หนุนแล้วไม่ช่วย? “บุ้ง ปกรณ์” กดดัน “ก้าวไกล-เพื่อไทย” เอาแกนนำ 3 นิ้ว ออกจากคุกให้ได้ ไม่งั้นเจอเทไม่เลือก ส.ส. “ดร.อานนท์” ซัด “ปิยบุตร” มุดกระโปรงเด็ก ไม่กล้าดีเบต “รุ้ง” แมนกว่า! เจ้าตัวแถ เหตุยอมแพ้ “อรรถวิชช์”
น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (8 พ.ย. 64) เพจเฟซบุ๊ก THE TRUTH โพสต์ประเด็น “บุ้ง ปกรณ์” นำทีม จี้ “ก้าวไกล-เพื่อไทย” ช่วยแกนนำ 3 นิ้ว ขู่เท ไม่เลือก ส.ส.!
โดยระบุว่า หลังจากในช่วงที่ผ่านมา บรรดากลุ่มกองหนุนม็อบ 3 นิ้ว รวมทั้งท่อน้ำเลี้ยงม็อบ ต่างออกมาเคลื่อนไหว ให้มีการปล่อยตัวแกนนำ 3 นิ้ว ที่อยู่ในเรือนจำ แต่ดูเหมือนว่าจะไม่เป็นผล เนื่องจากหลายๆ พรรคการเมืองที่เคยออกตัวสนับสนุน ต่างวุ่นกับการลงพื้นที่และหาเสียง รวมทั้งพรรคก้าวไกลที่กำลังล่ารายชื่อแก้ ม.112
จนล่าสุดทางกลุ่มพลเมืองเพื่อผู้ต้องขังทางการเมือง ที่ก่อตั้งโดย นายปกรณ์ พรชีวางกูร หรือ บุ้ง (ราษฎร) และมิตรสหาย ได้ออกแถลงการณ์เรื่อง พรรคการเมืองต้องผลักดันให้ผู้ต้องขังทางการเมืองได้สิทธิประกันตัว โดยมีเนื้อหาใจความว่า
“ปัจจุบันมีผู้ต้องขังทางการเมืองที่เป็นนักเรียน นิสิต นักศึกษา ทนายความ ศิลปิน นักการเมือง พยาบาล แม่ค้า และราษฎรอย่างน้อย 15 คน (ข้อมูลจากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน) ที่ถูกดำเนินคดีและจับกุมคุมขังจากการใช้กฎหมายอาญามาตรา 112 กฎหมายอาญามาตรา 116 พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน และกฎหมายอื่นๆ
โดยกฎหมายหลักที่ใช้ดำเนินคดี คือ กฎหมายอาญามาตรา 112 ที่มีการนำมาใช้อย่างกว้างขวาง ทั้งจำนวนคดีที่มีถึง 159 คดี และจำนวนคดีต่อคน คือ เพนกวิน พริษฐ์ ชิวารักษ์ ซึ่งถูกดำเนินคดีด้วยมาตรา 112 ถึง 21 คดี จำนวนโทษสูงสุดถึง 315 ปี โดยผู้ต้องขังในคดีเหล่านี้ทั้งหมด ยังไม่ได้รับการไต่สวน แต่กลับถูกคุมขังก่อนการพิจารณาคดี โดยไม่ได้รับสิทธิประกันตัว
พรรคการเมือง ในฐานะองค์กรทางการเมืองที่เสนอตัวรับใช้ประชาชนเข้ามาเป็นตัวแทนประชาชน เป็นปากเป็นเสียงแทนประชาชน ในการเรียกร้องแก้ไขปัญหา และดำรงไว้ซึ่งสิทธิเสรีภาพของประชาชน เพื่อประโยชน์ของประชาชนเป็นที่ตั้งสูงสุด ตามสัตยาบันที่ให้ไว้ยามที่ต้องการคะแนนเสียงของประชาชน
วันนี้ ประชาชนซึ่งเป็นพลเมืองของประเทศได้มาทวงถามและเรียกร้องให้พรรคการเมือง ต้องผลักดันให้เกิดความเป็นธรรมอย่างแท้จริงในกระบวนการยุติธรรม ผู้ต้องขังทางการเมืองทุกคน ต้องได้รับสิทธิการประกันตัว ซึ่งเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของพลเมืองไทยตามที่ระบุไว้ในรัฐธรรมนูญ ผู้ต้องขังทางการเมืองทุกคนมีสิทธิที่จะได้รับการคุ้มครองตามกฎหมาย