เผยไต๋เกม “ทักษิณ” ส่ง “อุ๊งอิ๊ง” ชิงฐานเสียงคนรุ่นใหม่ ฟัด “ก้าวไกล” โดยตรง เปิด “คำสั่งศาลฯ” ตอกหน้า “รุ้ง” คนทั่วไปยังรู้มีโรคระบาดอยู่! “ม็อบ 31 ตุลา” ฝืน โทษหนัก “โพล” ระบุชัด คนไทยไม่เอาสามกีบ
น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (30 ต.ค. 64) เพจเฟซบุ๊ก THE TRUTH โพสต์ประเด็น ปมลึก “ทักษิณ” ฟัดพรรคก้าวไกล-ใช้ชีวิตลูกสาวเดิมพัน บทเรียน “สมัคร?”
โดยระบุว่า จากกรณี นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ออกมาแง้ม สเปกนายกฯคนใหม่ ว่า หัวใจต้องเป็นประชาธิปไตย ไม่ได้มองประชาชนเป็นพลทหาร พร้อมมีนัยสำคัญประการหนึ่ง ที่กล่าวถึงคนเจน x ว่า เหมาะจะมานั่งเก้าอี้นายกฯ แทน พลเอก ประยุทธ์
และเมื่อวันที่ 28 ต.ค.ที่ผ่านมา พรรคเพื่อไทย ได้มีการจัดงานประชุมใหญ่ประจำปีพรรคเพื่อไทย ภายใต้ธีม “พรุ่งนี้เพื่อไทย เพื่อชีวิตใหม่ของประชาชน” ที่ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติ ขอนแก่น ไฮไลต์สำคัญมีการเปิดตัว น.ส.แพทองธาร ชินวัตร บุตรสาว นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี มานั่งในตำแหน่งที่ปรึกษาพรรค ทำให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์เป็นอย่างมาก
รวมทั้ง นายเทพไท เสนพงศ์ อดีต ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า
“ทักษิณ ส่ง อุ๊งอิ๊ง ลงสนามการเมือง สงครามครั้งสุดท้าย??? การที่ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หรือ คุณอุ๊งอิ๊ง เข้ามารับตำแหน่งเป็นประธานคณะที่ปรึกษาด้านการมีส่วนร่วม และนวัตกรรม ของพรรคเพื่อไทยนั้น ถือว่าเป็นการเปิดตัวลงสนามการเมืองอย่างชัดเจน ภายใต้การสนับสนุนของ คุณทักษิณ ชินวัตร ผู้เป็นพ่อ เป็นการเปิดหน้าชก และเป็นไพ่ใบสุดท้ายของคุณทักษิณ ที่จะต่อสู้ทางการเมือง โดยมีเดิมพันของการกลับมาประเทศไทยให้ได้อีกครั้งหนึ่ง
การผลักดันให้ คุณอุ๊งอิ๊ง เข้ารับตำแหน่งประธานคณะที่ปรึกษาด้านการมีส่วนร่วม และนวัตกรรม ของพรรคเพื่อไทยในครั้งนี้ น่าจะมาจากเหตุผล คือ
1. ต้องการให้คนในครอบครัว เข้ามาควบคุม และนำพรรคเพื่อไทย ที่เป็นเหมือนมรดกของตระกูลชินวัตร ทางการเมืองต่อไป
2. การให้ คุณอุ๊งอิ๊ง ซึ่งเป็นลูกสาวคนสุดท้อง ที่มีความเหมือนคุณทักษิณมากที่สุด มาเป็นตัวแทนทางการเมือง เพราะเชื่อมั่นว่า สามารถทำงานในฐานะนอมินี หรือตัวแทนคุณทักษิณ ได้มากกว่าบุคคลภายนอก เพราะเลือดย่อมข้นกว่าน้ำ อย่างแน่นอน
3. การที่ คุณอุ๊งอิ๊ง เข้ามาเป็นผู้นำทางการเมืองในพรรคเพื่อไทย เป็นการปรับภาพลักษณ์และหวังดึงคะแนนเสียงจากคนรุ่นใหม่ให้กับพรรคเพื่อไทย จากฐานเสียงของพรรคก้าวไกล ได้ส่วนหนึ่ง
