xs
xsm
sm
md
lg

“บิ๊กตู่” รุกมวลชน ขยับเพิ่ม รมต.ภาคใต้

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



เมืองไทย 360 องศา

“คิดไว้เฉยๆ” นั่นคือคำพูดของ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ตอบคำถามผู้สื่อข่าวถึงเรื่องที่กลุ่มส.ส.ภาคใต้ ต้องการให้มีรัฐมนตรี ที่เป็นตัวแทนจากภาคใต้บ้าง และคำถามเรื่องการปรับคณะรัฐมนตรีแทนตำแหน่งที่ยังว่างอยู่สองเก้าอี้

แม้ว่า นายกรัฐมนตรียังยืนยันว่า“ยังไม่ปรับคณะรัฐมนตรี” ในช่วงเวลานี้ก็ตาม อย่างไรก็ดีเมื่อคำพูดที่ว่า “คิดไว้เฉยๆ” สำหรับโควตารัฐมนตรีในภาคใต้ในอนาคตอันใกล้ ถือว่ายัง “เป็นไปได้สูง” ทีเดียว

อย่างไรก็ดี ก่อนที่จะเดินไปข้างหน้าก็ต้องย้อนมาทบทวนกันว่า เวลานี้สำหรับพรรคพลังประชารัฐ มีตำแหน่งรัฐมนตรีว่างลงอยู่สองตำแหน่ง หลังจาก ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า เลขาธิการพรรค ถูกปลดพ้นจากรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรฯและ นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ พ้นจากรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน

แม้ว่าการว่างลงของสองตำแหน่งรัฐมนตรีดังกล่าวจะ “ไม่มีผลกระทบ” ในการบริหารงานภายในรัฐบาล เพราะเป็นระดับรัฐมนตรีช่วยว่าการ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงานนั้น ว่ากันตามจริง ไม่จำเป็นต้องมีก็ได้ เพราะกระทรวงแรงงานเป็นกระทรวงเล็ก แค่รัฐมนตรีว่าการคนเดียวก็เกินพอแล้ว

แต่สำหรับในทางการเมืองมันก็ย่อมมีผล ทั้งในเรื่องของการสร้างผลงานเพื่อหาคะแนนนิยม และยังรวมไปถึงการแก้ปัญหาภายในพรรค โดยเฉพาะในเรื่องของ “การถ่วงดุล” กันภายใน หรือเกมที่เรียกว่า “บาลานซ์ออฟพาวเวอร์” ซึ่งในที่นี้ย่อมหมายถึงพรรคพลังประชารัฐ ที่เวลานี้กำลังมองกันว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มีความพยายามเข้ามามีบทบาทมากขึ้น หลังจากเกิดกรณีการเคลื่อนไหว “กบฏ” ท้าทายอำนาจเมื่อครั้งมีการ “ซักฟอก” ในสมัยประชุมคราวที่แล้ว

ลักษณะดังกล่าวที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อยู่ในลักษณะที่เรียกว่า “ขาลอย” ซึ่งเชื่อว่าเขาต้องการปิดจุดอ่อนตรงนี้ โดยเริ่มจากการปรับเปลี่ยนท่าทีใหม่ ที่เน้นเข้าหา สร้างความใกล้ชิดกับส.ส.ภายในพรรคพลังประชารัฐมากขึ้นกว่าเดิม มีการรับฟังปัญหาในลักษณะที่เข้าถึงได้ง่ายกว่าที่เคยเป็นมาก่อนหน้านี้ อีกทั้งหากสังเกตให้ดีจะเห็นว่า เขาจะเริ่มมีความแนบแน่นกับ “บางกลุ่ม” ภายในพรรค เช่น กลุ่มสามมิตร กลุ่มภาคตะวันออก กลุ่มภาคกลาง หรือกลุ่มเพชรบูรณ์ เป็นต้น

ในช่วงที่ผ่านมาจะเห็นความเคลื่อนไหวบางอย่าง เช่น มีรัฐมนตรีหลายคนที่ติดตามนายกรัฐมนตรีไปปฏิบัติภารกิจร่วมอยู่ตลอดเวลา นอกเหนือจากพล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย หนึ่งในสามป. แล้วยังมีนายสุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงงาน แกนนำกลุ่มภาคตะวันออก นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี จากกลุ่มสามมิตร และแกนนำคนอื่นๆ เช่น นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.ยุติธรรม นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.อุตสาหกรรม เป็นต้น รวมไปถึง นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม

นอกเหนือจากนี้ ยังมีการเคลื่อนไหวในการส่งคนใกล้ชิดเข้าไปมีบทบาทในพรรคพลังประชารัฐในหลายตำแหน่ง เช่น นายสมศักดิ์ เทพสุทิน เป็นที่ปรึกษาหัวหน้าพรรค และ นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ที่ปรึกษานายกฯ ไปเป็นที่ปรึกษาหัวหน้าพรรค และกำลังทำภารกิจสำคัญ นั่นคือ ได้รับมอบหมายให้ “ร่างพิมพ์เขียว” เพื่อปรับโครงสร้างพรรคพลังประชารัฐในเร็วๆนี้ ซึ่งเชื่อว่ามีเป้าหมายเพื่อการ “ถ่วงดุล” กันภายในระหว่างกลุ่มก๊วนต่างๆ ภายในพรรค

ที่สำคัญยังเป็นความเคลื่อนไหวเพื่อการเข้ามามีบทบาทภายในพรรคพลังประชารัฐของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มากขึ้น อย่างน้อยก็เพื่อแก้ปัญหาสภาพ “ขาลอย” สร้างหลักประกันความเสี่ยงมากขึ้นกว่าเดิม