เพื่อให้ได้ออกมาต่อสู้คดีอย่างเป็นธรรม ซึ่งข้อเรียกร้องทั้งหมดนี้เป็นไปเพื่อให้กระบวนการยุติธรรม ยังคงความสง่างาม และไม่ตกเป็นเครื่องมือของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง จากนี้ประชาชนจะจับตาและเฝ้าดูผลการเรียกร้องครั้งนี้อย่างใกล้ชิด เพื่อใช้ประกอบการตัดสินใจ ในการเลือกไว้วางใจตัวแทนของประชาชนในครั้งต่อไป”
โดยในเฟซบุ๊กของ นายปกรณ์ ได้โพสต์ภาพขณะเดินทางไปยื่นจดหมายที่พรรคเพื่อไทย และพรรคก้าวไกล ด้วย และยังมีข้อความระบุด้วยว่า
“ใครจะอะไรยังไงกูไม่สนใจ
ตอนนี้เป้าเดียวของกู คือ เอาทุกคนในคุกออกมา ผู้ต้องขังคดีการเมืองจะต้องได้รับการประกันตัว ออกมาสู้คดีกันข้างนอก ไม่ใช่อย่างที่เป็นทุกวันนี้ศาลยังไม่ตัดสินแต่เอาเข้าไปขังรอไว้แล้ว แบบนี้มันไม่ถูก
สภาผู้แทนต้องเป็นทางออก เรามีคนที่โดนคดี 112 เป็นร้อยคนแล้ว มากกว่า 90% เป็นวัยรุ่นเป็นวัยเรียนทั้งนั้น
วันนี้บอกตรงๆ ว่า หวังสูงไว้มากว่าการไปยื่นหนังสือให้พรรคเพื่อไทย+ก้าวไกล
หวังว่า 2 พรรคนี้จะช่วยหาทางออกที่ดีให้กับเรื่องนี้ได้”
ขณะเดียวกัน THE TRUTH ยังโพสต์ประเด็น “รุ้ง” ยังแมนกว่า? “ดร.อานนท์” ซัด “ปิยบุตร” มุดใต้กระโปรงเด็ก กลัวอะไร ถึงไม่กล้ารับคำท้าดีเบต!
เนื้อหาระบุว่า หลังจากเมื่อวันที่ 7 พ.ย. 64 ผศ.ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ แสดงความคิดเห็นถึงประเด็นที่คณะก้าวหน้า และพรรคก้าวไกล เปิดเว็บไซต์ลงชื่อแก้ ม.112
โดยระบุว่า “ผมว่า คุณเอ๋ อรรถวิชช์ พูดดีที่ว่า ปิยบุตรยุยงให้เด็กทำผิดกฎหมายแต่ตัวเองอยู่รอดปลอดภัยดี ผมเลยอยากท้าดีเบตพวกอาจารย์ที่ยุยงเด็กอยู่เบื้องหลังให้มาดีเบตกับผมพร้อมๆ กัน คือ ปิยบุตร แสงกนกกุล, ชาญวิทย์ เกษตรศิริ, ประจักษ์ ก้องกีรติ, ทัศนัย ม.เชียงใหม่ มากันให้ครบๆ เลยครับ เรื่องสถาบันที่ชอบเอาไปกุ ไปบิดเบือนกันนัก จะมาตรา 112 หรือทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ ก็พร้อมจะดีเบตครับ” ไปแล้วนั้น
ล่าสุด ผศ.ดร.อานนท์ ได้เคลื่อนไหว โพสต์ระบุว่า “ขี้แพ้แก้เกี้ยว บิดเบี้ยวโทษทุกสิ่ง จอมพูดดัดจริตประดิษฐ์วาทกรรม นิติธรรมล้มละลาย เก่งใต้ชายกระโปรง ยุยงปลุกปั่น สันดานขี้ขลาดตาขาว”
ซึ่งกรณีสืบเนื่องมาจากที่ นายปิยบุตร ทวีตข้อความถึงการดีเบตกับ นายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี เลขาธิการพรรคกล้า เรื่อง ม.112 ผ่านทางรายการของจอมขวัญ และนายปิยบุตร อ้างทำนองว่า ที่ยอมนิ่งเงียบ ให้อีกฝ่ายข่ม มีคนวิจารณ์ว่า ทำไมผมไปดีเบตกับอรรถวิชช์ในรายการจอมขวัญด้วยท่าทีสุภาพเรียบร้อย ไม่สะใจกองเชียร์ เหตุผลดีกว่าแต่โต้วาทีสู้ไม่ได้?
