xs
xsm
sm
md
lg

ชำแหละ “บูด” บิดเบือน สมบูรณาญาสิทธิราชย์จำแลง “สุนัย” รับกรรมแล้ว เปิดคำปราศรัยสุดเหิมล้มการปกครอง?

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


ภาพ “ดร.นิว” ซัด “ปิยบุตร” บิดเบือนสมบูรณาญาสิทธิราชย์จำแลง ขอบคุณภาพจากเพจเฟซบุ๊ก The METTAD
ตบหน้าอย่างจัง! “ดร.นิว” ซัด “ปิยบุตร” บิดเบือนสมบูรณาญาสิทธิราชย์จำแลง “ไพศาล” ชี้ “สุนัย” ด่าเจ้ารายวันได้รับผลกรรม เปิดคำปราศรัย แกนนำ 3 นิ้ว โจมตีสถาบัน? ลุ้นศาลฯชี้ขาด 10 พ.ย. ล้มการปกครองหรือไม่

น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (9 พ.ย. 64) เพจเฟซบุ๊ก The METTAD โพสตฺข้อความระบุว่า “ดีเบตกะนิวไหม คราวนี้เอาจริงก็ได้นะ”

โดยแชร์ เฟซบุ๊ก Suphanat Aphinyan ของ “ดร.นิว” ดร.ศุภณัฐ อภิญญาณ นักวิจัยภายใต้สถาบันวิจัย MAST Center และคณะวิศวกรรมชีวการแพทย์ University of Arkansas ประเทศสหรัฐอเมริกา หัวข้อ ชำแหละวาทกรรมบูดบิดเบือน “สมบูรณาญาสิทธิราชย์จำแลง” ของ “ปิยบุตร แสงกนกกุล”

เนื้อหาระบุว่า ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (Constitutional Monarchy) คือ ระบอบการปกครองที่พระมหากษัตริย์ทรงสละพระราชอำนาจส่วนใหญ่ที่มีมาแต่เดิมให้กับประชาชน เพื่อให้ประชาชนได้เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยและปกครองประเทศชาติร่วมกัน

“พระราชอำนาจส่วนใหญ่ที่มีมาแต่เดิม” จึงได้กลายเป็นที่มาของ “รัฐธรรมนูญ” ซึ่งเท่ากับว่า พระมหากษัตริย์ไม่ได้ทรงปกครองเองโดยตรง หากแต่ทรงปกครองผ่านรัฐธรรมนูญร่วมกับประชาชน แล้วทรงเป็นประมุขแห่งรัฐ ทรงมีบทบาทและพระราชอำนาจอันพึงมีตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ ด้วยเหตุนี้รัฐธรรมนูญจึงเป็นเส้นแบ่งสำคัญระหว่างความเป็น “สมบูรณาญาสิทธิราชย์” กับ “ประชาธิปไตย”

โดยพระมหากษัตริย์ในระบอบประชาธิปไตยทั่วโลก ล้วนแต่ทรงมีบทบาทและพระราชอำนาจอันพึงมีคล้ายคลึงกัน หากแต่มีรายละเอียดปลีกย่อยของพระราชอำนาจที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญมากน้อยไม่เท่ากัน แตกต่างกันไปตามเงื่อนไขทางประวัติศาสตร์ อัตลักษณ์ของชาติ และวัฒนธรรมที่ต่างกัน

เมื่อ “สมบูรณาญาสิทธิราชย์” หมายถึง ระบอบการปกครองที่พระมหากษัตริย์เพียงพระองค์เดียว ถืออำนาจสิทธิ์ขาดในการบริหารประเทศ วาทกรรม “สมบูรณาญาสิทธิราชย์จำแลง” ของ “ปิยบุตร แสงกนกกุล” จึงมีเจตนาบิดเบือนให้ร้ายเพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ผิดว่า พระมหากษัตริย์เพียงพระองค์เดียวยังคงถืออำนาจสิทธิ์ขาดในการบริหารประเทศ ซึ่งไม่ตรงกับความเป็นจริงแม้แต่น้อย

