xs
xsm
sm
md
lg

“เทพมนตรี” จวกยับ “ส.ศิวรักษ์” ได้อภัยโทษ ม.112 กลับเนรคุณ? “อุ๊” เดือด! จี้เอาผิด “ปิยบุตร” 2 ปี กองปราบเงียบ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


ภาพ “เทพมนตรี” จวกยับ “ส.ศิวรักษ์” ขอบคุณภาพจากเพจเฟซบุ๊ก  THE TRUTH
ไม่สำนึก? “เทพมนตรี” สุดทน จวกยับ “ส.ศิวรักษ์” ถ่อสังขารเลือกข้าง “สามกีบ” เผยเคยได้อภัยโทษ ม.112 แต่กลับเนรคุณ? “อุ๊” เดือด ร้องกองปราบเอาผิด “ปิยบุตร” พาดพิงสถาบันฯ 2 ปี เงียบ จี้นำคำวินิจฉัยศาล รธน.จัดการ

น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (11 พ.ย. 64) เพจเฟซบุ๊ก THE TRUTH โพสต์ประเด็น ถอนหงอก “ส.ศิวรักษ์” ถ่อสังขารเป็นพยานคดีล้มการ ปค.แต่ศาลไม่สน เคยได้อภัยโทษ ม.112 แต่กลับเนรคุณ?

โดยระบุว่า จากกรณีเมื่อวานนี้ มีการอ่านคำวินิฉัยของศาลรัฐธรรมนูญตามคำร้อง นายณฐพร โตประยูร ขอให้ศาลวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 ว่า การกระทำของ นายอานนท์ นำภา นายภาณุพงศ์ จาดนอก หรือ ไมค์ และ น.ส.ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล หรือ รุ้ง ชุมนุมปราศรัยเพื่อเสนอข้อเรียกร้อง เป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 วรรคหนึ่ง หรือไม่ จากการชุมนุมปราศรัยในวันที่ 10 ส.ค. 63 จัดขึ้นที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต

โดยในการอ่านคำวินิจฉัยครั้งนี้ ทางทนายความของผู้ถูกร้องได้นำพยาน คือ นายสุลักษณ์ ศิวรักษ์ หรือ ส.ศิวรักษ์ มาด้วย จึงขอให้ศาลช่วยบันทึกไว้ด้วย และขอเรียนด้วยความเคารพในฐานะเป็นผู้รับมอบอำนาจจึงต้องปฏิบัติตามคำสั่งของนายอานนท์

จากนั้น นายนรเศรษฐ์ ทนายของ นายภานุพงศ์ ก็ได้แจ้งต่อศาลในลักษณะเดียวกันว่า ไม่ประสงค์จะอยู่รับฟังคำวินิจฉัย จึงขอออกจากห้องพิจารณาไป ขณะที่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญชี้แจงว่า

ศาลพิจารณาคดีโดยใช้ระบบไต่สวน แสวงหาข้อเท็จจริงได้จากหลายฝ่าย เมื่อได้ข้อเท็จจริงครบถ้วนที่สามารถจะวินิจฉัยได้จึงสั่งงดการไต่สวน ซึ่งเป็นคำสั่งตามกฎหมายบัญญัติ ส่วนการไม่ประสงค์ฟังคำวินิจฉัยก็เป็นสิทธิ

นางสาวปนัสสยา กล่าวกับศาลว่า วันนี้เรามาฟังคำวินิจฉัยโดยทนายของพวกเราเคยมีการยื่นขอศาลให้ดำเนินการไต่สวน หนูไม่ใช่นักกฎหมายก็อาจจะรู้น้อย แต่ก็เข้าใจว่า การได้มาซึ่งความยุติธรรม อย่างน้อยควรจะต้องรับฟังทุกอย่างเท่าที่จะรับฟังได้ ซึ่งวันนี้ อาจารย์ ส.ศิวรักษ์ ได้มารออยู่ พร้อมเข้าไต่สวนหากศาลอนุญาต แต่ถ้าศาลไม่อนุญาตและให้รับฟังคำวินิจฉัย โดยที่หนูไม่มีโอกาสแสวงหาความจริงเพิ่มเติมให้ศาลรัฐธรรมนูญ ก็คงต้องขอออกจากห้องพิจารณาเช่นกัน

