องค์กรเลือกข้าง? “แอมเนสตี้” พลาดมหันต์ ป้อง “รุ้ง ปนัสยา” เป็นการใหญ่ โซเชียลแห่ติด #GETOUT ไล่พ้นประเทศไทย ฟังนะแค่นักข่าว UN “ศักดิ์ เจียม” บิดเบือนเป็นตัวแทน หลอก “สามนิ้ว” โดดงับจนหน้าแหก “หมอวรงค์” ปลื้ม ได้ “ณฐพร” เป็นทนาย “สู้คดี 100 ล้าน”
น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (21 พ.ย. 64) เพจเฟซบุ๊ก THE TRUTH โพสต์ประเด็น พลาดแล้ว! แอมเนสตี้ ออกตัวป้อง “รุ้ง ปนัสยา” โซเชียลยิ่งขุดหลักฐานแฉ พร้อมติด #GETOUT ไล่
โดยระบุว่า จากกรณีแอมเนสตี้ ไทยแลนด์ ออกมาประกาศแคมเปญ จะเขียนจดหมายล้านฉบับ ถึงทั่วโลก จี้ทางการไทยหยุดดำเนินคดีกับ “รุ้ง ปนัสยา”
ต่อมา นายเสกสกล อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี ตอบข้อซักถามของ นายเทพมนตรี ลิมปพยอม นักวิชาการอิสระด้านประวัติศาสตร์และนักเทววิทยา ที่ออกมาระบุให้ตน ในฐานะผู้ช่วยรัฐมนตรี ที่ติดสอยห้อยตามลุงตู่ อยู่เคียงข้าง ทำรายงานเสนอให้นายกฯขับองค์กรแอมเนสตี้ออกจากประเทศไป น่าจะง่ายกว่าการล่ารายชื่อ 1 ล้านรายชื่อ ทำวันนี้ พรุ่งนี้ก็จบ จะเสียเวลาทำไม ตรงๆ ง่ายๆ
โดย นายเสกสกล ระบุว่า ตนคิดไว้ทั้งสองแนวทาง ทางที่หนึ่งในข้อกฎหมายขอดูรายละเอียดให้ชัดเจนจะได้ไม่ผิดพลาด ส่วนทางที่สอง ต้องเอากระแสสังคมประชาชน มาช่วยกดดัน จะได้ไม่ถูกพวกฝ่ายค้านพวกเดียวกับองค์กรนี้ รุมถล่มว่า ใช้อำนาจรัฐรังแก หรือว่าบ้าอำนาจ สุดท้ายนายกฯโดนทั้งขึ้นทั้งล่อง คิดจะใช้อำนาจมันง่าย แต่ทำอะไรที่จะส่งผลต่อความเสียหาย รัฐบาลก็ต้องรอบคอบรัดกุมสักนิด แต่องค์กรแบบนี้เอาไว้ไม่ได้ ต้องช่วยกันทุกรูปแบบทุกช่องทางขจัดออกไปจากบนผืนแผ่นดินนี้ให้ได้
ล่าสุด เพจเฟซบุ๊ก แอมเนสตี้ ไทยแลนด์ Amnesty International Thailand ออกมาโพสต์เรื่องราวของรุ้งอย่างจงใจ ระบุว่า “ถ้าเราทุกคนต่างมีเรื่องราวเป็นของตัวเอง แล้วสำหรับคุณ.. #รุ้งปนัสยา เป็นใครในเรื่องราวของคุณ?” และมีการถ่ายทอดความน่ารักของรุ้ง ในมุมของพี่ๆ น้องๆ และเพื่อนของรุ้ง พร้อมเรียกร้องให้หยุดดำเนินคดีรุ้ง
ทั้งนี้ โพสต์ดังกล่าว ได้มีคอมเมนต์จากโซเชียล เข้าไปติด #GETOUT ไล่องค์กรแอมเนสตี้ให้พ้นไปจากแผ่นดิน บางคอมเมนต์ยังบอกอีกว่า เป็นองค์กรที่สร้างความแตกแยก ถ้าเด็กไม่ทำผิด จะติดคุกมั้ย ยิ่งอยู่นานยิ่งสร้างความแตกแยกให้ประเทศไทย
ไม่เพียงเท่านั้น เพจเฟซบุ๊ก Amnesty ที่เปิดขึ้นมาให้กำลังใจรุ้ง ได้ลงภาพ พร้อมข้อความที่รุ้ง เคยกล่าวไว้ตอนขึ้นเวทีปราศรัย ล้วนมีคำหยาบคายที่รุ้งพูด และข้อความที่พาดพิงสถาบันฯ ทำให้หลายคนมองว่า แอมเนสตี้พลาดแล้วจริงๆ ยิ่งเป็นหลักฐานมัดชั้นดี ว่ารุ้งทำผิดตามมาตรา 112