เพราะนับตั้งแต่การเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 คณะราษฎรได้ปล้นพระราชอำนาจ โดยอ้างว่าทำในนามของราษฎรและเพื่อราษฎร แต่กลับถ่ายโอนอำนาจอธิปไตยมาสู่คณะปกครองเสียเอง ไม่ได้ทำอำนาจอธิปไตยให้เป็นของปวงชนอย่างแท้จริง รูปแบบการปกครองในทางปฏิบัตินับตั้งแต่นั้นเรื่อยมาจนถึงปัจจุบันจึงเป็น “คณาธิปไตย” ที่อำนาจสูงสุดในการปกครองอยู่ที่คณะปกครองมาโดยตลอด ในขณะที่ประชาชนเป็นเพียงแค่ตัวประกอบเพียงแค่ไม่กี่นาทีในคูหาเลือกตั้ง ไม่ใช่ “สมบูรณาญาสิทธิราชย์จำแลง” ตามที่ปิยบุตรประดิษฐ์วาทกรรมบิดเบือนขึ้นมา

ดังนั้น การที่ปิยบุตรเอารายละเอียดปลีกย่อยที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับอำนาจในการบริหารประเทศโดยตรงมาเป็นตัวตั้ง และจงใจบิดเบือนให้ร้ายสถาบันพระมหากษัตริย์ไทย แล้วกล่าวหาเกินจริงอย่างร้ายแรงว่าเป็น #สมบูรณาญาสิทธิราชย์จำแลง จึงเป็นเรื่องที่เหลวไหลและปัญญาอ่อนที่สุด สะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจนว่าปิยบุตรไม่ได้มีความเข้าใจหลักการเมืองการปกครองแต่อย่างใด หากแต่มุ่งบิดเบือนให้ร้ายสถาบันพระมหากษัตริย์แบบมั่วๆ ไม่ได้ต่างจากการแต่งนิยายประโลมโลก

นักวิชาการเต่าถุย ความคิดวิปริต ตรรกะวิปลาส อย่าง “ปิยบุตร แสงกนกกุล” จึงเป็นได้แค่ #นักปฏิวัติใต้กระโปรง ที่คอยบิดเบือนให้ร้ายสร้างความเข้าใจผิดๆ ต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ เพียงเพื่อสร้างความเกลียดชังและความอาฆาตมาดร้ายด้วยการประดิษฐ์วาทกรรมบิดเบือนให้ร้ายอย่างสกปรก ทั้งๆที่ประเทศไทยมาไกลเกินกว่าคำว่าสมบูรณาญาสิทธิราชย์เสียมากแล้ว และไม่มีวันที่จะหวนกลับไปสู่สมบูรณาญาสิทธิราชย์ได้อีก โดยที่ปิยบุตรไม่เคยชี้ให้เห็นถึงต้นตอที่แท้จริงของปัญหาระบอบเผด็จการ ที่มาจากคณาธิปไตยของบรรดานักธุรกิจการเมืองนับตั้งแต่คณะราษฎรเป็นต้นมา

แล้วแบบนี้จะไม่ให้เรียก “ปิยบุตร แสงกนกกุล” ว่า #ไอ้กบฏหน้าตัวเมีย ได้อย่างไร? ในเมื่อปิยบุตรมีความคิดในแนวทางกบฏ มุ่งแต่บิดเบือนให้ร้ายสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างชัดเจน จมปลักดักดานอยู่กับการปลุกเร้าไปสู่การปฏิวัตินองเลือด ทำตัวไม่ต่างจากกากเดนจากยุคสมัยของอนาธิปไตยที่ล้าหลังและป่าเถื่อน แต่ขี้ขลาดตาขาว คอยชี้นำหลอกใช้ให้คนอื่นทำผิดติดคุกติดตะรางแทนตัวเอง ในขณะที่ตัวปิยบุตรเองเอาแต่มุดหัวอยู่ใต้กระโปรง

ขณะเดียวกัน เพจเฟซบุ๊ก THE TRUTH โพสต์ประเด็นไพศาลเผยล่าสุด “สุนัย” ลี้ภัยคดี ม.112 สหรัฐ ส่อพิการ ตาเสื่อม ปากเบี้ยว ห่วงเส้นเลือดสมองแตก

