ดิ้นเฮือกสุดท้าย! “ปิยบุตร” เดือดบ้าคลั่ง หมิ่นคำวินิจฉัย ศาล รธน. มิชอบ ไม่ผูกพันทุกองค์กร “ธนาธร” ขายฝันเปลี่ยน ปท. กางตัวเลข “นร.- นิสิต” ทั้งหมด เทียบ กลุ่ม 3 นิ้ว มีเพียงหยิบมือ กว่า 6 ล้าน เยาวชนคนรุนใหม่ของจริง
น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (20 ธ.ค. 64) เพจเฟซบุ๊ก THE TRUTH โพสต์ประเด็น “ปิยบุตร” เดือดจัด เลือดขึ้นหน้า หมิ่นเหม่เหยียดหยาม คำวินิจฉัยศาลฯ!?
โดยระบุว่า สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 10 พ.ย. 64 ที่ผ่านมา ศาลรัฐธรรมนูญ ได้วินิจฉัยให้การชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุมที่ ม.ธรรมศาสตร์ (มธ.) ศูนย์รังสิต เมื่อวันที่ 10 ส.ค. 2563 ซึ่งมี นายอานนท์ นำภา นายภาณุพงศ์ จาดนอก และ น.ส.ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล เป็นผู้ปราศรัย เป็นการกระทำที่เป็นการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
นอกจากนี้ ตุลาการยังมีการระบุด้วยว่า การกระทำผู้ถูกร้องทั้ง 3 คน มีการตั้งเป็นกลุ่มเครือข่าย และยังมีส่วนในการจุดประกายให้เกิดความรุนแรงในบ้านเมือง ทำให้เกิดความแตกแยกในบ้างเมือง เป็นการทำลายหลักภราดรภาพ นำไปสู่การทำลายระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
“การออกมาเรียกร้องโจมตีในสาธารณะ โดยอ้างการใช้สิทธิเสรีตามรัฐธรรมนูญ นอกจากเป็นวิถีที่ไม่ถูกต้อง ใช้ถ้อยคำหยาบคาย และยังไปละเมิดสิทธิเสรีภาพของประชาชนที่เห็นต่างได้ด้วย อันจะเป็นกรณีตัวอย่างให้คนอื่นทำตาม” ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ระบุ
หลังจากนั้น ทางกลุ่มผู้สนับสนุนการชุมนุม ได้ออกมาต่อต้านคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ โดยอ้างคำว่า “ปฏิรูปไม่เท่ากับล้มล้าง” แต่ประชาชนทั่วไปต่างเห็นภาพบนเวที ในวันดังกล่าวแล้ว ก็เกิดความสงสัยว่าน่าจะเป็นการแก้ตัวได้ยาก เพราะบนเวทีเขียนชัดเจนว่า “เราไม่ต้องการปฏิรูปเราต้องการปฏิวัติ” ใช่หรือไม่
อย่างไรก็ตาม ล่าสุด (20 ธ.ค. 64) นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า ได้โพสต์ข้อความที่ค่อนข้างหมิ่นเหม่ดูหมิ่นคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญในประเด็นดังกล่าวอย่างรุนแรง ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุว่า
คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่มีผลบังคับผูกพันทุกองค์กรนั้น ต้องเป็นคำวินิจฉัยที่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญด้วย หากไม่เป็นคำวินิจฉัยที่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญแล้วนั้นย่อมไม่มีผลเป็นเด็ดขาด และไม่ผูกพันทุกองค์กร
เนื่องจากหากปล่อยให้คำวินิจฉัยที่ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญผูกพันทุกองค์กรจะหมายถึงว่า ศาลรัฐธรรมนูญสามารถวินิจฉัยเกินรัฐธรรมนูญก็ได้ แล้วก็ไปผูกพันกับทุกองค์กร
หากเป็นเช่นนี้ศาลรัฐธรรมนูญก็จะขยายขอบเขตอำนาจขึ้นไปมากขึ้นๆ จนกลายเป็นรัฐธรรมนูญเสียเอง และนานวันเข้าศาลรัฐธรรมนูญก็จะเป็นองค์กรที่อยู่เหนือรัฐธรรมนูญเสียเอง และต่อไปก็จะผูกขาดการตีความรัฐธรรมนูญไว้แต่เพียงผู้เดียว เกิดวันดีคืนดี ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้ พระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตก ตกทางทิศตะวันออก เขียนให้หมูเป็นหมา ให้หมาเป็นไก่ หากเขียนคำวินิจฉัยที่ผิดธรรมชาติเช่นนี้ แล้วต้องผูกพันทุกองค์กรเช่นนั้นหรือ ?