อย่างไรก็ตาม ในโลกออนไลน์เริ่มมีกระแสวิพากษ์วิจารณ์ องค์กรแอมเนสตี้ในไทยอย่างกว้างขวาง และประชาชนบางส่วนก็จี้ให้รัฐบาลจัดการเรื่องนี้ อย่าปล่อยให้ปัญหาบานปลายเพราะองค์กรเดียว ที่เข้ามาทำลายประเทศไทย
ขณะเดียวกัน THE TRUTH ยังโพสต์ประเด็น ก๊วนสามนิ้ว โดนหลอกหน้าแหกทั้งขบวน หลังอ้าง UN เคลื่อนไหว ต่อต้านคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ
เนื้อหาระบุว่า สืบเนื่องจากกรณีเมื่อวันที่ 20 พ.ย. 64 นายเคลม็องต์ วูล ได้โพสต์ข้อความผ่านทวิตเตอร์ส่วนตัว ในประเด็นที่หลายคนต่างมองว่า กำลังแทรกแซงกฎหมายประเทศอื่น โดยระบุว่า
“ผิดหวังกับคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญต่อการเรียกร้องให้ปฏิรูปราชวงศ์ เป็นความพยายามที่จะล้มล้างสถาบัน ในการพิจารณาคดีผู้ชุมนุม 3 คน”
แล้ว สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล ผู้ต้องหาคดีมาตรา 112 ที่ปัจจุบันลี้ภัยที่ประเทศฝรั่งเศส ก็โพสต์ข้อความดังกล่าว แต่ที่น่าสนใจและบิดเบือนเป็นอย่างยิ่ง ก็คือ การลงท้ายข้อความว่า เคลมองต์ วูล คือ ตัวแทน UN
ทำให้กลุ่มสามนิ้วและผู้สนับสนุนสามนิ้วงับข่าวนี้อย่างจัง แต่ถึงอย่างไรก็ยังมีคนตั้งคำถามเพราะเห็นถึงความผิดสังเกต เช่นว่า ตัวแทน UN = UN ให้ออกมาพูดแทน? , “ตัวแทน” ?????
หลังจากนั้น สื่อของประเทศไทย ที่ชัดเจนว่าให้การสนับสนุนกลุ่มผู้ชุมนุมมาตลอด ก็นำประเด็นนี้มาขยายผลเพื่อให้เกิดความน่าเชื่อถือ จนกลายเป็นประเด็นที่ถูกพูดถึง และนำมาสร้างความชอบธรรมให้กลุ่มผู้ชุมนุม ทำให้หลายๆ คนต่างเข้าใจผิดว่า UN มีการเคลื่อนไหว และประณามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญไทย
ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว นายเคลม็องต์ วูล เป็นเพียงแค่นักข่าวในสังกัด UN ไม่ต่างกับนักข่าวในประเทศไทย อย่างเช่น ผู้ประกาศหลายๆ คน ที่อยู่ในสังกัดช่องดัง การแสดงความคิดเห็นใดๆ จึงเป็นความคิดเห็นส่วนตัว ไม่ใช่แถลงการณ์ หรือ เป็นมุมมองของต้นสังกัดแต่อย่างใด แต่นักข่าวที่ดีต้องอยู่บนจรรยาบรรณสื่อ อย่าใช้อคติหรือความเห็นส่วนตัวมาตัดสิน โดยเฉพาะมาก้าวก่ายกิจการภายในประเทศอื่น
ที่น่าสนใจไม่แพ้กัน THE TRUTH โพสต์ประเด็น “นพ.วรงค์” ฮึดสุดใจ เปิดตัวทนายสู้คดี 100 ล้าน ระดับพระกาฬ “มือปราบขบวนการล้มล้าง”
โดยระบุว่า สืบเนื่องจากที่ศาลได้ส่งหมายถึง นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม หัวหน้าพรรคไทยภักดี ว่า บริษัท กัลฟ์ ฟ้องต่อศาลแพ่งกรุงเทพใต้และศาลได้ออกหมายกำหนดให้ “นพ.วรงค์” ยื่นคำให้การแก้คดีต่อศาลภายใน 15 วัน นับตั้งแต่วันที่รับหมายนัด และกำหนดแนวทางการดำเนินคดีหรือสืบพยานโจทก์วันที่ 27 ธ.ค. 64 เวลา 09.00 น. โดยฟ้องเรียกค่าเสียหาย 100 ล้านบาท หลังจากที่โดนขุดคุ้ยประเด็นดาวเทียมไทยคม