ภาพ “สุนัย” ด่าเจ้ารายวันได้รับผลกรรม ขอบคุณภาพจากเพจเฟซบุ๊ก THE TRUTH
โดยระบุว่า นายไพศาล พืชมงคล อดีตกรรมการผู้ช่วยรองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) ได้ออกมาเปิดเผยถึงอดีต ส.ส.พรรคเพื่อไทย รายหนึ่งซึ่งหลบหนีคดีตามความผิดมาตรา 112 อยู่ที่สหรัฐอเมริกา นั้น

ล่าสุด นายไพศาล ได้เล่าถึงความเคลื่อนไหวของนักการเมืองคนดังกล่าวไว้ในเฟซบุ๊ก ระบุว่า

ลุงสุนัยหนีไปตั้งหลักในสหรัฐฯ ตั้งวงป่าวร้ายสถาบันทุกวัน จนเวรกรรมตามทันกลายเป็นคนพิกลพิการแล้ว!!!!

1. ลุงสุนัยหนีคดีอาญา จากบ้านเกิดเมืองนอน ไปตั้งวงด่าเจ้า โดยได้รับความคุ้มครองจากขบวนล้มเจ้าของสหรัฐฯ

2. ลุงสุนัยเอาเรื่องผิดๆ ถูกๆ ไปตั้งวงด่าเจ้าทุกวัน ครั้นความจริงปรากฏว่าเป็นเรื่องไม่จริง เป็นเรื่องโกหก ก็ไม่กล้าแก้ตัว กลับยกเรื่องอะไรขึ้นมาพูดกลบเกลื่อนจนเกิดความเบื่อหน่าย ไร้ราคามากขึ้นทุกที

3. ล่าสุด วิบากกรรม ตามทันแล้ว มีอาการพิกลพิการเกิดขึ้นอย่างชัดเจน เส้นประสาทตาเสื่อม ทำให้ตาขยุกขยิก ปากเริ่มบูดเบี้ยว น่าห่วงว่าเส้นเลือดสมองจะแตก!

4. คนมีอำนาจหน้าที่ไม่ทำหน้าที่พิทักษ์ปกป้องสถาบัน ดังนั้น คงถึงเวลาประชาชนยกขบวนกันไปถามสถานทูตสหรัฐฯ หรือคนไทยในสหรัฐฯยกขบวนกัน ไปร้องต่อรัฐสภาสหรัฐฯ ให้เลิกปกป้องคุ้มครองคนป่าวร้ายมาดร้ายสถาบันอันเป็นที่เคารพสักการะของคนไทย และให้ส่งตัวกลับประเทศไทยแล้ว

อย่าไปหวังพึ่งรัฐมนตรีเส็งเคร็…เลย!!!

ทั้งนี้ ทีมข่าวเดอะทรูธ ตรวจสอบถึงลุงสุนัย ที่นายไพศาลระบุนั้น ก็คาดว่า น่าจะเป็น นายสุนัย จุลพงศธร อดีต ส.ส.พรรคเพื่อไทย ผู้ต้องหาในคดีผิดตามมาตรา 112 รวมทั้งขัดคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. ในการเรียกรายงานตัว

ก่อนหน้านี้ พลเอก ไพบูลย์ คุ้มฉายา ในขณะดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ได้เคยออกมาเปิดเผยถึงรายชื่อ 23 คนที่ถูกหมายจับในคดีหมิ่นสถาบัน มาตรา 112 โดยเคลื่อนไหวและหลบหนีอยู่ต่างประเทศ ซึ่งคณะทำงาน หรืออนุกรรมการติดตามคดีหมิ่นสถาบัน มาตรา 112 ได้ดำเนินการแจ้งเรื่องไปยังประเทศต่างๆ ผ่านกระทรวงการต่างประเทศ ที่ให้ที่พำนักของบุคคลเหล่านี้

