เปิดพฤติกรรม “ธนาธร-ปิยบุตร” ปลุกเด็กโจมตีสถาบัน เป็นสะพานหวังล้มล้างการปกครอง? “พีระพันธุ์” ชี้ คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญจบ แต่เรื่องยังไม่จบ จี้ เอาผิดทุกกลุ่มที่เกี่ยวข้อง “ไพศาล” เปิด 7 ข้อ แค่ปฏิรูปหรือกบฏ ?
น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (12 พ.ย. 64) เพจเฟซบุ๊ก THE TRUTH โพสต์ประเด็นไม่รอดคุก! เปิดพฤติกรรม “ธนาธร-ปิยบุตร” ปลุกเด็กโจมตีสถาบัน เป็นสะพานหวังล้มล้างการปกครอง?
โดยระบุว่า จากกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญ ได้อ่านคำวินิจฉัยคำร้อง นายณฐพร โตประยูร ขอให้ศาลฯวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 ว่า การกระทำของนายอานนท์ นำภา นายภาณุพงศ์ จาดนอก หรือ ไมค์ และ น.ส.ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล หรือ รุ้ง ชุมนุมปราศรัยเพื่อเสนอข้อเรียกร้องเป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 วรรคหนึ่ง
ซึ่งทำให้กลุ่มแนวร่วมสามนิ้ว รวมไปถึงพรรคการเมือง หรือกลุ่มคนที่ออกมาสนับสนุนการเคลื่อนไหวของกลุ่มคณะราษฎรในการเรียกร้องให้มีการปฏิรูปสถาบันฯ และโจมตีไปที่สถาบันฯ ก็เกิดความสงสัยว่า จะโดนดำเนินคดีด้วยหรือไม่
ล่าสุด นายถาวร เสนเนียม อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ได้ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีดังกล่าว ในรายการ Thaimove Talk โดยมี ดร.เวทิน ชาติกุล ผอ.สถาบันทิศทางไทย เป็นผู้ดำเนินรายการ ในหัวข้อ “คำวินิจฉัยศาล รธน. ล็อกเป้า ธนาธร ปิยบุตร คุกแน่ๆ” ว่า
กรณีของ นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า ที่ได้ไปพูดที่มหาวิทยาลัยลอนดอน เมื่อปี 2559 กล่าวหาว่า สถาบันพระมหากษัตริย์เข้าไปมีอิทธิพลต่อผู้พิพากษา อย่างนี้ถือว่า เข้าตามความผิดแล้ว
หรือ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า ที่ไปพูดที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในที่ชุมนุมทางการเมือง หากสืบเสาะพฤติกรรมอื่น อย่างเช่น ธนาธร เคยเขียนในหนังสือ Portrait ธนาธร ในหน้าที่ 272 ว่า นักข่าวถามว่า เมื่อคุณเข้ามาเล่นการเมือง คำว่าตำแหน่งนายกฯ คือ ลิมิตสูงสุดหรือไม่ หรือมากกว่านั้น ธนาธร บอกว่า ไม่ใช่ แล้วก็ถามว่า ตำแหน่งอะไร บอกว่า อำนาจที่พอจะไปต่อรองกับ…พฤติกรรมอย่างนี้ บวกกับพฤติกรรมอื่นๆ ก็จะนำไปสู่การวินิจฉัยได้ว่า คนๆ นี้ ทำผิด ม.116 หรือไม่
หรือการที่นายธนาธรไปพูดเมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2562 แฟลชม็อบที่ธรรมศาสตร์ ว่า การแก้รัฐธรรมนูญมี 2 ทาง หนึ่ง ยินยอมให้แก้ สอง แก้ด้วยเลือด และในขณะที่บอกว่า แก้ด้วยเลือดก็มีคนชูป้ายพระบรมฉายาลักษณ์ อันมิบังควรที่เขียนไว้ในถ้อยคำ พฤติกรรมตั้งแต่ 3 ปี มานี้ ใช้เด็กเป็นเครื่องมือและเป็นสะพานการนำไปสู่อำนาจที่เขาคิด แต่เผอิญพรรคการเมืองที่เขาจัดตั้งมาถูกยุบเสียก่อน
แม้จะมีพรรคขึ้นมา พฤติกรรมเหล่านี้ เราเก็บรวบรวมก็สามารถเป็นหลักฐานว่า คุณกำลังทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ ด้วยการด้อยค่า หรือแม้แต่ในวันที่ขบวนเสด็จฯเมื่อปี 63 นั่นก็เป็นพฤติกรรมหนึ่งที่สามารถนำคำวินิฉัยของศาลรัฐธรรมนูญไปเป็นเครื่องมือ เป็นแนวทางในการรวบรวมพฤติกรรมมาดำเนินคดี
ขณะเดียวกัน นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี และที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุกส่วนตัว ระบุว่า
“จบแล้วแต่ยังไม่จบ!!!
คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2564 จับใจความได้ว่า การพูดถึงสถาบันหลักของชาติ ที่ปวงชนชาวไทยถวายความเคารพสักการะด้วยถ้อยคำที่หยาบคาย ในการชุมนุมที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2563 มีลักษณะของการปลุกระดมและใช้ข้อมูลที่เป็นเท็จ เป็นการเรียกร้องโจมตีในที่สาธารณะที่ก่อให้เกิดความวุ่นวายและใช้ความรุนแรงในสังคม เป็นการทำลายการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ทำให้เกิดความแตกแยกของคนในชาติ
อีกทั้งเป็นการเซาะกร่อนเพื่อทำลาย หรือทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์ที่ดำรงอยู่คู่กันกับชาติไทยเป็นเนื้อเดียวกันนับแต่อดีตถึงปัจจุบัน และจะต้องดำรงอยู่ด้วยกันต่อไปในอนาคตเพื่อธำรงความเป็นชาติไทย ต้องสิ้นสลาย ไม่ว่าจะโดยการพูด การเขียน หรือการกระทำต่างๆ เพื่อให้เกิดผลเป็นการบ่อนทำลาย ด้อยคุณค่า หรือทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์อ่อนแอลง ย่อมแสดงให้เห็นถึงการมีเจตนาเพื่อล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ เป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขที่เป็นการต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ
เป็นคำวินิจฉัยที่บอกว่า สิ่งที่กลุ่มเคลื่อนไหวเรียกร้องพยายามตะโกนอธิบายว่าเป็นการใช้สิทธิตามกฎหมายตามรัฐธรรมนูญนั้น แท้ที่จริงแล้วเป็นการกระทำผิดกฎหมายและผิดรัฐธรรมนูญ ที่มิใช่เป็นเพียงแค่อาชญากรรมตามกฎหมายอาญาธรรมดาๆ หากแต่เป็นการบ่อนทำลายชาติและสถาบันหลักของชาติ ที่จะต้องดำรงอยู่คู่กันกับชาติเพื่อธำรงความเป็นชาติไทยตลอดไปให้ต้องสิ้นสลาย อันเป็นความผิดอาญาที่ร้ายแรงยิ่ง
เป็นการตอกย้ำว่า เมื่อไหร่ที่คนพวกนี้ต้องติดคุก พวกเขาคือ “นักโทษผู้กระทำความผิดอาญาร้ายแรง” ไม่ใช่ “นักโทษทางความคิด”
มันจบแล้ว...
จากนี้ไปการชุมนุมในลักษณะนี้ รวมทั้งท่อน้ำเลี้ยงและอีแอบ ผู้เป็น “ชนกลุ่มน้อย” คือ ผู้ทำลายล้างรัฐธรรมนูญ คือ ผู้ทำลายล้างสถาบันฯ คือ ผู้ทำลายล้างชาติ คือ ผู้กระทำผิดอาญาร้ายแรง ไม่ใช่ผู้ใช้สิทธิเสรีภาพตามกฎหมายตามรัฐธรรมนูญอีกต่อไป ข้อคลางแคลงสงสัยของผู้รักษากฎหมายจนทำให้กระบวนการบังคับใช้กฎหมายเป็นไปอย่างกระท่อนกระแท่นแบบที่ผ่านมาก็จบลงด้วย
แต่เรื่องยังไม่จบ!!!
ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยต่อไปว่า การเคลื่อนไหวของกลุ่มผู้ถูกร้องมีลักษณะเป็นขบวนการที่มีเจตนาเดียวกัน แม้เหตุการณ์ตามคำร้องผ่านพ้นไปแล้ว แต่หากยังคงให้ผู้ถูกร้อง รวมทั้งกลุ่มในลักษณะองค์กรเครือข่ายกระทำการเช่นว่านั้นต่อไป ย่อมไม่ไกลเกินเหตุที่จะนำไปสู่การล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ศาลรัฐธรรมนูญจึงมีคำสั่งว่า “...ให้ผู้ถูกร้องที่ ๑ ที่ ๒ และที่ ๓ รวมทั้งกลุ่มองค์กรเครือข่ายเลิกกระทำการดังกล่าวที่จะเกิดขึ้นในอนาคตด้วย...”
หากปล่อยให้เป็นเช่นนี้จนบ้านเมืองสิ้นสลาย ก็ไม่มีประโยชน์ที่จะมาพูดกันถึงปัญหาอื่นของชาติและของประชาชนอีกต่อไป
จึงเป็นหน้าที่ของผู้รักษากฎหมายและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกระดับที่จะต้องบังคับใช้กฎหมายตามอำนาจหน้าที่อย่างเคร่งครัด เพื่อนำตัวผู้กระทำความผิดทุกกลุ่มทุกระดับทั้งในประเทศและต่างประเทศมาลงโทษให้ได้ ไล่เรียงย้อนหลังไปตั้งแต่วันที่ 10 สิงหาคม 2563 ซึ่งเป็นวันกระทำความผิดเรื่อยมาจนปัจจุบันและอนาคต
ซึ่งรวมทั้งผู้ที่ให้ความช่วยเหลือ หรือสนับสนุนในทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นผู้เอื้อเฟื้อสถานที่ สิ่งของ ทุนทรัพย์ รวมทั้งกองเชียร์ และอีแอบ ที่พูดจา ส่งเสียงเชียร์ หรือกระทำด้วยวิธีการใดให้ผู้กระทำความผิดมีจิตใจที่ “ฮึกเหิม” มากยิ่งขึ้น ตามแนวคำพิพากษาศาลฎีกาหลายฉบับ มิฉะนั้น ผู้รักษากฎหมายจะกลายเป็นผู้กระทำผิดกฎหมายฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่เสียเอง
สำหรับพวกเรา “คนไทย” ทั้งปวง เรามาร่วมกันปกป้องสถาบันหลักของชาติเพื่อธำรงความเป็นชาติของเราดีกว่าครับ”
m#ปกป้องสถาบันหลักของชาติ
ที่น่าสนใจไม่แพ้กัน นายไพศาล พืชมงคล นักกฎหมาย โพสต์ฺข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Paisal Puechmongkol ระบุว่า
ใครจะเชื่อว่า การกระทำอย่างนี้ไม่เป็นกบฏหรือเป็นแค่ปฏิรูป???
1. ประกาศจัดตั้งสาธารณรัฐไทยและแบ่งแยกดินแดน
2. ประกาศ ไม่เอาสถาบันกษัตริย์ เผาพระบรมฉายาลักษณ์อย่างต่อเนื่อง กล่าวเหยียดหยามย่ำยีใส่ร้ายป้ายสี พระมหากษัตริย์และพระบรมวงศานุวงศ์อย่างต่อเนื่อง
3. เอาภาพและเรื่องการประหาร พระเจ้าหลุยส์ของฝรั่งเศส และพระเจ้าซาร์สของรัสเซีย มาชี้นำให้มาดร้ายสถาบัน
4. บิดเบือนโกหกใส่ร้ายอดีตสมเด็จพระมหากษัตริย์ทุกพระองค์ แม้พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 และที่ 9 ซึ่งทรงพระคุณอันยิ่งใหญ่แก่ชาติไทยและประชาชนไทย ก็ยังใส่ร้ายก่นด่าพระองค์
5. ประกาศทำการปฏิวัติประชาชน
6. ประกาศทำสงครามประชาชน
7. มีเครือข่ายเคลื่อนไหวที่ประสานกันกับต่างชาติ ที่ต้องการล้มล้างการปกครองชาติต่างๆ เป็นที่ประจักษ์
จะมีใครเชื่อว่าทำอย่างนี้ไม่ใช่การล้มล้างการปกครอง?”