4. เมื่อ คุณอุ๊งอิ๊ง เข้ามามีบทบาทในพรรคเพื่อไทย เป็นการเรียกขวัญกำลังใจ ของสมาชิกพรรค และส่งสัญญาญให้กับ ส.ส.ที่กำลังคิดจะย้ายพรรค ได้รับรู้ว่างานนี้นายใหญ่สู้จริง ถึงขั้นใช้ชีวิตของลูกสาวมาเป็นเดิมพัน
5. จะส่ง คุณอุ๊งอิ๊ง เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทย เพราะการสนับสนุนให้คนในตระกูลชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี สามารถสร้างความมั่นใจ และไว้วางใจได้มากกว่าบุคคลภายนอก ที่คุณทักษิณเคยได้รับบทเรียน จากกรณีของนายสมัคร สุนทรเวช ที่เคยเป็นนายกรัฐมนตรีมาแล้ว
การเปิดเกมการเมืองของคุณทักษิณครั้งนี้ น่าจะเป็นสงครามครั้งสุดท้าย ที่เอาชีวิตลูกสาวสุดที่รักมาเป็นเดิมพันทางการเมือง ที่ต้องเสี่ยงกับชะตากรรมของชีวิต เหมือนกับคนในตระกูลชินวัตรได้เผชิญมาแล้ว ถึงขั้นที่คุณอุ๊งอิ๊งได้ประกาศบนเวทีพรรคเพื่อไทย ว่า พ่อต้องการกลับมากราบแผ่นดินไทย และกราบผู้มีพระคุณ ให้ได้อีกครั้งหนึ่ง”
ขณะเดียวกัน THE TRUTH ยังโพสต์ประเด็น เปิดคำสั่งศาลฯตอกหน้า “รุ้ง” คนทั่วไปยังรู้มีโรคระบาดอยู่! ม็อบ 31 ตุลา ใครฝืนโทษหนัก
เนื้อหาระบุว่า จากกรณี น.ส.ปนัสยา หรือ รุ้ง สิทธิจิรวัฒนกุล แกนนำแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม ยื่นคำร้องต่อศาลแพ่ง ฟ้อง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และ พล.อ.เฉลิมพล ศรีสวัสดิ์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ออกข้อกำหนดที่ 25 ข้อที่ 3 โดยอ้างจำกัดสิทธิและเสรีภาพในการชุมนุมนั้น
โดย น.ส.ปนัสยา กล่าวว่า ตนมายื่นคำร้องขอให้ศาลไต่สวนฉุกเฉิน และให้คุ้มครองการชุมนุมที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 31 ตุลาคม 2564 ที่แยกราชประสงค์ชั่วคราว เนื่องจากการชุมนุมที่ผ่านมามีการขัดขวางโดยเจ้าหน้าที่รัฐอยู่เสมอ และตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน ที่จะถึงก็เปิดประเทศแล้ว จึงไม่มีเหตุอันใดที่ยังจะต้องห้ามไม่ให้มีการชุมนุมอีกต่อไป รวมถึงที่ผ่านมาไม่เคยปรากฏพบผู้ติดเชื้อโควิด19 จากการชุมนุมทางการเมือง
“ก็คาดหวังว่า สิทธิในการคุ้มครองชั่วคราวจะไม่เพียงมีผลกับการชุมนุมในวันที่ 31 ตุลาคมเท่านั้น แต่อยากให้มีผลคุ้มครองการชุมนุมของทุกกลุ่ม จึงขอให้ศาลได้รับคำร้องและฟังเสียงของประชาชนที่ออกมาแสดงออกอย่างสันติ” น.ส.ปนัสยา กล่าว
ล่าสุด วันนี้ 30 ต.ค. 64 ศาลเเพ่งได้ออกเอกสารข่าว ความว่า ตามที่ปรากฏเป็นข่าวต่อสาธารณะว่า เมื่อวันที่ 29 ต.ค. 64 น.ส.ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล กับพวกรวม 4 คน ยื่นฟ้อง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กับพวกรวม 2 คน เป็นคดีหมายเลขดำที่ พ.5080/2564 ของศาลแพ่งขอให้ศาลมีคำพิพากษาเพิกถอนข้อกำหนดที่ออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 (ฉบับที่ 15) ข้อ3 และประกาศหัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินในส่วนที่เกี่ยวกับความมั่นคงฉบับที่ 12