แม้ทางการไทยจะไม่คาดหวังว่าจะสามารถนำตัวบุคคลเหล่านี้มาดำเนินคดีในประเทศไทยได้ เพราะติดปัญหากฎหมายและเรื่องสิทธิมนุษยชน พบว่า นายสุนัย มีรายชื่อเป็น 1 ใน 23 คนที่คาดว่าพำนักอยู่ในประเทศแถบยุโรป อย่างไรก็ตาม พบว่า นายสุนัย เคยถ่ายรูปร่วมกับนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี รวมทั้งเคยนำคนเสื้อแดงในต่างประเทศต้อนรับอดีตนายกฯทักษิณด้วย

นอกจากนี้ ทีมข่าวเดอะทรูธ ยังพบว่า สำนักข่าว VOA Thai ได้จัดทำสารคดีพิเศษเกี่ยวกับการใช้ชีวิตผู้ลี้ภัยทางการเมืองชาวไทยในสหรัฐฯ เมื่อปี 2562 และที่น่าสนใจคือเรื่องราวของ “สุนัย จุลพงศธร” อดีต ส.ส.พรรคไทยรักไทย ที่เคยเคลื่อนไหวในนามกลุ่ม “3 ส.ตาสว่าง” ร่วมกับสมยศ พฤกษาเกษมสุข และสุรชัย แซ่ด่าน

โดย นายสุนัย บอกว่า ตลอด 5 ปี ได้ตระเวนขอพักอาศัยตามบ้านของชาวชุมชนไทยในสหรัฐอเมริกาที่ให้การสนับสนุน หมุนเวียนไปตามรัฐต่างๆ

“เวลาพักก็พักง่ายๆ บ้านไหนมีห้องก็นอนห้อง ถ้าไม่มีก็นอนโซฟา นอนตามพื้น เราอยู่ต้องไม่รบกวนเขามาก มีอาหารการกินอะไรก็กินกับเขา ทำให้เราไม่ประมาทนะครับ เพราะทำให้ คสช.ไม่รู้ว่าผมอยู่ที่ไหน”

ภาพ แกนนำ 3 นิ้ว ลุ้นระทึก ขอบคุณภาพจากเพจเฟซบุ๊ก THE TRUTH
ที่น่าสนใจไม่แพ้กัน THE TRUTH ยังโพสต์ประเด็น เปิด คำปราศรัย-ตีแผ่พฤติกรรม 3 แกนนำพุ่งเป้าโจมตีสถาบัน? ลุ้นศาล รธน.ชี้ขาดคดีเข้าข่ายล้มล้างการปกครอง?

โดยระบุว่า จากกรณีสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญเผยแพร่เอกสารการประชุมปรึกษาคดีของศาลรัฐธรรมนูญ ในคดีที่ ณฐพร โตประยูร ในฐานะผู้ร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 ว่า การกระทำของ อานนท์ นำภา ภาณุพงศ์ จาดนอก ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล พริษฐ์ ชิวรักษ์ จุฑาทิพย์ ศิริขันธ์ สิริพัชระ จึงธีรพานิช สมยศ พฤกษาเกษมสุข และ อาทิตยา พรพรม รวม 8 คน ในการชุมนุมปราศรัย (ที่ ม.ธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต ในหัวข้อ “ธรรมศาสตร์จะไม่ทน”) เพื่อเสนอข้อเรียกร้องเป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 วรรคหนึ่ง หรือไม่

โดยศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้องเฉพาะการกระทำในการชุมนุมปราศรัยของ อานนท์ ภาณุพงศ์ และ ปนัสยา เมื่อวันที่ 10 ส.ค. 2563 ไว้พิจารณาวินิจฉัย ให้ผู้ถูกร้องทั้งสามยื่นคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อัยการสูงสุด สถานีตำรวจภูธรคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ สำนักข่าวกรองแห่งชาติ และมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์จัดส่งเอกสารหลักฐานที่เกี่ยวข้อง

ทั้งนี้ ศาลรัฐธรรมนูญอภิปรายเพื่อนำไปสู่การวินิจฉัยแล้วเห็นว่า คดีมีพยานหลักฐานเพียงพอที่จะพิจารณาวินิจฉัยได้ จึงยุติการไต่สวน กำหนดนัดแถลงด้วยวาจา ปรึกษาหารือ และลงมติ และอ่านคำวินิจฉัยให้คู่กรณีฟัง ในวันพุธที่ 10 พ.ย. 64 เวลา 15.00 น.

