ข่าวปนคน คนปนข่าว
**ณพ ณรงค์เดช จั่วลม หลังร้องศาลขอจัดการทรัพย์สินตระกูล “ณรงค์เดช” แต่เพียงผู้เดียว
เรื่องราวที่ต้องบอกว่า เป็นข้อขัดแย้งของคนในตระกูล “ณรงค์เดช” ครอบครัวที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันดีในแวดวงธุรกิจและอุตสาหกรรมยานยนต์ของเมืองไทย มีความเคลื่อนไหวล่าสุดที่ขอนำมาบอกเล่ากัน
สืบเนื่องจาก เมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2557 ศาลมีคำสั่งตั้ง “กฤษณ์ ณรงค์เดช” บุตรชายคนโตของตระกูล “ณรงค์เดช” เป็นผู้จัดการมรดกตามพินัยกรรมของ “คุณหญิงพรทิพย์ ณรงค์เดช” หรือ “พรประภา” นามสกุลเดิมมารดา ภายหลังจากเกิดกรณีพิพาทระหว่าง “ณพ ณรงค์เดช” บุตรชายคนกลาง กับ “เกษม ณรงค์เดช” ผู้เป็นบิดา และพี่น้องครอบครัวณรงค์เดช จนครอบครัวประกาศตัดสัมพันธ์ “ณพ” และต่อมา “ณพ” ได้ถูก “เกษม” บิดา ฟ้องต่อศาลเพื่อขอเพิกถอนการให้ทรัพย์สินต่างๆ ที่ “ณพ” ได้รับไปจากครอบครัว เหตุเพราะเนรคุณ
ต่อมา “ณพ” ได้พยายามดิ้นรนเพื่อจะเข้าจัดการทรัพย์สินของตระกูลณรงค์เดช แต่เพียงผู้เดียว โดยยื่นคำร้องต่อศาลแพ่งกรุงเทพใต้ ว่า พี่ชายคือ “กฤษณ์” ละเลยไม่ปฏิบัติหน้าที่ผู้จัดการมรดกให้เป็นไปตามกฎหมาย และพินัยกรรม และยังมีพฤติกรรมเบียดบัง และ/หรือ ยักย้ายถ่ายเทดอกผลของทรัพย์มรดก เพื่อขอให้ศาลมีคำสั่งถอน “กฤษณ์” จากการเป็นผู้จัดการมรดก และให้ศาลตั้งตัว “ณพ” เป็นผู้จัดการมรดกแทน
แต่ท้ายที่สุด “ณพ” ต้องจั่วลม เมื่อข้อเท็จจริงไม่ได้เป็นไปตามที่เขากล่าวอ้างต่อศาล เพราะความเป็นไปตามจริง “กฤษณ์” ได้แบ่งปันทรัพย์มรดกให้แก่ทายาทไปตามพินัยกรรมแล้ว นอกจากนี้ “เกษม” ผู้เป็นบิดา และ “กรณ์ ณรงค์เดช” น้องชาย ยังได้ยื่นคัดค้านคำร้องของ “ณพ” ว่า “กฤษณ์” นั้น ได้ทำหน้าที่ผู้จัดการมรดกด้วยความสุจริต และเป็นธรรมด้วยดีมาตลอด ส่วน “ณพ” กลับมีความประพฤติไปในทางที่เสื่อมเสียแก่กองมรดก และวงศ์ตระกูล จนถึงขนาด “เกษม” ไม่อยากให้ “ณพ” ใช้นามสกุลณรงค์เดช อีกต่อไป