และให้ไม่มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ต้นและให้จำเลยทั้งสองมีคำสั่งห้ามเจ้าพนักงานภายใต้บังคับบัญชาปฏิบัติการในลักษณะกีดขวางการชุมนุมของโจทก์ทั้ง 4 และให้เจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยคำนึงถึงความปลอดภัยและเสรีภาพของประชาชนพร้อมยื่นคำร้องขอให้ศาลไต่สวนคำร้องขอคุ้มครองชั่วคราวในกรณีฉุกเฉินโดยขอให้ศาลมีคำสั่งให้ระงับการบังคับใช้ข้อกำหนดและประกาศดังกล่าวและห้ามมิให้นำมาตรการคำสั่งหรือการกระทำใดๆ ที่สั่งการตามประกาศดังกล่าวมาใช้กับโจทก์ทั้งสี่และประชาชนจนกว่าศาลจะมีคำพิพากษาถึงที่สุดนั้น
บัดนี้ศาลแพ่งได้ออกนั่งพิจารณาไต่สวนพยานหลักฐานแล้ว มีคำสั่งอันสรุปใจความได้ว่า “แม้ข้อกำหนดและประกาศตามฟ้องที่มีเนื้อหาห้ามมิให้มีการชุมนุมจะเป็นการกระทบสิทธิเสรีภาพของบุคคลในการแสดงความคิดเห็นหรือการชุมนุม แต่ในสถานการณ์การแพร่ระบาดโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด -19) เป็นข้อเท็จจริงซึ่งรู้กันอยู่ทั่วไปว่ายังคงมีการแพร่ระบาดอยู่
ทั้งได้ความตามคำร้องขอไต่สวนฉุกเฉินของโจทก์ทั้ง 4 ว่า ในวันที่ 31 ต.ค. 64 จะมีประชาชนทำกิจกรรมรวมตัวกันไม่น้อยกว่า 10,000 ราย อันมีความสุ่มเสี่ยงที่อาจจะมีการแพร่ระบาดของโรคที่เป็นภัยต่อความปลอดภัยสาธารณะ กรณีจึงยังคงมีความจำเป็นที่ต้องบังคับใช้มาตรการตามข้อกำหนดและประกาศดังกล่าวต่อไปเพื่อป้องกันมิให้เกิดการแพร่ระบาดของโรคและประโยชน์สาธารณะโดยส่วนรวม
ทั้งนี้ หากสถานการณ์การแพร่ระบาดโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) เปลี่ยนแปลงไป และส่งผลให้ความปลอดภัยสาธารณะโดยส่วนรวมขึ้นก็อาจจะไม่มีความจำเป็นในการบังคับใช้ข้อกำหนดและประกาศดังกล่าวต่อไป
ในชั้นนี้ตามคำร้องของโจทก์ทั้ง4จึงไม่มีเหตุเพียงพอที่จะนำวิธีการชั่วคราวก่อนพิพากษาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 254(2) มาบังคับใช้ให้ยกคำร้อง”
ที่น่าสนใจไม่แพ้กัน THE TRUTH โพสต์ประเด็น สามนิ้วเสื่อมทรุด! คนไทยไม่เอาแล้ว ด้อยค่าสถาบันฯ พล่ามคนเท่ากัน แต่ไม่เคารพศรัทธาผู้อื่น
โดยระบุว่า วันนี้ นายนพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการสำนักวิจัยซูเปอร์โพล (SUPER POLL) มูลนิธิ สถาบันวิจัยความสุขชุมชนและความเป็นผู้นำ ร่วมกับ จุฬารัตน์ นิรัติศยกุล นักวิชาการอิสระด้านการพัฒนายั่งยืน เสนอผลสำรวจ ขบวนการทำลายศรัทธาผู้อื่น
ทั้งนี้ เป็นกรณีศึกษาประชาชนทุกสาขาอาชีพทั่วประเทศโดยดำเนินโครงการทั้งการวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) และการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) จำนวน 1,032 ตัวอย่าง ดำเนินโครงการระหว่างวันที่ 27-30 ตุลาคม 2564
