เบื้องลึกอาจารย์สาวนิติฯ มธ.นั่งประธานแอมเนสตี้ เปิดตัว กก.- เคยปั่น 8 ล้าน ส่ง จม.ถึง รบ.ไทย คราวนี้จับมือ “รุ้ง ปนัสยา” หลอกชาวโลกอีก จับโป๊ะ! แคมเปญล่าสุด ใส่ข้อมูลมั่ว ลงชื่อได้ไม่อั้น แถมบิดเบือนไม่พูดถึง “ผิด 112”
น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (23 พ.ย. 64) เพจเฟซบุ๊ก THE TRUTH โพสต์ประเด็น เบื้องลึกอาจารย์สาวนิติฯ มธ.นั่งประธานแอมเนสตี้ เปิดตัว กก.- เคยปั่น 8 ล้านคนทั่วโลก ส่ง จม.ถึง รบ.ไทย แต่เหลว
โดยระบุว่า จากกรณีที่ แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ทั่วโลก เปิดตัวแคมเปญ “Write for Rights” หรือ “เขียน เปลี่ยน โลก” ซึ่งกลับมาอีกครั้งในปีที่ 20 ที่จะเชิญชวนผู้สนับสนุนจากทั่วโลกเขียนจดหมายหลายล้านฉบับ ให้กับผู้ที่ถูกละเมิดสิทธิมนุษยชนหรือครอบครัวโดยตรง เพื่อให้พวกเขารับรู้ว่าไม่ได้ต่อสู้เพียงลำพัง
นอกจากการส่งข้อความเพื่อให้กำลังใจผู้ถูกละเมิดสิทธิแล้ว ผู้คนยังเขียนจดหมายถึงผู้มีอำนาจ เรียกร้องให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ให้ยุติการละเมิดสิทธิมนุษยชน และนำความยุติธรรมมาสู่ผู้ได้รับผลกระทบ การรณรงค์ของแอมเนสตี้เป็นการสื่อข้อความไปทั่วโลก ว่า ประชาชนพร้อมจะยืนหยัดต่อสู้กับการใช้อำนาจอย่างมิชอบไม่ว่าจะเกิดขึ้นที่ใดก็ตาม
พร้อมทั้งเปิดเผยว่า ปีนี้เคสของ “รุ้ง ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล” จากไทย ได้เข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของแคมเปญนี้เป็นครั้งแรกด้วย และ แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย ได้เน้นรณรงค์ช่วยเหลือ
โดยเมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม 2563 ทาง แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลประเทศไทย ได้เปิดตัว คณะกรรมการชุดล่าสุด ประกอบไปด้วย ศศวัชร์ คมนียวนิช เหรัญญิก, วศิน พงษ์เก่า กรรมการ, ฐิติรัตน์ ทิพย์สัมฤทธิ์กุล ประธานกรรมการ, นาซานีน ยากะจิ กรรมการเยาวชน, ณพัทธ์ นรังศิยา กรรมการ
ที่น่าสนใจก็คือ ประธานกรรมการของแอมเนสตี้ ประเทศไทย ฐิติรัตน์ ทิพย์สัมฤทธิ์กุล อาจารย์ประจำศูนย์กฎหมายระหว่างประเทศ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 11 มิถุนายน 2561 นายเนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล นิสิตคณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ อดีตประธานสภานิสิตจุฬาฯ โพสต์ข้อความทางเฟซบุ๊ก เปิดเผยว่า ในที่ประชุมใหญ่ประจำปี ของ แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย ตนได้รับเลือกให้เป็น กรรมการเยาวชน ในบอร์ดบริหารขององค์กร