ศาลได้ชี้แจงว่า เป็นข้ออ้างของฝ่ายผู้ถูกร้องว่าไม่ไต่สวน แต่ความจริงกระบวนการพิจารณาของศาลไต่สวน เราแสวงหาข้อเท็จจริงทุกอย่าง เอกสารที่ได้มาได้ส่งให้ผู้ถูกร้องเรียบร้อยหมดแล้ว ผู้ถูกร้องมีหน้าที่โต้แย้งเป็นลายลักษณ์อักษร ซึ่งศาลได้รับหมดแล้ว ถือว่าได้ให้ความเป็นธรรม และยุติธรรมกับผู้ถูกร้องทั้งหมดแล้ว ไม่ใช่การพิจารณาในระบบกล่าวหา แต่เป็นระบบไต่สวนซึ่งศาลมีอำนาจไต่สวน แต่ในการไต่สวนศาลได้ให้ผู้ถูกร้องทราบ พยานหลักฐานทุกอย่างและให้โอกาสโต้แย้ง

ดังนั้น กระบวนการพิจารณาถูกต้อง “สิ่งที่คุณอ้าง ก็เป็นข้ออ้างของคุณ” ยืนยันว่า เรื่องนี้ศาลใช้เวลาพิจารณาเป็นปี เรารอบคอบในการหาพยานหลักฐาน ไม่ใช่รับคำร้องมาแล้วตัดสิน ใช้เวลาปีเศษด้วยซ้ำไป

ล่าสุด นายเทพมนตรี ลิมปพยอม นักวิชาการอิสระด้านประวัติศาสตร์ และนักเทววิทยา โพสต์เฟซบุ๊กถึงกรณี ส.ศิวรักษ์ มาเป็นพยานว่า ส.ถ่อสังขารไปศาลฯ เมื่อวานผมนึกขัน เฒ่า ส.จะไปเป็นพยานให้พวกสามกีบล้มล้างการปกครองขึ้นไต่สวนในศาลรัฐธรรมนูญ หน้าเลยแหกไปเพราะศาลฯไม่สนใจ

คราวก่อนจะโดนอัยการศาลทหารเตรียมสั่งฟ้องให้เตรียมเงินประกันตัว 5 แสน กับวิ่งพล่านโทร.มาหาผม แสดงความจงรักภักดีเกินตัวให้ช่วยปลดเปลื้องความทุกข์ “ผมอายุ 85 ปี แก่แล้วครับเทพมนตรี”

ผ่านมาไวจะอายุ 90 ปีแล้ว แต่ ส.พลิกผันไปเข้าข้างขบวนการเด็กสามกีบ เขียนเชียร์ ถ่อสังขารไปปราศรัย ไปเดินทะลุฟ้า นี่ยังจะมาศาลรัฐธรรมนูญเป็นพยานให้คนพวกนี้อีก ตอนนั้นเสือกไม่อยากไปศาลทหารศาลอาญา..
บั้นปลายชีวิตเหลือไม่ถึงขวบปี ชาวบ้านเขาสาปแช่งทุกครั้งที่ออกไปหาเรื่อง ทำจิตใจให้สบายหาหนทางดับทุกข์เถอะครับ

ภาพ นายสุลักษณ์ ศิวรักษ์ ขอบคุณภาพจากเพจเฟซบุ๊ก  THE TRUTH
โดยก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 25 พ.ย. 63 นายเทพมนตรี ได้โพสต์ข้อความถึง ส.ศิวรักษ์ ด้วยว่า

ส.ศิวรักษ์…. เนรคุณ อยากให้ทุกคนรู้ความจริง ผมเป็นคนร่าง (ฎีกา) จดหมายขอพระราชทานอภัยโทษ มาตรา 112 ให้ ส.ศิวรักษ์ เอง ที่โดนคดีสมเด็จพระนเรศ เพราะปากดีที่ธรรมศาสตร์ ตอนแรกแกเขียนมาอ่านไม่รู้เรื่อง ใช้ราชาศัพท์ผิด เห็นคุยนักคุยหนาว่ารู้ขนบธรรมเนียม มันก็ขี้กรากตัวหนึ่ง ไม่รู้เรื่องอันใด