ดังนั้น การจะผูกพันทุกองค์กรได้คำวินิจฉัยต้องชอบด้วยรัฐธรรมนูญเสียก่อน
ผมยืนยันว่า คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 19/2564 หรือที่เรียกกันว่าคดีล้มล้างการปกครองฯ มีปัญหาไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ย่อมไม่มีผลบังคับผูกพันตามรัฐธรรมนูญ
พร้อมกับติดแฮชแท็ก ว่า #ปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ #ศาลรัฐธรรมนูญ #ล้มล้างการปกครอง #ปฏิรูปไม่เท่ากับล้มล้าง #ศาลรัฐธรรมนูญมีไว้ทำไม
ขณะเดียวกัน THE TRUTH ยังโพสต์ประเด็น กางตัวเลข “นร.-นิสิต” ทั้ง ปท. ฟาดหน้า “ธนาธร” เทียบ กลุ่ม 3 นิ้ว มีเพียงหยิบมือ เพ้อเปลี่ยนแปลง ปท.?
เนื้อหาระบุว่า จากกรณีที่ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า ได้ร่วมงานเสวนาออนไลน์ จัดโดยสมาคมทะเล และได้พูดในหัวข้อ ประเทศกำลัง (ห้าม) พัฒนา โดยมีใจความ ระบุถึงการเปลี่ยนแปลงประเทศไทย และได้กล่าวด้วยว่า ยิ่งเวลาเคลื่อนคล้อยไปข้างหน้า คนรุ่นผมจะกลายเป็นระดับนำ พนักงานจะขึ้นเป็นผู้บริหาร นักศึกษาจะกลายเป็นพนักงาน นักเรียนจะขึ้นเป็นนักศึกษา พลังแห่งการเวลา จะพัดพาให้ความคิดแบบเก่า ตกหายไปเป็นทอดๆ เวลาอยู่ข้างเรา
ทั้งนี้ นายธนาธร ยังได้โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊กอีกว่า “ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ได้รับเชิญให้ร่วมเป็น keynote speaker ในงานเสวนาออนไลน์ “ประเทศกำลัง (ห้าม) พัฒนา” จัดโดยสมาคมทะเล ซึ่งเป็นการรวมกลุ่มของคนไทยในยุโรป ที่ปรารถนาเห็นประเทศไทยมีความเป็นประชาธิปไตย มีความเสมอภาค และได้รับการพัฒนาอย่างนานาอารยะประเทศ
ธนาธร พาเราไปย้อนดูสิบปีการพัฒนาทางเศรษฐกิจของประเทศไทยที่ผ่านมา ว่าห่างไกลเพียงใดจากมาตรฐานโลก แม้กระทั่งเมื่อเทียบกับการพัฒนาในประเทศเพื่อนบ้านหลายประเทศ พร้อมฉายภาพให้เห็นว่า “การเมือง” เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องอย่างแยกไม่ออกเพียงใด กับการหยุดนิ่งไม่พัฒนาของประเทศไทย และสุดท้าย ธนาธรได้ร่วมตอบคำถามสำคัญที่มีผู้ถามเข้ามาในรายการ นั่นคือเราจะยังมีความหวังได้อยู่หรือไม่ กับสภาพบ้านเมืองที่มีอยู่ตอนนี้ ซึ่งธนาธรก็ได้ยืนยันว่า “มี” และนี่คือยุคที่มีความหวังมากที่สุดแล้ว สำหรับการเปลี่ยนให้ประเทศไทยดีกว่านี้ได้”