ต่อมาเมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2561 แอมเนสตี้ เคลื่อนไหวให้ยกเลิกโทษประหารชีวิต กรณีนักโทษเด็ดขาดชายธีรศักดิ์ อายุ 26 ปี ผู้ต้องขังคดีฆ่าผู้อื่นอย่างทารุณโหดร้ายเพื่อชิงทรัพย์ โดยก่อเหตุวันที่ 17 กรกฎาคม 2555 ที่จังหวัดตรัง โดยมีการไปทำกิจกรรมที่เรือนจำบางขวาง แสดงความไม่เห็นด้วยกับการประหารชีวิต
นอกจากนี้ เมื่อวันที่ 4 กันยายน 2563 สำนักเลขาธิการใหญ่ แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ณ กรุงลอนดอน สหราชอาณาจักร ออกปฏิบัติการด่วน เชิญชวนสมาชิก นักกิจกรรม และผู้สนับสนุนกว่า 8 ล้านคนทั่วโลก ร่วมกันส่งจดหมายถึง พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา เรียกร้องทางการไทยยกเลิกข้อหาต่อผู้ชุมนุมทั้ง 31 คน ยุติการขัดขวางการเข้าร่วมชุมนุมของประชาชนหรือปิดปากเสียงวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล และการแสดงความเห็นในประเด็นทางสังคม รวมทั้งแก้ไขเพิ่มเติมหรือยกเลิกกฎหมายที่มีเนื้อหากำกวมหรือคลุมเครือ เพื่อให้กฎหมายเหล่านี้ มีเนื้อหาสอดคล้องกับพันธกิจของประเทศที่จะเคารพ คุ้มครอง และเติมเต็มสิทธิในเสรีภาพการแสดงออกและการชุมนุมโดยสงบ ซึ่งการรณรงค์นี้จะมีไปถึงวันที่ 21 ตุลาคม 2563
โดย แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ระบุว่า ผู้ชุมนุมอย่างสงบ 31 คน อาจได้รับโทษจำคุกสูงสุดเจ็ดปี เนื่องจากทางการไทยออกหมายจับแกนนำและนักกิจกรรมเพื่อประชาธิปไตยจำนวน 15 คน จากบทบาทในการจัดการชุมนุมที่กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2563 ส่วนผู้ชุมนุมอีก 16 คน ได้รับหมายเรียกและถูกแจ้งข้อหาจากเหตุการณ์เดียวกัน ทั้ง 31 คน ถูกดำเนินคดีในข้อหาร้ายแรงรวมทั้งยุยงปลุกปั่น ซึ่งเป็นกฎหมายที่มีเนื้อหากำกวมและจำกัดเสรีภาพ ที่รัฐบาลมักใช้เพื่อปิดปากผู้วิพากษ์วิจารณ์ หากศาลตัดสินว่ามีความผิด นักกิจกรรมแต่ละคนอาจได้รับโทษจำคุกสูงสุดเจ็ดปี
การจับกุมผู้ชุมนุมอย่างสงบที่เกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ แสดงให้เห็นถึงการปราบปรามเสรีภาพในการแสดงออกและการชุมนุมโดยเจ้าหน้าที่ที่เข้มข้นขึ้น
