xs
xsm
sm
md
lg

ความจำเป็นที่ต้องมีมาตรา 112

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: สุรวิชช์ วีรวรรณ



ตอนนี้มีการสร้างวาทกรรมใหม่ว่า ผู้ถูกกล่าวหาที่ถูกดำเนินคดีตามมาตรา 112 นั้นเป็น “นักโทษทางความคิด” ซึ่งเป็นเรื่องที่แปลกดี อย่าว่าแต่การกระทำต่อพระมหากษัตริย์ซึ่งเป็นประมุขของรัฐเลย ถ้าเราไปกล่าวหาบุคคลอื่นให้ได้รับความเสียหาย เราจะอ้างว่า นั่นเป็นความคิดเพื่อจะไม่ให้ต้องรับผิดได้หรือไม่

พจนานุกรมราชบัณฑิตยสถาน ระบุว่า ความคิด หมายถึง สิ่งที่นึกรู้ขึ้นในใจ ความรู้ที่เกิดขึ้นภายในใจก่อให้เกิดการแสวงหาความรู้ต่อไป สติปัญญาที่จะทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งอย่างถูกต้องและสมควร

ความคิดที่จะแสดงออกต่อสาธารณะจึงต้องเป็นความคิดที่ถูกต้องและสมควรด้วย และแท้จริงแล้วถ้าสิ่งนั้นเป็นความคิด ไม่ใช่การกระทำให้กระทบต่อบุคคลอื่นกระทบต่อสถานะหรือรูปแบบของรัฐ คงไม่มีใครเอาคนไปขังโดยอ้างว่ามีความผิดจากความคิดที่มีได้

ความคิดที่จะไม่ยอมรับนับถือสถาบันพระมหากษัตริย์ไม่ใช่สิ่งที่ผิด และผมเชื่อว่าการที่เราจะพูดออกมาว่าไม่ศรัทธาต่อสถาบันก็ไม่ใช่สิ่งที่ผิด และไม่มีใครควรจะไปบังคับให้ใครต้องเคารพศรัทธาต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ การเรียกร้องให้ปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ก็คงไม่เข้าข่ายความผิด และการวิพากษ์วิจารณ์ก็สามารถทำได้เพราะการวิพากษ์วิจารณ์ย่อมจะมีความหมายที่แตกต่างกับการด่าทอแบบหยาบๆ คายๆ การใส่ร้าย การทำให้เสื่อมเสีย หรือการบิดเบือนความจริง

เพราะในหลวงรัชกาลที่ ๙ ทรงมีพระราชดำรัสว่า สามารถวิจารณ์ได้ ดังตอนหนึ่งว่า

“แต่แท้จริง ที่พูด ที่ออกข่าว ให้สัมภาษณ์บอกว่าอย่าไปวิจารณ์เดอะคิง ต้องบอกว่า อย่าไปวิจารณ์พระเจ้าอยู่หัว เพราะว่าไม่ควร ในรัฐธรรมนูญก็มีอยู่ว่าละเมิดมิได้ นักกฎหมายก็พยักหน้าอีกแล้วว่าถูกต้อง ว่าไม่ควรจะวิจารณ์ วิจารณ์ไม่ได้ ละเมิดไม่ได้ แต่ว่าถ้าพูดว่าพระเจ้าอยู่หัวทำถูก พูดถูก ไม่ใช่ละเมิด เป็นการถ้าพูดภาษาอังกฤษก็ approve พระเจ้าอยู่หัว เห็นชอบด้วย”

“แต่ไม่เคยมีใครมาบอกเห็นชอบว่า พระเจ้าอยู่หัวพูดดี พูดถูก แต่ว่าความจริง ก็จะต้องวิจารณ์บ้างเหมือนกัน แล้วก็ไม่กลัว ถ้าใครจะวิจารณ์ว่าทำไม่ดีตรงนั้นๆ จะได้รู้ เพราะว่าถ้าบอกว่าพระเจ้าอยู่หัวไปวิจารณ์ท่านไม่ได้ ก็หมายความว่าพระเจ้าอยู่หัวไม่เป็นคน ไม่วิจารณ์ เราก็กลัวเหมือนกัน ถ้าบอกไม่วิจารณ์ แปลว่าพระเจ้าอยู่หัวไม่ดี รู้ได้อย่างไร...”