พบว่า ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 98.0 ระบุ ขบวนการเคลื่อนไหวเรียกร้องการเปลี่ยนแปลง ควรให้เกียรติ เคารพความรัก ความศรัทธาของผู้อื่นที่มีต่อ จารีตประเพณี สถาบันต่างๆ ของผู้อื่น เช่น ความรักศรัทธา เทิดทูนสถาบันหลักของชาติ และกรณี ขบวนอัญเชิญพระเกี้ยวของจุฬาลงกรณ์ เป็นต้น
ในขณะที่ร้อยละ 97.8 ระบุ ขบวนการที่ต้องการเปลี่ยนแปลงแบบทำลายความรักความศรัทธาและคุกคามข่มขืนจิตใจผู้อื่น เป็นขบวนการมุ่งทำลายมากกว่า สร้างสรรค์ความสงบสุขเรียบร้อยในสังคม และร้อยละ 95.1 ระบุ ขบวนการเคลื่อนไหวให้คนเท่ากัน แต่ทำลายประเพณี ทำลายคุณค่าทางประวัติศาสตร์ เป็นแค่การหลอกลวงเพื่อทำให้ตนเองและพรรคพวกขึ้นมีอำนาจอยู่เหนือผู้อื่นเสียเอง
ที่น่าพิจารณาคือ ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 95.9 เห็นด้วยว่า คนเราจะเท่ากัน ต้องเคารพในความเห็นที่ต่างกัน ไม่เป็นเหตุ เปลี่ยนแปลงไปสู่ความแตกแยก ขัดแย้งรุนแรงบานปลาย ในขณะที่เพียงร้อยละ 4.1 เห็นด้วยน้อยถึงไม่เห็นด้วยเลย
นอกจากนี้ ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 97.3 เห็นด้วยว่า คุณค่าความเป็นไทย ประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม ประเพณีเป็นสิ่งที่มีคุณค่ารักษาให้อยู่ร่วมสมัยได้ในทุกยุค เป็นคุณค่าทางจิตใจและเสริมสร้างการมีส่วนร่วม หนุนใจ หนุนพลังต่อกันของคนในสังคม
ในขณะที่ ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 98.5 เห็นด้วยว่า ขบวนการเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงต่างๆ ควรนำวัฒนธรรมและประเพณีไทย ผสมผสานและเข้ากับการปกครองแบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขสู่ความสงบสุขเรียบร้อยของบ้านเมืองและประชาชน
ด้าน ผอ.ซูเปอร์โพล กล่าวด้วยว่า จากผลสำรวจชี้ให้เห็นว่า ประชาชนส่วนใหญ่เห็นว่า ขบวนการเคลื่อนไหวต่างๆ ที่จะทำให้คนจะเท่ากันต้องเริ่มจากการเคารพและยอมรับความเห็นที่แตกต่างของกันและกัน ถ้าจริงใจต้องทำสิ่งที่ทำให้เกิดการชวนกันทำสร้างสรรค์ไม่ใช่ชวนทะเลาะและนำไปสู่ความขัดแย้งรุนแรงบานปลาย เพราะ ความหมายหรือสิ่งที่นึกถึงคำว่า “คนเท่ากัน” ของแต่ละคนไม่เหมือนกันและไม่จำเป็นต้องเหมือนกันทั้งหมด การเคลื่อนไหวของขบวนการเปลี่ยนแปลงต้องไม่นำไปสู่ความแตกแยกของคนในชาติเป็นขบวนการทำลายศรัทธาผู้อื่น