ผมเป็นคนแนะนำทุกขั้นตอนเสียด้วยซ้ำ ว่าจะปฏิบัติอย่างไร มหาดเล็กในพระที่เป็นพยานได้ จนให้มันหาโอกาสถวายฎีกาความทุกข์ส่วนตัวของมัน เมื่อเข้าเฝ้าพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๑๐ ที่พระที่นั่งอัมพร พระองค์ท่านมีเมตตามาก ถึงโปรดเกล้าฯให้เข้าเฝ้าเป็นการส่วนพระองค์ มีคนไทยสักกี่คนจะมีวาสนา ทรงให้พนักงานชาวที่นำเก้าอี้มาให้นั่งเกือบเสมอ เพราะเห็นว่าแก่ชรามากเดินเหินต้องใช้ไม้เท้า ทรงมีพระราชปฏิสันถารให้ความเป็นกันเอง และทรงให้งานสำคัญ 3 ชิ้น เพื่อถวายคำแนะนำพระองค์ท่าน มันโคตรโชคดีเลยว่าไหม?

ผมจึงสงสัยว่า ทำไมมันถึงเนรคุณได้ถึงเพียงนี้ ใครจะนับถือมันก็นับถือไป แต่ผมไม่เอามันไว้ คนอกตัญญู โทร.มาหาผม แทบจะกราบเท้า อ้อนวอนขอความช่วยเหลือ ผมเห็นแก่ ดร.พิริยะ ไกรฤกษ์ จึงช่วย แต่พอได้สมใจตนเองก็ไปอวดอ้างตน และไปเข้าข้างพวกที่ใส่ร้ายป้ายสี พวกที่จะล้มพระองค์ท่าน เป็นใครที่ได้เห็นได้รับรู้การกระทำแบบนี้จะเสียใจไหม

ผมขอถามหน่อยเถอะ มีความเป็นคนมากน้อยเพียงใดกัน มาวันนี้มันชัดแล้วไม่ต้องมาขอพระราชทานอภัยโทษอะไรอีก คนเยี่ยงนี้ตายไปก็มีแต่คนสาปแช่ง นรกขุมไหนเดาเอาเองครับ ขี้เกียจพูดแล้ว ผมเองรู้สึกผิดจริงๆ ที่ช่วยมันครับ

ภาพ “อุ๊” เดือด ร้องกองปราบเอาผิด “ปิยบุตร”  ขอบคุณภาพจากเพจเฟซบุ๊ก  THE TRUTH
ขณะเดียวกัน THE TRUTH โพสต์ประเด็น “อุ๊” เดือด! 2 ปี ร้องกองปราบเอาผิด “ปิยบุตร” ยังเงียบ จี้นำหลักฐานศาล รธน.จัดการ

เนื้อหารระบุว่า จากที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยแล้วเห็นว่า 10 ข้อเรียกร้อง ของกลุ่มผู้ชุมนุม คณะราษฎร เมื่อวันที่ 10 ส.ค. 63 ที่ ม.ธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต ซึ่งนำโดย อานนท์ นำภา, ภาณุพงศ์ จาดนอก, ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล, มีความผิดฐานล้มล้างการปกครองชัดเจน

ต่อมามีการตั้งข้อสังเกตที่น่าสนใจ เกี่ยวกับผู้ให้การสนับสนุน อาจจะเข้าข่ายมีความผิดไม่ต่างกัน โดยเฉพาะ นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า ที่แม้การเคลื่อนไหวจะพาดพิงสถาบันพระมหากษัตริย์ มาโดยตลอด แต่กลับรอดพ้นไม่เคยโดนข้ออะไร ด้วยอาศัยความเป็นนักกฎหมาย