ล่าสุด รศ.หริรักษ์ สูตะบุตร อดีตรองอธิการบดีฝ่ายบริหารบุคคล มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์เฟซบุ๊กถึงกรณีดังกล่าว ระบุว่า

ไม่ค่อยเป็นข่าวแต่ตามกำหนด วันที่ 10 พ.ย. นี้ จะเป็นวันนัดฟังคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ กรณีที่ นายณฐพร โตประยูร ยื่นคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า

แกนนำม็อบราษฎร จำนวน 8 ราย ได้ปราศรัยเสนอข้อเรียกร้อง เป็นการใช้สิทธิเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครอง ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญมาตรา 49 วรรคหนึ่งหรือไม่ แต่ศาลรัฐธรรมนูญเพียงรับคำร้องเฉพาะการกระทำของ นายอานนท์ นำภา นายภาณุพงศ์ จาดนอก และ น.ส.ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล รวม 3 รายในการปราศรัยเมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2563 ที่ลานพญนาค มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต เท่านั้น ดังนั้น เราลองย้อนกลับไปดูว่า แกนนำทั้ง 3 ได้ปราศรัยโดยสรุปว่าอย่างไรบ้างในวันนั้น

นายภาณุพงศ์ จาดนอก ได้ปราศรัยเปรียบเทียบสถาบันกษัตริย์ ว่า เหมือนต้นไม้ต้นหนึ่งตั้งอยู่ในที่ที่จะมีการตัดถนนผ่าน เพื่อนำความเจริญมาสู่พื้นที่ จึงควรขุดต้นไม้ต้นนั้นออกเพื่อนำไปไว้ในที่ที่ควรอยู่ ซึ่งสื่อความหมายชัดเจนว่า สถาบันกษัตริย์เป็นอุปสรรคขัดขวางความเจริญของประเทศ

นายภาณุพงศ์ ยังกล่าวว่า ปัจจุบันประเทศเรายังคงอยู่ในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ เพราะกษัตริย์ยังคงอยู่เหนืออำนาจอธิปไตยที่ประชาชนเป็นเจ้าของ เพราะในรัฐธรรมนูญหมวด 2 ระบุว่า ผู้ใดจะฟ้องร้องพระมหากษัตริย์มิได้ พระมหากษัตริย์จึงอยู่เหนือประชาชน ประชาชนแตะต้องไม่ได้ เพราะหากแตะต้องจะต้องโดนมาตรา 112 กษัตริย์ควรจะต้องกลับมาอยู่ในประเทศไทย ไม่ควรอยู่ที่ประเทศเยอรมัน เพราะเป็นการเปลืองภาษีประชาชน ประเทศนี้เป็นของประชาชน มิใช่เป็นของกษัตริย์อย่างที่เขาหลอกลวง

นายภาณุพงศ์ เรียกร้องให้ลดพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ลง และสุดท้ายยังกล่าวโจมตีตำรวจว่า คุกคามประชาชน เป็นสุนัขรับใช้เผด็จการ และยังท้าทายด้วยความฮึกเหิมว่า

“แกนนำโดนจับวันไหน วันนั้นมึงต้องเจอกับประชาชนทั้งแผ่นดิน”

นางสาวปนัสยา สิทธิจิรวัฒนวงศ์ หรือ รุ้ง เริ่มต้นปราศรัยก็เสียดสีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทันที โดยบอกว่าในหมายจับที่มาจับแกนนำเขียนว่า “ในพระปรมาภิไธย” นางสาวปนัสยา ไม่ทราบหรือแกล้งไม่ทราบแต่ต้องการให้คนฟังเข้าใจผิดว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงสั่งให้จับ แต่ความจริงศาลเป็นผู้ออกหมายจับ เป็นธรรมดาที่ในหมายจับต้องมีคำว่า “ในพระปรมาภิไธย” อยู่แล้ว