แน่นอน, นี่คือ ความเห็นจากนักกฎหมายที่ต่างสะท้อนให้เห็นไปในทำนองเดียวกัน ว่า ความหมายจากคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ส่งผลถึงขบวนการ 3 นิ้วทั้งหมด ทั้งในไทย และต่างประเทศ โดยเฉพาะคนที่ยุยง หนุนหลัง สนับสนุน ไม่ว่าจะด้วยประการใด ถือว่าต้องหยุดการกระทำ และถ้ามีพยานหลักฐานว่ามีส่วนเกี่ยวข้องทางใดทางหนึ่ง ก็จะถูกเอาผิดตามกฎหมายด้วย
แล้วถ้าย้อนให้ให้เห็น ก็จะมีหลักฐานการออกแถลงการณ์สนับสนุนข้อเรียกร้องของกลุ่มนักวิชาการ หลายครั้ง การโพสต์เฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ สื่อออนไลน์ แสดงการสนับสนุนอย่างชัดเจนของหลายคน การแสดงออกของนักการเมือง ส.ส. ฯลฯ เหล่านี้ ถือว่า ต้องโดนเอาผิดกันถ้วนหน้า?
โดยเฉพาะ นักวิชาการขาประจำ นักการเมืองขาประจำ ส.ส.ขาประจำ นักเคลื่อนไหวทางการเมืองขาประจำ ตนดังคนเด่นขาประจำ คือ คนแรกๆ ที่จะต้องถูกดำเนินคดี
แต่หลายคนยังมีคำถาม ในทางปฏิบัติ จะเอาผิดบุคคลเหล่านี้ได้จริงหรือไม่ แค่ไหน เพราะอย่าลืมว่า แกนนำ “3 นิ้ว” และผู้สนับสนุนบางกลุ่ม ยังคงประกาศเดินหน้าท้าทายคำวินิจฉัยของศาลฯ ไม่ยอมรับคำวินิจฉัยของศาลฯ จะทำอย่างไร นี่คือ สิ่งที่จะต้องจับตามอง
แต่ไม่ว่าจะอย่างไร อย่างน้อยที่สุด ก็ทำให้คนไทยรู้สึกสบายใจขึ้น ที่มีเครื่องมือบางอย่าง ช่วยยับยั้งความฮึกเหิมไม่เกรงกลัวกฎหมาย ไม่กลัวเกรงใครของขบวนการม็อบ 3 นิ้ว เอาไว้ได้พอสมควร และเป็นโอกาสดีที่จะจัดการกับ “อีแอบ” ได้ง่ายขึ้น เพื่อตัดแขนขาม็อบป่วนเมือง ที่ต้องการสร้างสถานการณ์อย่างที่ผ่านมา
กระนั้น ประเด็นที่น่าเป็นห่วง ก็คือ การรุกหนักของอีกฝ่าย อาจนำไปสู่การต้อนสุนัขให้จนตรอก แล้วก็จะกลายเป็นความขัดแย้งรุนแรงขึ้นมาอีก
อย่าลืม พวกที่พร้อมกล่าวหาว่า ใช้ “นิติสงคราม” กำจัดคนเห็นต่าง กำลังจับจ้องสถานการณ์ตาเป็นมันอยู่แล้ว
เพราะฉะนั้นการเอาผิดอย่างยุติธรรมเท่านั้น ที่จะทำให้ข้อกล่าวหาของคนเหล่านี้ ไม่มีผลแต่อย่างใด เพราะอำนาจตามกฎหมาย ใช้มาก ใช้ฟุ่มเฟือยก็เป็นดาบสองคมได้เหมือนกัน ระวังให้ดี!?