เมื่อวกมาที่เรื่องการปรับคณะรัฐมนตรีที่แม้ว่า นาทีนี้ พล.อ.ประยุทธ์ ไม่จำเป็นต้องรีบร้อน เพราะเมื่อพิจารณาตามรูปการณ์แล้ว เหมือนกับว่า “เริ่มกุมสภาพ” ได้มากขึ้นกว่าเดิม จากการที่ไม่มีใครอยากเลือกตั้งในช่วงเวลาอันใกล้นี้ เพราะยังไม่พร้อมกันทั้งหมด อีกทั้งที่ผ่านมาก็มีรายงาน ซึ่งเขาได้เคลียร์ใจกับ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า กันไประดับหนึ่งแล้ว ลักษณะโดยรวมจึงออกมาในแบบ “รอมชอม” เพื่อประคับประคองรักษาสถานะของรัฐบาลจนครบวาระ

ทั้งนี้เนื่องจากยังมีภารกิจสำคัญที่ต้องปฏิบัติ นั่นคือ การเป็นเจ้าภาพการประชุมสุดยอดผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเซีย-แปซิฟิก หรือ “เอเปก” ถือว่าเป็นงานใหญ่ระดับโลก ซึ่งไทยรับไม้ต่อจากนิวซีแลนด์ เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน ต่อเนื่องไปถึงปีหน้า นอกเหนือจากนี้ยังมีเรื่องกฎหมายสำคัญที่ต้องพิจารณาในสภา ที่ต้องผ่านให้ได้

อย่างไรก็ตามหากพิจารณาโฟกัสที่การปรับคณะรัฐมนตรี โดยอาจปรับเพิ่มตำแหน่งรัฐมนตรีในโควตาภาคใต้ ก็ทำให้น่าติดตามเป็นอย่างยิ่ง เพราะที่ผ่านมาส.ส.ภาคใต้ของพรรคพลังประชารัฐ สามารถสร้างเซอร์ไพรส์ “ล้มแชมป์” อย่างพรรคประชาธิปัตย์ เข้ามาได้ถึง 13 ที่นั่ง และบวกจากการเลือกตั้งซ่อมที่ จ.นครศรีธรรมราช อีก 1 ที่นั่ง รวมเป็น 14 ที่นั่ง ถือว่าไม่น้อย ซึ่งสาเหตุที่ชนะเลือกตั้งดังกล่าวมองว่าเป็นเพราะ “กระแสลุงตู่” นั่นเอง

หากกล่าวอย่างนี้ ในทางการเมืองมันก็เป็นเรื่องธรรมดา และสมควรที่ต้อง “ตอบแทน” คนใต้เหมือนกัน เพราะสิ่งที่เห็นก็คือเมื่อใดก็ตามที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เดินทางลงภาคใต้ จะได้รับการต้อนรับจากประชาชนอย่างอบอุ่น และน่าประทับใจทุกครั้ง แม้แต่ครั้งล่าสุดที่มีการประชุมครม.สัญจรที่ จ.กระบี่และ ตรัง รวมไปถึงการตรวจราชการในจังหวัดแถบอันดามัน ราว 6 จังหวัด ก็ประทับใจจนนายกฯถึงกับบอกว่า “มีความประทับใจ” และมีความสุข เพราะที่ภาคใต้ถือว่าเป็น “ฐานเสียง” อันเหนียวแน่นของเขา

เมื่อพิจารณาในมุมนี้อ มันก็เป็นไปได้ที่จะต้องมีการพิจารณา “เพิ่มตำแหน่งรัฐมนตรีในโควต้าภาคใต้” หนึ่งเก้าอี้ ซึ่งอาจจะเป็นครั้งแรกก็ได้ที่จะมีรัฐมนตรีมาจากจังหวัดชายแดนภาคใต้ เช่น นายสัมพันธ์ มะยูโซ๊ะ ส.ส.นราธิวาส ซึ่งเป็นกรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐ หรืออาจเป็น ส.ส.สงขลา คนใดคนหนึ่ง ก็เป็นไปได้ อย่างน้อยก็เพื่อการรักษาฐานเสียงเดิม รวมไปถึงการรุกฐานมวลชนในการเลือกตั้งคราวหน้าก็เป็นไปได้

ดังนั้น หากมองในมุมการเมือง และการรุกคืบเพื่อสร้างความมั่นคงในภาคใต้เพื่อรองรับการเลือกตั้งในอนาคต มันก็ต้องมีรัฐมนตรีโควตาภาคใต้สักหนึ่งเก้าอี้ อย่างน้อยเป็นการรักษาความนิยม รักษา “กระแสลุงตู่” เอาไว้ แต่ถึงอย่างไรคงไม่ต้องรีบร้อน เหมือนกับที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ระบุเอาไว้ว่า “คิดเอาไว้เฉยๆ” เพราะคงให้ตกผลึกให้ลงตัว หรืออาจรอ “ใครบางคน” ที่จะมารับตำแหน่งทางการเมืองหลังจากครบเงื่อนไข “สองปี” ในเดือนกันยายนปีหน้า ก็อาจเป็นได้ หรือไม่ก็ปรับไปก่อน แค่หนึ่งเก้าอี้ในต้นปีหน้า ก็ต้องจับตา แต่งานนี้เป็นการจับมือกันระหว่าง “พี่ใหญ่” กับ “น้องเล็ก” เท่านั้น !!



กำลังโหลดความคิดเห็น