นางสาวปนัสยา พยายามชี้ให้ผู้ชุมนุมเห็นว่า ทุกคนเกิดมาต้องเท่ากัน ไม่มีใครเกิดมาสูงศักดิ์กว่าใคร พวกเขาหลอกลวงว่า ผู้ที่เกิดมาในราชวงศ์ เป็นเทพ เทวดาลงมาเกิด ถ้าจริง ทำไมเทพจึงมีนิสัยใจคอเช่นนี้ พวกเขาสร้างเรื่องขึ้นเพื่อ “กดขี่ข่มเหง และเสวยสุขบนความทุกข์ยากของประชาชน”

นางสาวปนัสยา ตั้งข้อกล่าวหา และพยายามโน้มน้าวให้ผู้ชุมนุมเชื่อว่า สถาบันกษัตริย์มีส่วนในการอุ้มฆ่าผู้เห็นต่างทางการเมือง กรณี กาสะลอง ภูชนะ สุรชัย แซ่ด่าน และ วันเฉลิม ทั้งที่ทั้งหมดเป็นเพียงข่าวลือ และเน้นย้ำว่า ในระบอบประชาธิปไตย ประชาชนต้องมีเสรีภาพในการแสดงออก ต้องสามารถพูดอะไรก็ได้ที่อยากพูด แม้กระทั่งจะพูดว่า ไม่ต้องการสถาบันกษัตริย์ก็จะต้องพูดได้ และยังได้อ่านข้อเรียกร้อง 10 ข้อในการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ที่เป็นที่ทราบภายหลังว่าผู้อื่นเขียนให้อ่านอีกด้วย

นายอานนท์ นำภา เริ่มต้นด้วยการพูดว่า ทุกคนที่พูก่อนหน้าตนเอง เป็นเรื่องจริง นายอานนท์ กล่าวว่า ปัญหาในขณะนี้คือ สถาบันกษัตริย์พยายามขยายพระราชอำนาจผ่านคณะรัฐประหาร 2557 พวกเราเป็นลูกหลานของคณะราษฎร จะต้องทำหน้าที่แทนคณะราษฎร สานต่องานของคณะราษฎรให้สำเร็จ สถาบันกษัตริย์ต้องอยู่เหนือการเมือง และอยู่ใต้รัฐธรรมนูญ สถาบันกษัตริย์ต้องปรับตัวเข้าหาประชาชน ไม่ใช่ให้ประชาชนปรับตัวเข้าหาสถาบันกษัตริย์ นายอานนท์ เสนอให้นำเรื่องนี้เข้าสภาฯ และให้ขีดเส้นตายว่า ภายในวันที่ 1 ธันวาคม ต้องไม่มี ส.ว.ขี้ข้าเผด็จการในการเมืองไทย และเรียกร้องให้ทุกคนต่อสู้เคียงบ่าเคียงใหล่กันจนกว่าจะถึงเส้นชัย

ภาพ รศ.หริรักษ์ สูตะบุตร ขอบคุณภาพจากเพจเฟซบุ๊ก THE TRUTH
จะเห็นว่า ทั้ง 3 คน เมื่อขึ้นเวที เห็นคนเป็นหมื่นเป็นครั้งแรกมารวมตัวกัน จึงมีความฮึกเหิม คิดว่าประชาชนทั้งประเทศอยู่ข้างตัวเอง ความฮึกเหิมทำให้ขาดความระมัดระวัง ทำให้การปราศรัยของทุกคนน่าจะเข้าข่ายเป็นความผิดตามมาตรา 112 ทั้งสิ้น ที่เบาที่สุดน่าเป็นนาย อานนท์ นำภา ที่เป็นนักกฎหมาย จึงค่อนข้างระวังคำพูดพอสมควร แต่สำหรับ นายภาณุพงศ์ กับ น.ส.ปนัสยา ชัดเจนว่าเข้าข่ายเป็นความผิดตามมาตรา 112