แต่สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ การแสดงออกของคนหนุ่มสาวบนท้องถนน ไปไกลกว่าการวิพากษ์วิจารณ์หรือเรียกร้องเพื่อให้ปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นอย่างมาก แน่นอนพวกเขาพยายามอ้างว่า ปฏิรูปไม่ใช่การล้มล้าง แต่สิ่งที่พวกเขาแสดงออกกลับเป็นการกล่าวหาใส่ร้ายหมิ่นแคลนอย่างหยาบๆ คายๆ และแสดงออกชัดเจนว่า ต้องการล้มล้างไม่ใช่การปฏิรูป ซึ่งเป็นการกระทำที่มีความผิดตามกฎหมาย

มาตรา 112 บัญญัติว่า “ผู้ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 3 ปีถึง 15 ปี”

และสอดคล้องกับรัฐธรรมนูญ มาตรา 6 บัญญัติว่า องค์พระมหากษัตริย์ทรงดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะผู้ใดจะละเมิดมิได้ ผู้ใดจะกล่าวหาหรือฟ้องร้องพระมหากษัตริย์ในทางใดๆ มิได้

จะเห็นว่า กฎหมายมาตรานี้ไม่ได้ล่วงละเมิดสิทธิเสรีภาพของใครเลย แม้กระทั่งประเทศเยอรมนีซึ่งเป็น “สาธารณรัฐ” ก็มีกฎหมายปกป้องประมุขของรัฐทำนองนี้

กฎหมายปกป้องประธานาธิบดีเยอรมนีอยู่ในประมวลกฎหมายอาญามาตราที่ 90 เกี่ยวกับการดูหมิ่น (ทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียง) ประธานาธิบดี (Verunglimpfung des Bundespräsidenten) ซึ่งระบุไว้ว่า ใครก็ตามที่ดูหมิ่นประธานาธิบดีต่อสาธารณะ ในการประชุม การรวมกลุ่ม หรือผ่านสื่อต่างๆ จะได้รับโทษจำคุกระหว่าง 3 เดือนถึง 5 ปี

ถามว่าประเทศต่างๆ ที่เป็นราชอาณาจักร เช่น เนเธอร์แลนด์ สเปน นอร์เวย์ สวีเดน จอร์แดน เดนมาร์ก เป็นอย่างไร คำตอบก็คือประเทศเหล่านี้ล้วนมีมาตราที่ระบุให้กษัตริย์อยู่ในสถานะที่ละเมิดหรือกล่าวโทษไม่ได้

แต่สิ่งที่ฝ่ายเรียกร้องให้ยกเลิกมาตรา 112 กล่าวอ้างคือ กฎหมายลักษณะดังกล่าวในต่างประเทศแม้จะมีอยู่ แต่ไม่ค่อยถูกบังคับใช้ คำถามว่า ถ้ามีการฝ่าฝืนอย่างกว้างขวางแบบที่เกิดขึ้นในประเทศไทย คิดว่าเขาจะบังคับใช้กฎหมายหรือไม่

เมื่อพระมหากษัตริย์ทรงมีสถานะเป็นประมุขของรัฐ การดูหมิ่น หมิ่นประมาท อาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์จึงเป็นความผิดต่ออาญาแผ่นดิน คือ ความผิดที่หากมีการกระทำแล้วนอกจากจะมีผลกระทบต่อผู้ที่ถูกกระทำโดยตรงแล้ว ยังมีผลกระทบต่อสังคมโดยรวมอีกด้วย ดังนั้น รัฐจึงต้องเข้าดำเนินการเอาตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษ ทั้งนี้ เพื่อเป็นการป้องกันสังคมโดยรวม และใครก็ตามเมื่อเห็นมีผู้กระทำความผิดต่ออาญาแผ่นดินก็มีสิทธิ์ที่จะร้องทุกข์หรือแจ้งความดำเนินคดีได้

จะไปให้พระมหากษัตริย์ใช้กฎหมายหมิ่นประมาทร่วมกับบุคคลธรรมดาไปเดินขึ้นโรงพักขึ้นศาลฟ้องหมิ่นประมาทบุคคลอื่นด้วยพระองค์เอง ก็จะเป็นเรื่องที่แปลกและไม่ควรเกิดขึ้น เพราะพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขของประเทศ และได้รับการคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญมาตั้งแต่หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 และถ้าไม่มีกฎหมายปกป้องสถานะประมุขของรัฐเช่นนั้นแล้ว เราจะมีประมุขของรัฐไปทำไม