ดังนั้น ศาลจึงไม่เพิกถอนคำสั่งแต่งตั้ง “กฤษณ์” เป็นผู้จัดการมรดก และไม่ตั้ง “ณพ” ให้เป็นผู้จัดการมรดกของ “คุณหญิงพรทิพย์” เพราะจะเป็นการสร้างปัญหาความขัดแย้งระหว่างทายาทของกองมรดกขึ้นมาอีกมากมาย โดยมีคำพิพากษายกคำร้องของ “ณพ” ทั้งหมด
สรุปว่า งานนี้ “ณพ” จึงไม่มีสิทธิเข้ามายุ่งเกี่ยวกับการจัดการทรัพย์สินของตระกูลณรงค์เดช อีกต่อไป
** “หมอหนู” ถูกใจกับฉายา “ว้ากซีน” ที่สื่อตั้งให้ ..“เสี่ยเฮ้ง” ชมเปาะกับฉายา “สุชาติ ชมเก่ง”
แสบๆ คันๆ อมยิ้มกันไป สำหรับฉายาที่สื่อทำเนียบฯตั้งให้รัฐบาล และคณะรัฐมนตรีบางคน โดยรัฐบาลได้ฉายาว่า “ยื้อยุทธ์” ส่วนนายกฯลุงตู่ “ชำรุดยุทธ์โทรม”
อย่าง “หมอหนู” อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.สาธารณสุข ได้ฉายาว่า “ว้ากซีน” ซึ่งล้อมาจากคำว่า “วัคซีน” สะท้อนภาพในช่วงที่ผ่านมา ที่ผู้คนชกต่อย ยื้อแย่งวัคซีน บุคลากรทางการแพทย์ ดาหน้าออกมาเรียกร้องวัคซีน ชนิด mRNA ผู้คนว้าก โวย เหวี่ยง ตำหนิถึงการจัดหา และให้บริการวัคซีนที่ถูกเลื่อนไม่มีกำหนด เพราะวัคซีนไม่มาตามนัด ไม่ว่า “อนุทิน” จะชี้แจงอย่างไร แต่ดูเหมือนว่าไม่มีใครฟัง ทำเอาบางครั้งถึงมีอารมณ์ ออกโต้ตอบอย่างดุเดือด ผ่านสื่อ และโซเชียลฯ
“หมอหนู” บอกว่าฉายา “ว้ากซีน” รวมถึงคำพูด “วัคซีนเต็มแขน” เป็นวาทกรรมแห่งปีนั้น ก็ดี ที่มีคำว่า “วัคซีน” หรือ “ว้ากซีน” เพราะถ้าไปเข้าหูประชาชนที่ยังไม่ได้รับวัคซีนเข็ม 3 ก็จะได้มารับวัคซีน และยิ่งไม่ได้รับวัคซีนเข็มแรก ส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุ ก็ขอให้ญาติพี่น้องพามารับ ว้ากซีน ส่วนเข็ม 2 ไม่มีปัญหา เพราะใครที่มารับวัคซีนเข็มแรก ก็จะมารับวัคซีนเข็ม 2 อยู่แล้ว ตอนนี้เราพูดกันถึงเข็ม 3-4 แล้ว พร้อมขอขอบคุณที่ตั้งฉายานี้ให้ และใช้ตนเองเป็นสื่อในการกระจายคำว่า “วัคซีน” ไปสู่พี่น้องประชาชน ผมก็ยินดีครับ !!