โดยตัวอย่างหนึ่ง หากย้อนไปเมื่อวันที่ 13 ส.ค. 63 นายปิยบุตร ได้ยืนยันผ่านเฟซบุ๊กของตนเอง ว่า 10 ข้อเรียกร้อง “ธรรมศาสตร์จะไม่ทน” คือ ข้อเท็จจริง และไม่มีส่วนเกี่ยวข้องละเมิด “สถาบัน”

ซึ่งได้เปิดเผยว่า “ข้อเสนอทั้ง 10 ข้อของพวกเขา ไม่ได้ทำให้ประเทศไทยเปลี่ยนรูปแบบของรัฐ ประเทศไทยยังคงเป็นราชอาณาจักร มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขของรัฐสืบทอดทางสายโลหิต เช่นเดิม

ข้อเสนอทั้ง 10 ข้อของพวกเขา ไม่มีตรงไหนที่กระทบถึงการดำรงอยู่ของสถาบันพระมหากษัตริย์ในประเทศไทย ตรงกันข้าม ข้อเสนอทั้ง 10 ข้อของพวกเขา คือ การนำสิ่งที่พวกเขาเห็นว่าสำคัญอย่างยิ่งยวดขึ้นมาพูดคุยอย่างเปิดเผย จริงใจ ตรงไปตรงมา ทั้งหมดก็เพื่อธำรงรักษาสถาบันพระมหากษัตริย์ ให้สอดคล้องกับประชาธิปไตย”

ล่าสุด วันนี้ (11 พ.ย. 64) อุ๊ หฤทัย ม่วงบุญศรี ศิลปินนักร้องชื่อดัง ได้ออกมาโพสต์ข้อความถึงกรณีดังกล่าว พร้อมทวงถามถึงความคืบหน้าคดีที่เคยร้องทุกข์เอาผิดนายปิยบุตรไว้ที่กองปราบ ว่า

“2 ปีแล้วที่อุ๊ร้องทุกข์กล่าวโทษนายปิยบุตร ที่สำนักงานกองปราบฯ เรื่องนายปิยบุตร มีเจตนาบั่นทอนสถาบันพระมหากษัตริย์ (เสาหลักของชาติ) ให้สั่นคลอน เพื่อเจตนามุ่งหวังให้เกิดเปลี่ยนแปลงการปกครอง หลังจากคำพิพากษาของศาลรัฐธรรมนูญวันนี้ทางกองปราบฯสามารถดำเนินการตรวจสอบได้รึยังคะ?”

อย่างไรก็ตาม ทีมข่าวเดอะทรูธ ได้ตรวจสอบถึงเนื้อหาที่ อุ๊ หฤทัย เปิดเผยไว้ ก็พบรายละเอียดของคดีนี้เมื่อวันที่ 3 เม.ย. 62 ที่กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) น.ส.หฤทัย ม่วงบุญศรี หรือ อุ๊ พร้อมทนายความ ได้เดินทางเข้าร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน บก.ป. เพื่อขอให้ตรวจสอบคลิปคำพูดของ นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ในขณะนั้น ที่กล่าวในงานเสวนาเรื่อง “การเมืองความยุติธรรมและกษัตริย์” ซึ่งจัดขึ้นที่อนุสรณ์สถาน 14 ตุลา เมื่อวันที่ 17 ก.พ. 56 ว่าขัดต่อความมั่นคงของชาติหรือไม่ พร้อมนำหลักฐานคลิปวิดีโอ ความยาว 51 นาที พร้อมสำเนาบทถอดคำพูดอย่างละเอียดมามอบให้พนักงานสอบสวนด้วย

ภาพ นายปิยบุตร แสงกนกกุล จากแฟ้ม
ทั้งนี้ อุ๊ หฤทัย กล่าวว่า แม้ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นมานานแล้ว และไม่เกี่ยวข้องกับพรรคการเมือง แต่การเสวนาดังกล่าวมีการบันทึกเทปเผยแพร่ในสื่อโซเชียล ทำให้ประชาชนทุกคนสามารถเข้าไปรับชมรับฟังตลอดเวลา ซึ่งเนื้อหาในการเสวนามีลักษณะการพาดพิงในเรื่องของรัฐสภาที่ปัดตกร่าง พ.ร.บ. แก้ไข มาตรา 112 และพาดพิงสถาบันหลักของชาติ ทำให้ประชาชนเกิดความเข้าใจผิด