อย่างไรก็ตาม น่าสนใจว่า แม้การสำรวจของซูเปอร์โพล ไม่ได้ระบุถึงการชุมนุมของกลุ่มราษฎร ที่ขณะนี้บรรดาแกนนำ และแนวร่วมถูกดำเนินคดีเป็นจำนวนมาก หากศาลตัดสินถึงที่สุดแล้วว่าผิดจริง ก็จะต้องติดคุกคนละหลายสิบปี โดยขณะนี้บรรดาผู้ที่สนับสนุนกำลังรณรงค์ยกเลิกมาตรา 112 กับคนที่ทำผิดหมิ่นสถาบันฯ โดยกลุ่มคนเหล่านี้อ้างถึงสิทธิเสรีภาพ ไม่ยอมรับอีกฝ่ายที่คิดต่าง ที่มีความรักเทิดทูนสถาบันฯ ซึ่งเมื่อแสดงออกถึงการปกป้อง ก็จะถูกโจมตี วิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรง ในขณะที่อ้างถึงความเป็นคนเท่ากัน
แน่นอน, ประเด็น ผลสำรวจของสำนักวิจัยซูเปอร์โพล แทบไม่ต้องสงสัยแล้วว่า คนไทยส่วนใหญ่ของประเทศ คิดอย่างไร กับการเคลื่อนไหวของ พวกสามกีบ หรือ ม็อบสามนิ้ว เพราะไม่ว่าจะประเด็นอะไร ล้วนแต่เกินกว่า 90% ขึ้นไปทั้งสิ้น
รวมถึงประเด็น ศาลฯมีคำสั่งไม่คุ้มครองชั่วคราว ม็อบสามนิ้ว ที่จะมีการชุมนุมในวันที่ 31 ต.ค.นี้ และไม่มีผลคุ้มครองทุกม็อบตามฟ้อง
นั่นก็เท่ากับว่า การชุมนุม ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มไหน ถือว่าเป็นการชุมนุมที่ผิดกฎหมายทั้งสิ้น และมีโทษหนักตามกฎหมาย ไม่มียกเว้น ตราบที่ยังมีกฎหมายบังคับใช้ ดังนั้น จึงนับว่าน่าจับตามอง ม็อบ 31 ต.ค. จะกล้าฝ่าฝืนหรือไม่ เพราะอย่าลืมว่า ครั้งนี้มีความชัดเจนเกี่ยวกับความผิดอย่างมาก และปฏิเสธไม่ได้ด้วย เพราะเป็นผลมาจากการฟ้องคุ้มครองชั่วคราว และศาลฯก็มีคำสั่งออกมาดังกล่าว
มาถึงประเด็นที่น่าวิเคราะห์อย่างยิ่ง ก็คือ กรณี “ทักษิณ” ส่ง “อุ๊งอิ๊ง” ลงเล่นการเมือง ทั้งก่อนนั้น ได้ปูทางเอาไว้แล้ว ว่า คุณสมบัติอย่างลูกสาวนี่แหละเหมาะ เป็นนายกฯคนต่อไป
เมื่อเป็นเช่นนี้ จึงน่าย้อนถึงสิ่งที่ “ทักษิณ” พูดเอาไว้ ตั้งแต่จะกลับประเทศไทยแน่นอน พูดกับ ส.ส.ของพรรค ว่า ต้องเอาชนะถล่มทลายเท่านั้น จึงจะทำให้ฝ่ายอำนาจไม่กล้าสกัดกั้น ฝ่ายประชาธิปไตย จะต้องจับขั้วกัน สามัคคีกัน เรื่องเศรษฐกิจต้องมาก่อน แม้ว่า ประชาธิปไตย ก็สำคัญ แต่ต้องเอาปากท้องให้รอดก่อน ขณะเดียวกัน ก็ยอมรับว่า ทั้งสองเรื่องเป็นฝาแฝดกัน (เพื่อเอาใจคนรุ่นใหม่) ฯลฯ
เห็นได้ชัดว่า หมากเกมของทักษิณ คือ หมากเกมที่เอาแต่ได้ทางการเมือง คือ ต้องการได้ ส.ส.แบบถล่มทลายไม่เหลือให้ใคร แม้แต่พันธมิตรฝ่ายค้าน ถ้าทำได้
“ทักษิณ” รู้ว่า ตัวเองมีฐานเสียงจัดตั้งเอาไว้แล้วทั่วประเทศชัดเจน การส่งลูกสาว ก็เท่ากับทำให้เห็นว่า ตัวเองคือ ตัวจริง? เชื่อได้ในเรื่องเศรษฐกิจ ส่วนลูกสาวคือ ตัวแทนคนรุ่นใหม่ ทั้งยังเป็นตัวแทนที่ “แทงกั๊ก” เรื่องสถาบัน ทำให้ได้คะแนนคนรุ่นใหม่ ทั้งที่เป็นสามนิ้ว และไม่เอาสามนิ้ว จึงเท่ากับทำให้คนรุ่นใหม่ มีทางเลือกมากกว่า “ก้าวไกล” นั่นเอง
เห็นหรือยังว่า ธาตุแท้เป็นอย่างไร ทั้งหมดก็เพราะต้องการกินรวบทุกอย่าง เพื่อผลประโยชน์ตัวเอง เพื่อเกมกลับบ้านแบบเท่ๆ โดยต้องการให้ทุกคนเป็นฐานรองรับเพียงอย่างเดียว หรือว่าไม่จริง คนที่คิดหนัก น่าจะเป็นพรรคก้าวไกลนั่นเอง