xs
xsm
sm
md
lg

“ทีมลุงตู่” จังหวะรุกคืบ เปลี่ยน ปธ.วิปรัฐบาล !?

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


วิรัช รัตนเศรษฐ - พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
เมืองไทย 360 องศา

น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง หลังจากศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ประทับฟ้องคดี นายวิรัช รัตนเศรษฐ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ กับพวกรวม 87 คน ในคดีทุจริตสนามฟุตซอลโรงเรียน ใน จ.นครราชสีมา ส่งผลให้ นายวิรัช นางทัศนียา รัตนเศรษฐ ส.ส.นครราชสีมา ภรรยา และ นางทัศนาพร เกษเมธีการุณ ส.ส.นครราชสีมา น้องสาวของนางทัศนียา รวม ส.ส. 3 เสียง ของพรรคพลังประชารัฐ ต้องหยุดการปฏิบัติหน้าที่โดยทันที

แน่นอนว่า การต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ของ นายวิรัช รัตนรษฐ ย่อมมีผลกระทบทั้งต่อรัฐบาล ต่อพรรคพลังประชารัฐ และที่สำคัญก็คือ เป็นการกระทบต่อ “ดุลการเมือง” ของพวกเขา ทั้งในพรรคและอาจจะขยายวงไปถึงตำแหน่งรัฐมนตรีในรัฐบาลอีกด้วย

แม้ว่าคดีทุจริตสนามกีฬาฟุตซอลในจังหวัดนครราชสีมา จะยืดเยื้อยาวนานหลายปี จนแม้กระทั่งทางคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช.มีมติชี้มูลความผิดคดีดังกล่าวมานานนับปีแล้ว และกว่าจะมีถึงขั้นตอนของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง จะประทับรับฟ้อง จนส่งผลให้ นายวิรัช รัตนเศรษฐ และคนในครอบครัวรวม 3 คน ที่เป็น ส.ส.นครราชสีมา พรรคพลังประชารัฐ ต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ ส.ส.ก็ยังใช้เวลานานหลายเดือน แต่ขณะเดียวกัน การประทับรับฟ้องของศาลฎีกาฯ ก็บังเอิญว่าเกิดขึ้นก่อนการประชุมสภาฯ ในวันที่ 3 พฤศจิกายน เพียง 1 วันเท่านั้น

อย่างไรก็ดี กรณีการหยุดปฏิบัติหน้าที่ ส.ส.ของ นายวิรัช รัตนเศรษฐ และคนในครอบครัวที่ต้องหยุดทำหน้าที่ ส.ส.รวม 3 คน ดังกล่าว ทำให้เสียงของฝ่ายรัฐบาลหายไป 3 เสียง แม้ว่านาทีนี้ยังไม่ถือว่ากระทบ เพราะเสียงของรัฐบาลรวมกันเลยระดับปริ่มน้ำมาหลายสิบเสียงแล้ว แต่ที่น่าสนใจยิ่งกว่านั้นก็เพราะเขายังมีตำแหน่งเป็นประธานวิปของพรรคพลังประชารัฐ และเป็นประธานวิปของรัฐบาลอีกด้วย

ขณะเดียวกัน เมื่อพิจารณาจาก “แบ็กกราวนด์” ที่ผ่านมา นายวิรัช รัตนเศรษฐ ถือว่า เป็น “กลุ่มก๊วน” ที่มีความแบบแน่นอยู่กับ ก๊วนของ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า เลขาธิการพรรค และถือว่ามีอิทธิพลในพรรคไม่น้อย เพราะหากพิจารณาจากตำแหน่งทั้งในพรรค และรัฐบาล นอกจากตัวเขาที่เป็นประธานวิปรัฐบาลที่มีบทบาทมากมายแล้ว เขายังเป็นรองหัวหน้าพรรค และยังผลักดันให้ลูกชาย คือ นายอธิรัฐ รัตนเศรษฐ ขึ้นเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม และเป็นหนึ่งในคณะกรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐอีกด้วย เรียกว่า “ครอบครัวรัตนเศรษฐ” มีพลังไม่เบา

การผนึกกำลังที่แนบแน่นทั้งในพรรคและรัฐบาล ที่ก่อนหน้านี้ เมื่อครั้งที่ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ยังเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรฯ และ นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน มีการเคลื่อนไหวร่วมกับ นายอธิรัฐ รัตนเศรษฐ ที่เรียกว่า “กลุ่มสาม ช.” (เดิม 4 ช.แต่ นายสันติ พร้อมพัฒน์ รมช.คลัง ถอนตัวออกมา) ที่ยังมีมาต่อเนื่อง และนี่อาจเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ ร.อ.ธรรมนัส ยังสามารถรักษาเก้าอี้เลขาธิการพรรคเอาไว้ ทำให้ก่อนหน้านี้ ที่มีความพยายามลาออกของคณะกรรมการบริหารพรรคให้เกินครึ่ง เพื่อปลด ร.อ.ธรรมนัส พ้นเลขาฯ ทำไม่ได้สะดวก เพราะจะเกิดแรงกระเพื่อมภายใน