จนกระทั่งต่อมาเมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา แอมเนสตี้ ประเทศไทย ได้ร่วมกับ รุ้ง ปนัสยา นำ 28,426 รายชื่อ ที่ร่วมเรียกร้องผ่าน Change.org มอบให้กับ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นคำมั่นสัญญาต่อประชาชนในการปฏิบัติเพื่อยุติการละเมิดสิทธิมนุษยชนของทางการไทย
พร้อมทั้งกล่าวว่า เรายังมีความกังวลต่อกรณีการฟ้องคดีต่อผู้ชุมนุมโดยสงบคนอื่นๆ รวมทั้งกรณีของ รุ้ง ปนัสยา ซึ่งได้ถูกแจ้งข้อหาในคดีอาญาเพิ่มเติมจากการชุมนุมโดยสงบเมื่อวันที่ 22 กันยายนที่ผ่านมา
ตั้งแต่ปีที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบันมีบุคคลอย่างน้อย 1,634 คน รวมถึงเด็กและเยาวชนอายุต่ำกว่า 18 ปี จำนวน 257 คน ใน 166 คดี ถูกดำเนินคดีอาญาเพียงเพราะใช้สิทธิเสรีภาพในการแสดงออกและการชุมนุมโดยสงบ ซึ่งหลายคนเสี่ยงที่จะได้รับโทษจำคุกเป็นเวลานาน อาจถึงขั้นถูกจำคุกตลอดชีวิต
โดยทาง แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล มีข้อเรียกร้องถึงรัฐบาลไทย คือ
1. ยุติการดำเนินคดีอาญาทั้งปวงโดยทันทีต่อบุคคลที่ตกเป็นเป้าหมาย เพียงเพราะใช้สิทธิมนุษยชนของตนเอง และปล่อยตัวผู้ที่ถูกควบคุมตัวโดยพลการในขณะนี้
2. อนุญาตให้บุคคลสามารถแสดงความเห็นของตนและสามารถชุมนุมโดยสงบได้ และไม่กำหนดเงื่อนไขการประกันตัวจนเกินขอบเขตที่อาจเป็นการจำกัดการใช้สิทธิของพวกเขาโดยพลการ
3. ให้ดำเนินการสอบสวนโดยทันที อย่างรอบด้าน ไม่ลำเอียง และโปร่งใสต่อการรายงานที่ว่ามีการใช้กำลังโดยไม่จำเป็นและเกินกว่าเหตุของเจ้าหน้าที่ตำรวจระหว่างการควบคุมตัวบุคคลและควบคุมการชุมนุมในทุกกรณี ให้นำตัวผู้ต้องสงสัยเข้าสู่กระบวนการไต่สวน และให้ประกาศใช้แนวปฏิบัติของตำรวจที่สอดคล้องกับมาตรฐานระหว่างประเทศ รวมทั้งหลักการพื้นฐานขององค์การสหประชาชาติว่าด้วยการใช้กำลังและอาวุธปืนของเจ้าหน้าที่ผู้บังคับใช้กฎหมาย
ขณะเดียวกัน THE TRUTH ยังโพสต์ประเด็น จับโป๊ะ! แหก “แอมเนสตี้” แคมเปญจดหมายล้านฉบับ ช่วย “รุ้ง” ใส่ข้อมูลมั่ว ลงชื่อได้ไม่อั้น แถมถ้อยคำยังบิดเบือน
เนื้อหาระบุว่า หลังจาก แอมเนสตี้ ออกมาเปิดตัวแคมเปญ ‘Write for Rights’ – เขียน เปลี่ยน โลก แคมเปญรณรงค์สิทธิมนุษยชนประจำปีที่ใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งผู้คนนับล้านทั่วโลกมารวมตัวกันเพื่อปกป้องสิทธิของผู้อื่น กิจกรรมนี้จัดต่อเนื่องมาเป็นปีที่ 20 และในปีนี้เคสของ “รุ้ง ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล” ได้ส่งถึงผู้สนับสนุนของแอมเนสตี้ทั่วโลกให้ช่วยกันส่งข้อเรียกร้องถึงรัฐบาลไทย เพื่อให้ยุติการดำเนินคดีและข้อกล่าวหาทั้งหมดต่อรุ้ง พร้อมทั้งจี้ให้รัฐบาลไทยหยุดดำเนินคดีกับ รุ้ง ปนัสยา และปล่อยตัวให้เป็นอิสระ