ล่าสุด นพ.วรงค์ โพสต์เฟซบุ๊ก ว่า
“#ขอขอบคุณมือปราบขบวนการล้มล้าง
ตามที่บริษัท กัลฟ์ ฟ้องผม 100 ล้านบาท เรื่องการทวงคืนดาวเทียมไทยคม นี่คือ วิธีการฟ้องปิดปาก เพื่อให้ประชาชนเกรงกลัว เป็นวิธีการที่พวกทุนนิยมใช้กัน
ล่าสุด ผมได้ท่านอาจารย์ ดร.ณฐพร โตประยูร “มือปราบขบวนการล้มล้าง” อาสามาเป็นทนายความให้ครับ
ผมคิดว่า ปัญหาประเทศ ยังคงหนีไม่พ้นทุนผูกขาด ทุนสัมปทาน ที่สนับสนุนพรรคการเมือง นักการเมือง เอื้อประโยชน์ราชการ และมากอบโกยสมบัติชาติ
ปัญหานี้คือรากเหง้าของปัญหา นำไปสู่การทุจริตคอร์รัปชันของประเทศ ที่พวกเราจะต้องเข้าไปแก้ไข ให้โปร่งใส และกระจายผลประโยชน์ให้ถึงประชาชน
ต้องขอขอบคุณอาจารย์ ดร.ณฐพร โตประยูร อีกครั้งครับ ที่เข้ามาช่วยเป็นทนายความให้ผมครับ”
แน่นอน, ประเด็นที่น่าสนใจ ก็คือ ความพยายามที่จะฟ้องโลกของ ขบวนการสามนิ้ว เพื่อกดดันให้ทางการไทย หยุดดำเนินคดีแกนนำสามนิ้ว โดยเฉพาะองค์กรเอ็นจีโอด้านสิทธิมนุษยชน อย่าง “แอมเนสตี้” และ UN
เห็นได้ชัดว่า พวกขบวนการสามนิ้ว มองข้ามหัวทุกองค์กรในไทยไปแล้ว?
แต่ประเด็นก็คือ คำพิพากษาของศาลรัฐธรรมนูญ ไม่ใช่ของรัฐบาล และไม่เกี่ยวกับรัฐบาล หากแต่เป็นองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ ที่มีอำนาจหน้าที่ในการวินิจฉัยความผิดต่อรัฐธรรมนูญ ซึ่งกรณีแกนนำสามนิ้ว 3 คน ปราศรัยจาบจ้วงสถาบันฯ ในการเรียกร้อง “ปฏิรูปสถาบันฯ 10 ข้อ” โดยอ้างเป็นการใช้สิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญนั้น ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า เป็นการล้มล้างการปกครองฯ และอ้างไม่ได้ว่า เป็นการใช้สิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ (รายละเอียดศาลฯแจกแจงไว้หมดแล้ว) และศาลฯยังสั่งให้หยุดเคลื่อนไหวเรื่องนี้ รวมถึงการสนับสนุนต่างๆ ด้วย
เพราะฉะนั้น ถ้าพลเมืองในประเทศที่เคารพกฎหมาย โดยเฉพาะประเทศประชาธิปไตย ทุกอย่างก็คงจบไปแล้ว แต่เนื่องจากกลุ่มเรียกร้องประชาธิปไตยในไทย ไม่เคารพกฎหมาย เสมือนต้องการเป็น “อภิสิทธิ์ชน” ขณะที่ปากก็ต่อต้าน “อภิสิทธิ์ชน” แถมหาพวกหาพ้องในประเทศประชาธิปไตย ที่คนส่วนใหญ่ของประเทศเหล่านั้น เคารพกิจการภายในของประเทศอื่น จึงนับว่า น่าอายทั้งคนที่หาเพื่อนหาพวกมาช่วย และคนที่เข้ามาแทรกแซงกิจการภายใน ไม่ว่าจะหวังผลทางการเมืองหรือไม่ก็ตาม
เหนืออื่นใด ถ้าสิ่งที่องค์กรต่างประเทศเคลื่อนไหว แล้วทำให้กิจการภายในของไทยคล้อยตาม นั่นก็เท่ากับว่า ประเทศไทยหมดสิ้นแล้ว ซึ่งอำนาจอธิปไตย จริงหรือไม่ คิดดูเอาเอง