ตลกดีที่ข้ออ้างว่าให้เลิกมาตรา 112 เพราะมีผู้ถูกแจ้งข้อหาจำนวนมาก กลายเป็นว่า รัฐบาลหาเรื่องใช้มาตรา 112 มาจัดการผู้ชุมนุม ทั้งที่จริงๆ แล้วทุกวันนี้รัฐบาลยังไม่สามารถนำผู้กล่าวหาดูหมิ่น หมิ่นประมาท อาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ที่มีอยู่ดาษดื่นมาดำเนินคดีได้ทุกคนด้วยซ้ำไป

และถ้าจะว่าไปแล้วปัจจุบันศาลได้พิจารณาคดี 112 อย่างใช้ความระมัดระวังอย่างมาก ข้อกล่าวหาที่ว่า มาตรา 112 ถูกตีความและนำมาใช้อย่างกว้างขวาง เพื่อดำเนินคดีและเอาผิดกับการกระทำหลายรูปแบบอย่างไม่มีขอบเขต ประชาชนไม่สามารถเข้าใจได้ว่าการกระทำแบบใดจะผิดกฎหมายหรือไม่ ก็ไม่เป็นความจริงอีกต่อไป

เพราะเห็นได้ว่า ในช่วงไม่กี่ปีมานี้มีหลายคดีที่ศาลมีคำพิพากษายกฟ้อง และให้ประกันตัวจำเลยในคดีตามมาตรา 112 แม้แต่แกนนำม็อบหลายคนที่ถูกกักขังอยู่นั้น ศาลก็เคยให้ประกันตัวมาก่อนทั้งสิ้น แต่กลับกระทำผิดซ้ำซึ่งเป็นการผิดต่อเงื่อนไขของศาลที่อนุญาตให้ประกันตัวต่างหากเล่า

นอกจากพรรคก้าวไกลที่แสดงตัวชัดเจนที่ต้องการให้ลดบทบาทและสถานะของสถาบันพระมหากษัตริย์ และสนับสนุนม็อบที่เคลื่อนไหวจาบจ้วงสถาบันพระมหากษัตริย์แล้ว วันนี้พรรคเพื่อไทยได้แสดงตัวชัดเจนว่า ต้องการจะผลักดันข้อเรียกร้องให้แก้ไขมาตรา 112 เข้าไปพิจารณาในสภาฯ เพื่อตอบสนองข้อเรียกร้องของคนรุ่นใหม่ แม้จะพยายามทำให้กำกวมว่าเป็นความเห็นของพรรคหรือของนายชัยเกษม นิติสิริคนเดียว

แต่สุดท้ายคงไปตามที่ทักษิณเจ้าของพรรคออกมาแตะเบรกว่า มาตรา 112 ไม่ใช่ปัญหา ปัญหาอยู่ที่กระบวนการยุติธรรม และคนที่นำมาตรานี้มาสร้างความแตกแยกในสังคม ซึ่งเชื่อว่า สุดท้ายแล้วพรรคเพื่อไทยก็ต้องเดินไปตามที่ทักษิณสั่งให้เดิน

ส่วนตัวแล้วผมไม่ได้ขัดข้องต่อข้อเรียกร้องให้บังคับใช้มาตรา 112 อย่างยุติธรรมไม่กลั่นแกล้งเหวี่ยงแห เพราะหลักของกฎหมายย่อมจะต้องบังคับใช้อย่างเป็นธรรม แต่หากเห็นว่าอัตราโทษทั้งขั้นสูงและขั้นต่ำอาจจะสูงจนเกินไป ก็เป็นเรื่องที่ถกแถลงกันได้ และควรเพิ่มเหตุยกเว้นความผิดถ้าเป็นการวิพากษ์วิจารณ์โดยสุจริตให้เกิดความชัดเจน แต่เห็นว่าจำเป็นต้องมีมาตรา 112

แต่สิ่งที่ม็อบเรียกร้องอยู่ตอนนี้คือ ให้ยกเลิกมาตรา 112 ไม่ใช่เพียงแก้ไขเพื่อให้กฎหมายบังคับใช้อย่างเป็นธรรม ราวกับว่าพวกเขาขอเสรีภาพในการด่าทอพระมหากษัตริย์

ติดตามผู้เขียนได้ที่ https://www.facebook.com/surawich.verawan


กำลังโหลดความคิดเห็น