การปราศรัยของคนทั้ง 3 จะเข้าข่ายเป็นการใช้สิทธิเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขหรือไม่ ต้องรอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย แต่มีข้อสังเกตคือ การชุมนุม “ธรรมศาสตร์จะไม่ทน” มีข้อเรียกร้องที่ประกาศไว้ก่อนการชุมนุม 3 ข้อ คือ ยุบสภา แก้รัฐธรรมนูญ และหยุดคุกคามประชาชน แต่ในการปราศรัย แทบจะไม่มีใครแตะ 3 ข้อเรียกร้องที่ประกาศไว้เลย โดยเฉพาะผู้ปราศรัยหลักทั้งสามล้วนพุ่งเป้าไปที่สถาบันพระมหากษัตริย์ทั้งสิ้น ข้อสังเกตอีกประการคือ ความเข้าใจของแกนนำว่า ประชาชนส่วนใหญ่ให้การสนับสนุนพวกตนนั้นไม่ได้เป็นจริงตามนั้น เมื่อนายภาณุพงศ์และแกนนำคนอื่นๆ ถูกจับกุมดำเนินคดี ก็ไม่ได้มีประชาชนทั้งแผ่นดินออกมาประท้วง ตามที่คุยไว้ มีแต่แนวร่วมของขบวนการนี้เพียงไม่กี่คน เส้นตายที่นายอานนท์ กำหนดว่าต้องมีการแก้รัฐธรรมนูญไม่ให้มี ส.ว. 250 คน ก็ไม่ได้เกิดขึ้น ซึ่งนายอานนท์และพวกก็ไม่สามารถทำอะไรได้เลย

และการชุมนุมที่จัดว่ามีผู้ร่วมชุมนุมเป็นจำนวนมาก มีอีก 2 ครั้ง คือ การชุมนุมวันที่ 19 ก.ย. 63 ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ และสนามหลวง กับอีกครั้งในวันที่ 16 ต.ค. ที่ 4 แยกราชประสงค์ จากนั้นเป็นต้นมา การชุมนุมแต่ละครั้งมีจำนวนผู้ชุมนุมน้อยลงเรื่อยๆ ขาดพลังลงเรื่อยๆ แต่กลับมีความรุนแรงมากขึ้น

ปัจจุบัน แกนนำจำนวนมากของขบวนการนี้ถูกดำเนินคดีกันคนละหลายคดี กระแสต้านมีมากขึ้น แสดงออกมากขึ้น ขบวนการนี้จึงดูเหมือนจะอ่อนกำลังลง ไม่น่าเชื่อตามที่คุณวิโรจน์ ลักขณาอดิศร อ้างว่า หากพรรคก้าวไกลไม่ดำเนินการผลักดันเรื่องการแก้ไขมาตรา 112 ม็อบจะยิ่งรุนแรงขึ้น แต่น่าเชื่อในทางตรงข้ามมากกว่าว่า เป็นเพราะปลุกม็อบไม่ขึ้น ในระยะหลัง จัดชุมนุมกี่ครั้ง ก็ไม่สามารถเรียกคนมาลงถนนได้มากอย่างที่ต้องการได้ จึงหันมาใช้กระบวนการทางรัฐสภาผ่านพรรคการเมือง ซึ่งจะอย่างไรก็เป็นการดีกว่าไปก่อกวนสร้างความเดือดร้อนอยู่บนท้องถนน

บัดนี้กระแสสังคมชัดเจนว่า ไม่ต้องการให้แตะต้องมาตรา 112 พรรคเพื่อไทยที่ตอนแรกทำท่าขึงขังก็กลับลำ พรรคประชาธิปัตย์ครั้งนี้มีจุดยืนชัดเจนว่า ไม่ต้องการแก้ไขมาตรา 112 พรรคอื่นๆ ก็ทำท่าจะไม่เอาด้วยทั้งสิ้น ทำให้พรรคก้าวไกลถูกโดดเดี่ยว การยื่นขอแก้ไขมาตรา 112 ตามแนวทางของ อ.ปิยบุตร หรือแม้แต่แก้ไขในทางใดก็ตาม ความเป็นไปได้ที่จะทำสำเร็จมีน้อยมาก และหากจะยกเลิกไปเลยอย่างที่ม็อบต้องการ ยิ่งไม่มีความเป็นได้เลยแม้แต่น้อย

คำถามคือ ทั้งๆ ที่รู้ว่าเป็นไปไม่ได้ แล้วพวกเขายังไม่หยุด ยังคงเดินหน้าต่อไปเพื่ออะไร

