับ “กระทู้” ถามเท่านั้นก็ตาม
แต่สิ่งที่น่ากังวล กลับกลายเป็นว่าในปีนี้อาจเกิด “อุบัติเหตุ” ทางการเมืองเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา จากการที่มี “กฎหมายสำคัญ” ต้องเข้าพิจารณาในสภา ขณะเดียวกัน ก็มีปัญหาเรื่อง “ความแตกแยก” ภายในพรรครัฐบาลเอง โดยเฉพาะพรรคพลังประชารัฐ ที่เป็นแกนนำนั่นเอง ทำให้มีโอกาสคว่ำกฎหมายในสภาก็มีอยู่ไม่น้อย ซึ่งหากเกิดขึ้นจริงก็จะมีทางเลือกอยู่สองทางนั่นคือ ลาออก หรือยุบสภา ซึ่งน่าจะเป็นอย่างหลังมากกว่า และที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ ก็ได้ส่งสัญญาณเตือนเข้มมาแล้ว
ล่าสุด เมื่อช่วงปลายปีที่ผ่านมา ก็ย้ำว่า “ฝ่ายสภา” ระวังให้ดี หลังจากเกิดเหตุการณ์สภาล่มบ่อยครั้ง และหากมีการยุบสภาก่อนกำหนดที่กฎหมายลูกสองฉบับจะเสร็จสิ้น ก็จะมีโอกาสที่จะมีการเลือกตั้งแบบใช้กติกาเก่า ที่อย่างน้อยพรรคใหญ่ จะไม่ได้เปรียบมากนัก ซึ่งก็ต้องจับตาอย่างใกล้ชิด ว่าจะออกมาแบบไหน
ขณะเดียวกัน ที่ต้องจับตาไม่แพ้กัน ก็คือ “สถานการณ์ม็อบสามนิ้ว” ที่ประกาศล่วงหน้ามาตั้งแต่ปลายปีที่แล้วว่า ในปีนี้จะกลับมาเหมือนเดิม และกลับมาทุกแนวรบ เป็นการ “ท้ารบ” พร้อมเปิดศึกใหญ่อีกครั้ง อย่างไรก็ดี หากพิจารณากันตามสถานการณ์ความเป็นจริง นั่นคือ “โม้คำโต” ที่เกินไปจากความเป็นจริงไปมาก เพราะการเคลื่อนไหวของ “ม็อบสามนิ้ว” ที่มีเป้าหมายคือ “โค่นล้มสถาบันพระมหากษัตริย์” ไม่ได้รับการสนับสนุนจากชาวบ้าน ทำให้ “ปลุกไม่ขึ้น” มีแต่ฝ่อลงทุกวัน
บรรดาแกนนำที่พอมีชื่อ ก็ต่าง “ทยอยเข้าคุก” กันก่อนกำหนด จากการถูกถอนประกันตัวกันเป็นแถว เนื่องจากทำผิดเงื่อนไขศาล ยังไม่ยอมหยุดเคลื่อนไหวโจมตีสถาบันฯ ทำให้แต่ละคนที่ก่อนหน้านี้ถูกดำเนินคดีถูกฟ้องตามความผิด มาตรา 112 คนละนับสิบคดี ทำให้โอกาสที่แต่ละคน ไม่ว่าจะเป็น นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ นายอานนท์ นำภา นายภาณุพงศ์ จาดนอก นายจตุภัทร์ บุญภัทรรักษา รวมไปถึง น.ส.ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล ที่แม้ว่าเวลานี้ได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวออกมาแต่จะต้องกลับเข้าไปอีกครั้ง หลังวันที่ 12 มกราคม นี้ พวกเขามีโอกาสที่จะติดคุกยาวจนกว่าคดีจะเสร็จสิ้น เพราะแต่ละคดีล้วนใช้เวลานานนับปีกันเลยทีเดียว อีกทั้งที่ผ่านมาพวกเขาประกาศว่า จะไม่ขอประกันตัวระหว่างดำเนินดคี ก็ยิ่งเป็นการปิดทางมากขึ้นไปอีก
แน่นอนว่า การประกาศแบบนั้นอาจจะหวังกระตุ้นให้กับมวลชนผู้สนับสนุนข้างนอกโหมชุมนุมกดดันศาล แต่คำถามก็คือ มันมีกระแสสนับสนุนมากพอหรือเปล่า ตรงกันข้ามยิ่งเวลาผ่านไปทุกอย่างยิ่งถดถอย มีแต่ “ถูกเท”
เพราะหากลองสังเกตดูก็ได้ว่า เวลานี้มีใครสนใจ “แกนนำม็อบสามนิ้ว” ที่ติดคุกอยู่บ้าง มีแต่คนลืมเลือนไปเรื่อยๆ พวกม็อบ “ทะลุแก๊ส” ทะลุโลก ก็เงียบไปแล้ว เพราะยิ่งออกมาก็ยิ่งติดคุก ยิ่งพวกปลายแถว โนเนม ไม่มีเครือข่ายหนุนหลัง ก็ยิ่งเดียวดายตามลำพัง มันถึงได้บอกว่า ปีนี้การเมืองอาจจะร้อนแรง แต่สำหรับม็อบสามนิ้ว แล้วมีแต่ถูกเท นอนนิ่งอยู่ในคุกเท่านั้น