อย่างไรก็ตาม ทางทีมข่าวเดอะทรูธ ได้ทำการตรวจสอบ สถิติจำนวน และร้อยละของนักเรียน นิสิต นักศึกษา ในระบบโรงเรียน ต่อประชากรในวัยเรียนของประเทศไทย จำแนกตามระดับการศึกษา และชั้น โดยพบว่า มีจำนวนนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษา ในระบบสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ มีทั้งหมดจำนวน 3,833,576 คน ระดับปริญญาตรี มีทั้งหมด 1,870,738 คน และมีระดับสูงกว่าปริญญาตรี จำนวนทั้งสิ้น 229,757 คน
ทั้งนี้ หลายคนได้ตั้งข้อสังเกตว่า จำนวนนักเรียน นิสิตนักศึกษาทั่วประเทศ มีจำนวนมาก 6 ล้านคน ซึ่งหากเปรียบเทียบกับกลุ่มเยาวชนที่ออกมาเคลื่อนไหวทางการเมือง แทบจะเทียบไม่ได้เลย
แน่นอน, ทั้งสองประเด็น ยังคงสะท้อน วาทกรรมหลอกเด็กไปติดคุก และตายแทน ด้วยการขายฝัน สร้างความหวัง ยุยงปลุกปั่น คิดดูแม้แต่คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งประกอบไปด้วยผู้มีคุณวุฒิ วัยวุฒิ และประสบการณ์มากมาย ก็ยังถูกดูหมิ่นว่า วินิจฉัยมิชอบตามรัฐธรรมนูญ เพราะอะไร ก็เพราะต้องการหลอกให้เด็กฮึดสู้ โดยเชื่อว่า ทำถูกต้อง แม้ไม่มีหลักฐานที่จะตอบโต้คำวินิจฉัย มากกว่าความเชื่อส่วนตัวที่จมอยู่กับวาทกรรม “นิติสงคราม” ที่ตัวเองสร้างขึ้นเท่านั้น
ผลก็คือ ยังมีเด็กจำนวนหนึ่งที่เป็นสาวกผู้ภักดี ยังคงไม่กลัวเกรงคำวินิจฉัยของศาลฯดังกล่าว และยังคงนัดกันชุมนุมเรียกร้อง “ปฏิรูปสถาบันฯ” เป็นเหยื่อที่จะยอมติดคุกและตายแทนอยู่นั่นเอง
นายธนาธร ก็เช่นเดียวกัน สิ่งที่เขาถนัดที่สุด ก็คือ การขายฝัน ยุยงปลุกปั่นให้มีความหวัง โดยที่ตัวเอง ยังคงเป็นอีแอบ เสวยสุขอยู่บนความทุกข์ของมวลชน ที่ต้องพบกับวิบากกรรม จากการยุยงปลุกปั่นดังกล่าว แม้แท้จริง พวกเขารู้ทั้งรู้ว่า หลอกเด็กมาสู้กับสิ่งที่คนไทยส่วนใหญ่เคารพเทิดทูน ซึ่งไม่มีวันชนะ และไม่ใช่การต่อสู้ที่สร้างสรรค์ ก้าวหน้าแต่อย่างใด เพียงแค่ต้องการให้นักการเมืองเป็นใหญ่ในแผ่นดินเท่านั้น
ทั้งหมดก็คือ ธาตุแท้ของคนที่ต้องการอำนาจทางลัด เพราะเชื่อมั่นว่า ถ้าเปลี่ยนระบอบการปกครอง มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ลบล้างความผิดตัวเอง ตำแหน่งสูงสุด ก็อยู่แค่เอื้อม แม้ฝันกลางวันแสกๆ ก็ตาม ไม่เชื่อก็ลองทบทวนดูว่า พวกเขาหวังอย่านั้นจริงหรือไม่!?