ทั้งนี้ พบว่า ในเว็บไซต์ Amnesty International Thailand โพสต์ให้คนทั่วโลกเข้ามาลงชื่อ เพื่อช่วยรุ้ง ปนัสยา ซึ่งมีรายละเอียดตั้งเป้าไว้ที่ 10,000 รายชื่อ แต่ตอนนี้พบว่ายังไม่ถึงเกณฑ์ หลังจากที่มีการเปิดตัวไปเมื่อวันที่ 16 พ.ย. 2564
นอกจากนี้ ยังมีถ้อยคำจากรุ้ง เขียนในจดหมาย ระบุด้วยว่า “รุ้ง ปนัสยา-ในนามของแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ฉันอาจถูกจําคุกตลอดชีวิตเพียงเพราะใช้สิทธิในเสรีภาพการชุมนุมโดยสงบ และออกมาเรียกร้องความเสมอภาคเสรีภาพ และการปฏิรูปสถาบัน ฉันต้องเผชิญข้อหาหลายสิบข้อ และหากพบว่ามีความผิด ฉันอาจจะต้องถูกจำคุกตลอดชีวิต ข้อความของพวกคุณมีพลังมาก คุณจะช่วยให้ฉันมีอิสระได้”
โดยในจดหมายถ้อยคำของรุ้ง จะเห็นว่า เจ้าตัวอ้างเรื่องการชุมนุมโดยสงบ และไม่ได้กล่าวถึงความผิดในมาตรา 112 หรือคดีอื่นๆ ที่ตนเองกระทำลงไปแม้แต่น้อย รวมไปถึงคำว่า การปฏิรูปสถาบัน ที่เจ้าตัวมักอ้างอยู่บ่อยๆ บนทวิตเตอร์ส่วนตัว ก็พบว่า ที่จริงแล้วเข้าข่ายล้มล้าง ดังที่ศาล รธน.ได้วินิจฉัย เพราะในโลกโซเชียลเคยจับโป๊ะ ที่รุ้งอ้างว่า ไม่ได้จะปฏิวัติ แต่จะปฏิรูป แต่เมื่อย้อนไปในการชุมนุมวันที่ 10 ส.ค. 2563 แบ็กกราวนด์บนเวทีปราศรัย กลับมีคำว่า “เราไม่ต้องการปฏิรูป แต่เราต้องการปฏิวัติ” ปรากฏอยู่ด้วย
อย่างไรก็ตาม ในส่วนของการลงชื่อร่วมแคมเปญ พบว่า ให้กรอกข้อมูลเพียงไม่กี่อย่าง เพียงชื่อ นามสกุล เบอร์โทร อีเมล และเมืองที่อยู่ รวมทั้งยังสามารถกรอกข้อมูลที่ไม่เป็นจริงลงไปได้ โดยระบบก็จะนับชื่อว่าลงร่วมแคมเปญสนับสนุนช่วย รุ้ง ปนัสยา เรียบร้อยแล้ว
นอกจากนี้ การออกมาเคลื่อนไหวของแอมเนสตี้ ที่มีต่อรุ้ง ทำให้ประชาชนไทยจำนวนมาก ลุกฮือขึ้นมาต่อต้าน และเรียกร้องให้มีการไล่องค์กรของแอมเนสตี้ให้พ้นประเทศไทยด้วย
ขณะที่ นายนพดล พรหมภาสิต อดีตเลขาศูนย์ช่วยเหลือด้านกฎหมายผู้ถูกล่วงละเมิด bully ทางสังคมออนไลน์ (ศชอ.) ได้ออกมาโพสต์เฟซบุ๊กถึงแอมเนสตี้สั้นๆ ด้วยว่า
“วันพฤหัสบดี ที่ 25 พฤศจิกายน 2564 เวลา 11.00 น. ปฏิบัติการขับไล่ แอมเนสตี้ ที่หน้าทำเนียบ”