“ในฐานะเป็นพลเมืองแม้ไม่ใช่คู่กรณีของนายปิยบุตร แต่เนื้อหาที่เกิดขึ้นทำให้ประเทศชาติเสียหาย เป็นการหวังผลให้เกิดความสั่นคลอนต่อระบบการปกครองที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ตนเองจึงมาร้องกองปราบให้ตรวจสอบว่า เข้าข่ายการกระทำความผิดว่าด้วยเรื่องความมั่นคงหรือไม่”

นอกจากนี้ ในวันดังกล่าว ผู้สื่อข่าวยังรายงานด้วยว่า เบื้องต้นทางพนักงานสอบสวน ได้รับคำร้องไว้พิจารณา และจะสอบปากคำอย่างละเอียด ส่วนจะมีการออกหมายเรียกบุคคลใดหรือไม่ อยู่ระหว่างพิจารณา

แน่นอน, ประเด็นที่น่าสนใจก็คือ การยึดเอาคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเมื่อวันที่ 10 พ.ย. 64 ไปเป็นหลักฐานประกอบการดำเนินคดี ที่มีความเกี่ยวข้องกัน โดยเฉพาะบุคคล กลุ่มบุคคล หรือ องค์กร ที่มีส่วนร่วมสนับสนุนการกระทำของ ม็อบสามนิ้ว ซึ่งถูกศาลฯตัดสินว่า ล้มล้างการปกครองฯ จะกลายเป็นแนวรบสำคัญต่อแต่นี้

ที่น่าสนใจไปกว่านั้น ขบวนการ 3 นิ้ว และม็อบ 3 นิ้ว จะมีการเคลื่อนไหวเรื่องนี้ต่อไปหรือไม่ และจะทำอย่างไร ในเมื่อถูกศาลฯสั่งห้ามเอาไว้แล้ว ซึ่งถ้าทำก็ถือว่า ละเมิดคำสั่งศาล

อย่าลืมว่า แกนนำอย่าง “รุ้ง” ก็ประกาศเอาไว้แล้วว่า จะไม่หยุดเรียกร้องประเด็นที่ถูกตัดสินล้มล้างการปกครองฯ ยังคงยืนยันจะเคลื่อนไหวต่อไป

ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง กลุ่มที่เคยสนับสนุนจะเอาด้วยหรือไม่ โดยเฉพาะคนที่เคยแสดงออกอย่างชัดเจน อย่าง แกนนำคณะก้าวหน้า และ ส.ส.พรรคก้าวไกล รวมถึงนักวิชาการ “ล้มเจ้า” ทั้งหลาย เพราะนี่คือ การตีกรอบเอาไว้แล้ว ไม่ให้ทำผิดอีก โดยศาลรัฐธรรมนูญนั่นเอง

ทั้งต้องไม่ลืมว่า ข้ออ้างในการชุมนุมของ “สามนิ้ว” เพื่อเรียกร้องปฏิรูปสถาบันฯและยกเลิก ม.112 ก็คือ การใช้เสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ แต่วันนี้ศาลฯวินิจฉัยชัดเจนว่า ไม่ใช่ เพดานต่อไปจะทะลุ หรือ ลดลงมา

เหนืออื่นใด ต้องจับตามองคำขู่ ที่ว่า จะยิ่งทำให้ความขัดแย้งแตกแยกในประชาชนสูงขึ้น จริงหรือไม่ หรือ จะทำให้ม็อบต่างหาก ที่เจองานยากลำบาก จนไปไม่เป็น

อย่าลืมว่า กองหนุนม็อบขณะนี้ มีแต่คนยุยง แต่ไม่มีคนร่วมเป็นร่วมตาย คิดเอาว่าจะไปต่อ หรือพอแค่นี้ จนกว่าพวกมันคนยุยง จะออกมานำขบวนต่อสู้ด้วยตัวเอง!?


กำลังโหลดความคิดเห็น