ทั้งหมดผมจงใจให้เป็นแบบนี้ ด้วยเหตุหลายประการ นอกจากนั้น ก็มีอุปสรรคเรื่องการพูดโดยต้องระวังไม่ให้ตัวผมโดน 112 ด้วย เมื่อเราดีเบตในที่สาธารณะกับฝ่ายรอยyลลิสต์ เราต้องแบกน้ำหนักเสมอ เขาพูดอย่างไรก็ไม่เสี่ยง แต่เราพูด เราเสี่ยง 112 ซึ่งประเด็นนี้ ผมชาชินเสียแล้ว ภายใต้ระบอบนี้ เราขึ้นชกกับเขา เราชกได้ด้วยมือข้างเดียว โดยมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่า แท้จริงแล้วอาจจะเป็นเพียงการแถมากกว่า
นอกจากนี้ ผศ.ดร.อานนท์ ยังโพสต์ข้อความ ระบุอีกด้วยว่า “ถึงน้องรุ้งจะนุ่งกระโปรง ก็ยังกล้ามาดีเบต มีความเป็นสุภาพบุรุษมากกว่าไอ้กะปิบูด ชอบพูดดัดจริตประดิษฐ์วาทกรรม นิติธรรมล้มละลาย มุดยุยงอยู่ใต้ชายกระโปรง”
ทั้งนี้ ย้อนไปในปี 63 รุ้ง ปนัสยา แกนนำม็อบราษฎร ได้ดีเบตประเด็น “พ.ร.บ.จัดระเบียบทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ 2561” กับ ดร.อานนท์ แม้พ่ายยับ เพราะไม่ได้ทำการบ้านมา แต่ก็มีเสียงชื่นชมว่า รุ้ง ยังกล้าหาญกว่าพวกผู้ใหญ่ที่หนุนหลังม็อบเสียอีก ที่ปล่อยให้เด็กออกมาสู้ลำพัง แต่คนอื่นๆ กลับยุยงเด็กอยู่เบื้องหลัง
ที่น่าสนใจไม่แพ้กัน จากกรณีรายการ #มีเรื่องLive ซึ่งดำเนินรายการโดย น.ส.จอมขวัญ หลาวเพชร์ พิธีกรข่าวชื่อดัง ที่ออกอากาศทางช่อง Youtube Jomquan เชิญ นายปิยบุตร เเสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า และ นายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี เลขาธิการพรรคกล้า มาดีเบตกันในประเด็น ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112
แล้ว นายปิยบุตร มีท่าทีที่เรียบร้อย และถูกตอกกลับเหมือนกับไม่สามารถโต้เถียงได้เลย หลายๆ คนจึงได้เทคะแนนให้ นายอรรถวิชช์ ได้รับชัยชนะในครั้งนี้ไป
จนทำให้ นายปิยบุตร ต้องออกมาโพสต์ข้อความผ่านทางทวิตเตอร์ส่วนตัว ชี้แจงว่า
มีคนวิจารณ์ว่า ทำไมผมไปดีเบตกับนายอรรถวิชช์ ในรายการ น.ส.จอมขวัญ ด้วยท่าทีสุภาพเรียบร้อย ไม่สะใจกองเชียร์ เหตุผลดีกว่าแต่โต้วาทีสู้ไม่ได้? ทั้งหมดผมจงใจให้เป็นแบบนี้ ด้วยเหตุผลหลายประการ
1. ผมต้องการพูดให้คนที่ไม่รักไม่เชียร์ผม หรือคนที่ไม่ได้ติดตามผม ได้ฟังผม แม้ผมอธิบายเรื่องพวกนี้ในพื้นที่ของผมได้บ้าง แต่พวกเขาก็ไม่เคยฟัง ต่อต้าน แต่อย่างน้อยพอรายการนี้มีฝ่ายขวาอนุรักษนิยมมาพูดด้วย อย่างน้อย เขาก็ต้องได้ฟังผมบ้าง
2. การสื่อสารกับคนเหล่านี้ ต้องใช้ท่าทีอีกแบบ เราไม่สามารถใช้ท่าทีดุดันได้เลย ผมจึงปล่อยให้นายอรรถวิชช์ทำตน ยกตนข่มท่าน เพื่อให้คนที่มีเหตุผลพอควรเห็นว่า คนที่พวกคุณคิดว่าล้มเจ้าแบบผม พร้อมจะพูดคุยหาทางออกด้วยการปฏิรูปสถาบันฯ