อีกคนที่รู้สึกถูกอกถูกใจกับฉายาที่ได้รับ คือ “เสี่ยเฮ้ง” สุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงงงาน ที่ได้รับฉายาว่า “สุชาติ ชมเก่ง” เพราะทุกครั้งในการให้สัมภาษณ์สื่อ ท่าน รมว.แรงงาน จะต้องเกริ่นนำด้วยการ “ชื่นชม” ในนโยบายและการทำงานของ “ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หรือไม่ ก็ อวย “ลุงป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ก่อนที่จะเข้าเรื่องที่ตัวเองจะพูด เรียกว่า ทั้งนายกฯ และหัวหน้าพรรค ต้องมาก่อนทุกครั้ง
กับฉายานี้ “เสี่ยเฮ้ง” ถึงกับออกปากขอบคุณสื่อ ...ชื่นชมในความคิดสร้างสรรค์ ที่ตั้งฉายานี้... บอกคำว่า “ชมเก่ง” ถือเป็นวลีที่สมเหตุ สมผล เพราะผมก็ชื่นชมทั้ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี มาโดยตลอด อย่างจริงใจ
...ที่ผ่านมา กระทรวงแรงงาน สามารถทำทุกอย่างได้ตามเป้า ก็เพราะทั้งสองท่านให้การสนับสนุน และร่วมผลักดันมาตลอด ถ้าไม่มีท่าน ผมคงไม่สามารถเดินหน้าแก้ปัญหาได้อย่างเป็นรูปธรรมและรวดเร็วอย่างทุกวันนี้...เป็นไง “ชมเก่ง” สมฉายามั้ยล่ะ!!
สำหรับฉายารัฐบาล “ยื้อยุทธ์” กับฉายานายกฯ “ชำรุดยุทธ์โทรม” นั้น ฟังแล้วก็ตรงตามนั้น ไม่ต้องอธิบายมาก ซึ่ง “ลุงตู่” คงไม่ปลื้มเท่าไร และคงไม่อยากต่อความยาวสาวความยืด จึงเลี่ยงที่จะพูดถึงเรื่องนี้ ...
แต่ “แรมโบ้” เสกสกล อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี ได้ออกมารับหน้าแทน บอกว่า ฉายารัฐบาล “ยื้อยุทธ์” นั้น มีนัยยะที่ต้องยื้อ เพราะนายกฯต้องทำงานแก้ไขปัญหาให้บ้านเมือง และพัฒนาประเทศมาโดยตลอด รวมทั้งช่วงสถานการณ์โควิด-19 ขณะเดียวกัน ได้แก้ไขปัญหาที่รัฐบาลก่อนหน้านี้ ได้ก่อหนี้ สร้างปัญหาจากการทุจริตเอาไว้ด้วย
ส่วนฉายานายกฯ “ชำรุดยุทธ์โทรม” ก็ถือเป็นเรื่องธรรมดา เพราะบ้านเมืองชำรุดมามากมาย นายกฯ ต้องทำงานอย่างหนักมาโดยตลอดในการแก้ไขปัญหา ไม่เคยคิดถึงเรื่องของตัวเอง คิดถึงแต่ชาติบ้านเมือง และประชาชน ก็ต้องขอบคุณสื่อ และประชาชน ที่เข้าใจถึงการทำงานของนายกฯ ว่า ทุ่มเทตลอด ตั้งแต่เข้ามารับหน้าที่นี้ ไม่เคยท้อแท้แม้งานหนัก ส่วนเรื่องสุขภาพ ก็เป็นไปตามวัย แต่ยังแข็งแรงทุกอย่าง ทั้งร่างกายและจิตใจ ยังมีความพร้อมที่จะทำงานเพื่อประชาชนต่อไป...
สำหรับ รัฐมนตรีคนอื่นๆ ที่ได้รับฉายา อาทิ “ลุงป้อม” พล.อ.ประวิตร วงศ์สุวรรณ รองนายกฯ ได้ฉายา “รองช้ำ” เพราะต้องคอยเคลียร์ปัญหาระหว่างน้องรัก กับลูกน้องที่รัก อยู่เป็นประจำ ... จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกฯ และ รมว.พาณิชย์ “นายกฯ บางโพล” ... สุพัฒน์พงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกฯ และ รมว.พลังงาน “มหาเฉื่อย 4D” ... ศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม “สายขม นมชมพู” ...พิพัฒน์ รัชกิจประการ รมว.ท่องเที่ยวและกีฬา “ดีลล่มระดับโลก” ....ส่วนวาทะแห่งปี 2564 เป็นคำพูดที่ติดปาก “ลุงตู่” คือคำว่า “นะจ๊ะ” !!