แน่นอน, ประเด็นที่น่าสนใจ ดูเหมือน ฝ่ายที่เรียกร้อง ปฏิรูปสถาบันฯ และยกเลิก ม.112 นับวันจะไปไม่เป็นขึ้นทุกวัน เพราะเกมที่พวกเขาเล่น ถือว่า ใหญ่เกินตัว ทั้งยังฝืนความต้องการของประชาชน และขัดแย้งกับประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ

และถ้าจะไล่เรียงดูให้ดี อาจถือว่า พวกเขาประเมินสถานการณ์ผิดด้วย เพราะไม่มีเหตุอันใดที่จะเอื้อให้มีการนำเรื่อง “ปฏิรูปสถาบันฯ” ขึ้นมาต่อสู้เรียกร้อง เลยแม้แต่น้อย

ทุกอย่างมันเกิดขึ้นจากความต้องการหยิบฉวยมาเป็นประเด็นต่อสู้ทางการเมืองของพรรคการเมืองบางพรรค ที่เชื่อว่า แรงหนุน “ล้มเจ้า” ในโลกโซเชียลที่มีการปั่นกระแสกัน ทั้งในและนอกประเทศจะเป็นใจ แต่สุดท้ายในโลกแห่งความเป็นจริง ก็อย่างที่เห็นกันอยู่ ปรากฏว่า ประชาชนส่วนใหญ่ยังจงรักภักดีต่อสถาบันฯ และไม่เห็นว่า เรื่องปฏิรูปสภาบันฯเป็นเรื่องสำคัญ กลับกันยังยอมรับไม่ได้ด้วย

เมื่อเป็นเช่นนี้ ต่อให้นายปิยบุตรจะสร้างวาทกรรม ประดิษฐ์คำออกมาเพื่อโน้มน้าวให้ผู้คนคล้อยตาม ก็ไม่เป็นผลแต่อย่างใด เพราะคนไทยรู้ทันหมดแล้ว

ยิ่งกว่านั้น ยังดูเหมือน ชัดเจนวา สิ่งที่พวกเขาเป็นห่วงและเริ่มทุกข์หนักก็คือ คดีที่ติดตัวแกนนำคนละหลายคดี แถมแต่ละคดี ยังมีหลักฐานผูกมัดแน่นหนา ทั้งยังไม่ได้รับการประกันตัวด้วย เนื่องเพราะประกันออกมาแล้ว ก็ผิดเงื่อนไขประกัน และทำผิดซ้ำไม่รู้สำนัก จนยากที่ใครจะยื่นมือช่วยได้

จึงไม่แปลก ที่ประเด็นยกเลิก ม.112 ที่มีการรียกร้องกัน จะเป็นความหวังเดียวที่ทำให้พวกเขาหลุดพ้นจากบ่วงกรรม แต่ทว่า ดูเหมือนไม่ง่ายเสียแล้ว เพราะใครก็รู้ว่า การยกเลิก ม.112 ก็เท่ากับการทลายกำแพงทั้งหมดที่ปกป้องคุ้มครองสถาบันฯ และขนาดยังมีกำแพงสูงขนาดนั้น ยังปีนกันเป็นว่าเล่น นี่คือประเด็น

ส่วนที่หวังให้นักการเมืองช่วย ก็ยิ่งยากเข้าไปใหญ่ เพราะพวกเขา ต้องคิดหนักว่า ผลประโยชน์ทางการเมืองที่ได้รับคุ้มหรือไม่ ที่เปลืองตัวเสี่ยงกับเรื่องนี้ เห็นหรือไม่ว่า ถอยกันแทบทุกพรรค แม้แต่พรรคที่เคยสนับสนุนให้ 3 นิ้ว สู้ตาย ก็ใช่ว่าจะยอมร่วมชะตากรรม เพราะฉะนั้น ควรตาสว่างได้แล้วว่า เขาเห็นม็อบ 3 นิ้ว เป็แค่เครื่องมือทางการเมืองเท่านั้นเอง จริงหรือไม่ก็ลองคิดดู!!!


กำลังโหลดความคิดเห็น