3. ผมมาดีเบตกับคนเหล่านี้ ไม่เคยคิดว่า จะต้องมาเอาชนะโต้วาที ให้คนกดปุ่มเชียร์โหวตให้ ถ้าผมต้องการแบบนั้น ผมก็พอทราบอยู่ว่า เทคนิคการโต้วาทีเพื่อเอาชนะต้องทำอย่างไร
แต่ผมต้องการแสดงให้เห็นว่า การคุยเรื่อง 112 และสถาบันฯ สามารถทำได้ในสื่อสาธารณะ โดยไม่ต้องวงแตก หวังว่าอย่างน้อย การดีเบตในรายการนี้จะช่วยเปลี่ยนใจคนที่ไม่เห็นด้วยได้ฉุกคิด หรือฟังเหตุผลของเรา ในท้ายที่สุดอาจไม่สำเร็จ แต่ถ้าบังเอิญเปลี่ยนใจคนได้ แม้ไม่กี่คน ก็คุ้มค่ากว่าการที่ผมโต้วาทีใช้โวหารชนะนายอรรถวิชช์ หากผมประเมินผิดทั้งหมด ก็ต้องยอมรับและวางแผนสื่อสารใหม่ครับ
แน่นอน, ประเด็นที่น่าสนใจ อดคิดถึง กรณี “แอมมี่” และ“บุ้ง ปกรณ์” ออกมาแฉก่อนหน้านี้ไม่ได้
เริ่มจาก นายไชยอมร แก้ววิบูลย์พันธุ์ หรือ แอมมี่ เดอะบอตทอมบลูส์ ออกมาเป็นเผย ว่า พรรคเพื่อไทย ได้มีการสนับสนุนเงินทุนกลุ่มผู้ชุมนุมสามนิ้ว ทำให้เกิดกระแสจี้ตรวจสอบยุบพรรคในเวลาต่อมา ก่อนที่แอมมี่จะลบเนื้อหาบางช่วงบางตอนที่พูดถึงเรื่องนี้ออก คือ
“สำหรับผม การเรียกร้องครั้งนี้มันมีค่า มากกว่า ผลประโยชน์นานาประการ โควตา ส.ส. ที่ใช้ในการประกันตัว ต้องยกให้ก้าวไกล แต่ก้าวไกล ก็ขี้เหนียว กลับกันเป็นเพื่อไทยที่สู้ไปกราบไป ที่คอยสนับสนุนเงินทุนบ้าง”
ต่อมา 19 ก.ย. 64 นายปกรณ์ พรชีวางกูร หรือ เฮียบุ้ง หนึ่งในท่อน้ำเลี้ยงม็อบ 3 นิ้ว ร่วมกับ ทราย-อินทิรา เจริญปุระ เปิดเผย ซ้ำว่า
“เพื่อไทยไม่ควรทำการเมืองกล้าๆ กลัวๆ ไม่ต้องกลัวว่ามาแตะม็อบแล้วจะโดนยุบอะไรหรอก ถ้าโดนยุบเพราะต่อสู้ ยังไงพวกเราก็เลือกแน่ เหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา
เคยสนับสนุนอะไรในการต่อสู้มาเยอะเยอะ แต่ไม่เคยประกาศออกสื่ออะไรใดๆ ทุกๆ ครั้ง เลือกที่จะวางเอาไว้เงียบๆ แล้วเดินออกไป
แต่มันไม่ใช่ ถ้าคุณจะเอาเสียงคนรุ่นใหม่ ซึ่งมันมีหลายล้าน แล้วเสียงกลุ่มนี้ทั้งหมดอยู่ในม็อบ คุณก็ต้องปล่อยหมัดโปรโมตตัวเองบ้าง
เด็กที่อยู่เบื้องหลังม็อบหลายๆ คน ก็เด็กในโครงการ The Change Maker ทั้งนั้น
คุณแม่งปล่อยพรรคอื่นขย่มแบบนี้มาเป็นปีๆ
กุแม่งไม่อยากจะพูดหรอกนะ แต่คือมันทนไม่ไหวไง เพราะกุเป็นคนที่เห็นและทุกอย่างมันผ่านมือกุ
คนที่ช่วยมากที่สุด เสือกเป็นคนที่ถูกด่าว่าไม่ทำห่าอะไรเลยมากที่สุด
แบบนี้มันไม่ถูก…
จะปล่อยให้เป็นเรื่องคนรู้ก็รู้คนไม่รู้ก็ไม่รู้ มันไม่ได้
ทุกวันนี้เราสู้กันด้วยสื่อ คุณต้องสื่อโว้ยยยย”...
เพราะเหตุนี้ ทั้งสองพรรคจึงต้องรับผิดชอบเอาแกนนำม็อบออกจากเรือนจำให้ได้ใช่หรือไม่ น่าคิดเหมือนกัน!?