แต่มาวันนี้เมื่อ นายวิรัช พร้อมกับสมาชิกในครอบครัวของเขาถูกศาลฎีกาฯรับฟ้องคดีทุจริต ทำให้พวกเขาต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ ส.ส.พร้อมกันถึงสามคน และที่สำคัญ ยังกระทบมาถึงตำแหน่งภายในพรรค โดยเฉพาะประธานวิปรัฐบาลของเขาที่ต้องเปลี่ยนแปลงเป็นคนอื่นทันที และล่าสุด ก็เปลี่ยนมาเป็น นายนิโรธ สุนทรเลขา ส.ส.นครสวรรค์ เรียบร้อยแล้ว โดย พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ย้ำว่า เขาเป็นผู้เสนอโดยได้พูดคุยกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เรียบร้อยแล้ว

สำหรับ นายนิโรธ สุนทรเลขา ส.ส.นครสวรรค์ ผู้นี้ แม้ว่าหากพิจารณาตามความเป็นจริงแล้ว อาจยังไม่ชัดเจนว่าเอนเอียงไปทางกลุ่มไหนในพรรคพลังประชารัฐ ออกไปทาง “อิสระ” มากกว่า แต่นั่นแหละด้วยแบ็กกราวนด์แบบนี้แหละ ด้วยที่ท่าทีออกมาในลักษณะไม่ได้สังกัดกลุ่มใดชัดเจน นาทีนี้จึงน่าจะเป็นผลบวกมากกว่า โดยเฉพาะกับตำแหน่งประธานวิปรัฐบาล เป็นหลักประกันในการควบคุมเสียงของฝั่งรัฐบาลได้อย่างมั่นใจกว่าเดิมหรือไม่

ก่อนหน้านี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้เคยกำชับพรรคร่วมรัฐบาลให้ ส.ส.เข้าร่วมประชุมสภาฯอย่างพร้อมเพรียง เนื่องจากมีกฎหมายสำคัญหลายฉบับที่ต้องพิจารณา ในความหมายก็คือ มีผลต่ออนาคตของรัฐบาล และต่ออนาคตทางการเมืองของ “บิ๊กตู่” เองด้วย เพราะหากกฎหมายบางฉบับไม่ผ่าน หรือถูกคว่ำก็มีสองทางให้เลือก คือ ไม่ยุบสภา หรือนายกฯต้องลาออก

ขณะเดียวกัน ด้วยบทเรียนกรณีความเคลื่อนไหว “ก่อกบฏ” จนเกือบเกิดอุบัติเหตุในสภาฯเมื่อครั้งศึกซักฟอกคราวก่อน จนมีคำสั่งปลด ร.อ.ธรรมนัส และ นางนฤมล พ้นจากตำแหน่งรัฐมนตรี รวมไปถึงความเคลื่อนไหวที่จะให้ปลดพ้นเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ ตามมา แต่ยังทำไม่สำเร็จ อย่างไรก็ดี เมื่อมีเหตุจำเป็นที่ นายวิรัช รัตนเศรษฐ ต้องพ้นจากตำแหน่งประธานวิปและหยุดปฏิบัติหน้าที่ ส.ส.อย่างน้อยก็น่าจะทำให้ “ดุล” ภายในพรรคเปลี่ยนไป “เอียง” มาทางอีกฝั่งหนึ่งมากขึ้น

โดยเฉพาะใน “ทีมบิ๊กตู่” ที่เวลานี้มีการผนึกกำลังของหลายกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นกลุ่ม “สามมิตร” ที่มี นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน และ นายอนุชา นาคาศัย กลุ่มภาคตะวันออก ที่มี นายสุชาติ ชมกลิ่น เป็นแกนนำ กลุ่มภาคกลาง ที่นำโดย นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รวมไปถึงกลุ่ม ส.ส.ภาคใต้ และกรุงเทพฯ มีพลังมากขึ้น รวมไปถึงการเคลื่อนไหวอื่นๆ เช่น การส่งคนใกล้ชิดเข้ามาเป็นที่ปรึกษาหัวหน้าพรรค นอกเหนือจาก นายสมศักดิ์ แล้ว ยังมี นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ที่มีรายงานข่าวว่ากำลังร่างพิมพ์เขียวเพื่อปรับโครงสร้างพรรคใหม่ที่กำหนดให้มี “หัวหน้าภาค” จำนวน 10 คน มีบทบาทในการดูแล ส.ส.รวมไปถึงการสรรหาผู้สมัคร ส.ส.ในอนาคต ก่อนส่งให้หัวหน้าพรรคชี้ขาด เป็นต้น

ดังนั้น หากพิจารณาในแง่มุมแบบนี้ก็ต้องบอกว่า นี่คือ “จังหวะรุกคืบ” เข้ามาอีกขั้นของ “ทีมบิ๊กตู่” ในเกม “ถ่วงดุล” ภายในพรรคพลังประชารัฐ อย่างมีนัยสำคัญ หลังจากศาลฎีกาฯรับฟ้องคดีทุจริตของ นายวิรัช รัตนเศรษฐ และครอบครัว ทำให้ต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ ส.ส.ทันที และยังต้องเปลี่ยนตำแหน่งประธานวิปของพรรคและรัฐบาลในคราวเดียวกัน เมื่อพวกเขาต้องลดบทบาทลง นั่นก็ย่อมส่งผลกระทบไปถึง ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ตามมาอีกด้วย เพราะทั้งคู่แตะมือผนึกกำลังกันมาตลอด !!


กำลังโหลดความคิดเห็น