แน่นอน, ประเด็นที่น่าสนใจ ก็คือ การบิดเบือนความจริงของ “รุ้ง” และ “แอมเนสตี้” ต่อชาวโลก โดยเฉพาะกรณีขบวนการสามนิ้วถูกดำเนินคดี และการถูกละเมิดสิทธิ ซึ่งอาจทำให้ชาวโลกเข้าใจผิดได้
เพราะความจริง การเคลื่อนไหวของ “รุ้ง” และขบวนสามนิ้วนั้น เป็นการเคลื่อนไหวล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยเอาไว้อย่างชัดเจน (คดีปราศรัยเรียกร้องปฏิรูปสถาบัน 10 ข้อ) และศาลฯยังวินิจฉัยด้วยว่า การเคลื่อนไหวของ “รุ้ง” และเพื่อน ไม่ใช่การใช้สิทธิเสรีภาพอย่างถูกต้องตามรัฐธรรมนูญ
ชัดเจนว่า เป็นการทำผิดกฎหมายอย่างร้ายแรง ทั้งยังห้ามไม่ให้มีการเคลื่อนไหวเรื่องนี้อีก รวมทั้งผู้ร่วมมือ ผู้ให้การสนับสนุนก็ถือเป็นความผิดด้วย
นอกจากคดีนี้ ยังพบอีกหลายคดีที่มีการปราศรัยจาบจ้วงล่วงละเมิดสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งเข้าข่ายความผิดตาม ป.อาญา ม.112 (หมิ่นสถาบันฯ) และอัยการกำลังทยอยส่งฟ้องต่อศาล
ที่สำคัญ “รุ้ง” และแกนนำสามนิ้ว ยังมีพฤติกรรมทำผิดซ้ำหลังศาลให้ประกัน อันถือว่า ผิดเงื่อนไขการให้ประกันของศาล ซึ่งระบุเอาไว้ในการให้ประกันตัวอย่างชัดเจน ด้วยเหตุนี้ ศาลจึงมีการสั่งถอนประกัน และในคดีหลังๆ ศาลจึงไม่ให้ประกัน เพราะพฤติกรรมผิดเงื่อนไขศาล และทำผิดซ้ำอย่างไม่กลัวเกรงหรือเคารพคำสั่งศาล ไม่เพียงเท่านั้น ยังทำผิดซ้ำในลักษณะทำความเสื่อมเสียให้กับสถาบันฯด้วย
นอกจากนี้ การถูกจับและถูกดำเนินคดีของเหล่าแกนนำสามนิ้ว และมวลชน ล้วนเป็นการทำผิดจากการชุมนุมที่ไม่เป็นไปตามกฎหมายรัฐธรรมนูญให้สิทธิเสรีภาพเอาไว้ คือ โดยสงบ สันติ และปราศจากอาวุธ แม้เริ่มแรกจะไม่มีอะไร
แต่ก็ยกระดับความรุนแรงขึ้นเรื่อยมา ทั้งการปราศรัยจาบจ้วงสถาบันฯ การมุ่งสร้างสถานการณ์ความรุนแรง การเผาทำลายสัญลักษณ์ของสถาบันฯ การใช้อาวุธปะทะกับเจ้าหน้าที่ คฝ. การเผาทำลายทรัพย์สินราชการ ป้อมตำรวจ รถตำรวจ ฯลฯ
ทั้งหมดคนไทยรู้ดี และเข้าใจดีว่า ทางการไทยไม่ได้ใช้ความรุนแรงเกินกว่าเหตุ และทำตามหลักสากล หรือเป็นผู้ริเริ่มละเมิดสิทธิประชาชนก่อน โดยการใช้อำนาจ แต่เป็นเพราะการเคลื่อนไหวทางการเมืองที่ไม่เคารพกฎหมาย และสิทธิของผู้อื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการประท้วงล่วงละเมิดต่อสถาบันฯ ที่ “รุ้ง” และ “แอมเนสตี้” จงใจที่จะไม่ให้ความจริงทั้งหมดในการรณรงค์ต่อชาวโลกเลยแม้แต่น้อย
เห็นหรือยังว่า เกิดอะไรขึ้นในประเทศไทย และสิ่งที่ขบวนการสามนิ้วต้องการ ให้มีการแทรกแซงประเทศไทย มันได้เกิดขึ้นแล้ว จริงหรือไม่ก็ลองตรองดู!!!