“ทิพานัน” ย้อนแสบ เพื่อไทย 3 ปี ดีแต่จ้อง “พาทักษิณกลับบ้าน” ไม่แยแสกดันกฎหมายเพื่อปากท้องประชาชน ดีแต่ประดิษฐ์วาทกรรมสวยหรู ตีกินแบบการเมืองเก่า ตอกกลับสมัยยิ่งลักษณ์ ทั้งออกมาตรการอุ้มคนรวย ปราบม็อบรุนแรง จวก “อนุสรณ์” จงใจไม่เข้าใจทำลายกระบวนการยุติธรรม ยันศาลเคยให้ประกันตัว แต่แกนนำม็อบราษฎรกระทำผิดซ้ำ
วันนี้ (2 พ.ย.) น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ ประจำสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี อดีตผู้สมัคร ส.ส.กทม.เขตจอมทอง-ธนบุรี อดีตรองโฆษกพรรคพลังประชารัฐ กล่าวถึงกรณีที่ น.ส.ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ โฆษกพรรคเพื่อไทย แถลงย้ำแนวคิดพรุ่งนี้เพื่อไทย ชีวิตใหม่ของประชาชนต้องดีกว่าเดิม 3 ด้าน คือ ปากท้องประชาชน สุขภาพอนามัย และประชาธิปไตยและเสรีภาพ ว่า การที่พรรคเพื่อไทยประกาศแนวคิดทั้ง 3 ด้านออกมานั้น เป็นเพียงวาทกรรมสวยหรู ตีกินแบบการเมืองเก่าๆ สะท้อนความคิดที่ตื้นเขิน สวนทางกับความเป็นจริงที่พรรคเพื่อไทยปฏิบัติอย่างไม่ละอายแก่ใจ
ข้อ 1 จากที่โฆษกพรรคเพื่อไทย ระบุว่า "พรรคเพื่อไทยจะแก้ปัญหาประชาชนให้กลับมาอยู่ดีกินดี” เท่าที่ติดตามการทำหน้าที่ของพรรคเพื่อไทยตลอดระยะเวลา 3 ปีกว่าที่ผ่าน มาจนถึงปัจจุบัน พรรคเพื่อไทยไม่เคยผลักดันกฎหมายที่เป็นประโยชน์เพื่อปากท้องของประชาชนเลย มีแต่ผลักดันเรื่องของการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อขจัดอุปสรรคหรือให้มีข้อได้เปรียบในการเลือกตั้งขอพรรคตนเอง
ในทางตรงกันข้าม พรรคเพื่อไทย คงลืมไปแล้วว่า ในสมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เข้ามาบริหารประเทศได้ผลักดันแต่นโยบายอุ้มคนรวย เช่น การปรับลดภาษีนิติบุคคลทันทีจาก 30% เหลือ 23% ส่งผลให้รัฐสูญเสียรายได้ 1.5 แสนล้านบาทต่อปี และยังทำให้ พ.ร.บ.ที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ที่เป็นกฎหมายเก็บภาษีทรัพย์สินต้องตกไป ซึ่งถือเป็นกฎหมายที่ลดความเหลื่อมล้ำระหว่างคนจนกับคนรวย สะท้อนเจตนาปกป้องกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และเศรษฐีที่ดินที่กว้านซื้อที่เก็งกำไร ดังนั้น จะให้ประชาชนเชื่อมั่นพรรคเพื่อไทยได้อย่างไร
“พรรคเพื่อไทยควรให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาปากท้องของประชาชนแบบที่จับต้องได้จริง ไม่ใช่แค่ประดิษฐ์วาทกรรมให้สวยหรู แต่กลับมีนัยยะซ้อนเร้น ทำเพื่อคนบางกลุ่มบางพวก เน้นการทำงานในปัจจุบันที่ทำหน้าที่ฝ่ายค้านให้มีประสิทธิภาพ แต่เท่าที่เห็นนโยบายหลักของพรรคเพื่อไทยอันดับแรก คือ พาทักษิณกลับบ้าน” น.ส.ทิพานัน กล่าว
น.ส.ทิพานัน กล่าวว่า ข้อ 2 ด้านสุขภาพอนามัยของประชาชน โฆษกพรรคเพื่อไทย ระบุว่า “ต้องดำเนินการด้านความปลอดภัยในสุขภาพของประชาชนอย่างรอบคอบ” จะเห็นได้ว่า เป็นการวิจารณ์แบบตีขลุม ทั้งที่เรื่องนี้รัฐบาลมีมาตรการดูแลประชาชนมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะโรคอุบัติใหม่อย่างเชื้อไวรัสโควิด-19 รัฐบาลมีนโยบายให้ประชาชนรักษาฟรี ปลดล็อกให้โรงพยาบาลเอกชนสามารถเบิกค่ารักษาโควิด-19 ได้ เพื่อช่วยรัฐดูแลประชาชน มีแนวทางการดูแลผู้ป่วยที่บ้าน ขณะที่มีการรณรงค์ฉีดวัคซีนให้ประชาชน ขณะนี้ครอบคลุมกว่า 75 ล้านโดสแล้ว อีกทั้งยังจ่ายเงินเยียวยากรณีแพ้วัคซีนอีกด้วย และเมื่อมีการปลดล็อกเปิดประเทศให้เศรษฐกิจขับเคลื่อน ก็ได้กำหนดขั้นตอนในการดำเนินการทั้งต้นทางและปลายทางอย่างรอบคอบรัดกุม ภายใต้เงื่อไขที่นักท่องเที่ยวต้องฉีดวัคซีนและตรวจคัดกรองโควิด
ข้อ 3 โฆษกพรคเพื่อไทย ระบุว่า “ประชาธิปไตยและสิทธิเสรีภาพต้องคืนกลับมาสู่มือประชาชน” เรื่องนี้ยืนยันว่า ประชาธิปไตยอยู่ในมือของประชาชนมาตลอด รัฐบาลนี้ดำเนินการตามครรลองของประชาธิปไตย ให้ทุกคนมีสิทธิตามรัฐธรรมนูญ และไม่มีใครสามารถใช้สิทธิเกินรัฐธรรมนูญได้ เช่น การชุมนุมต้องไม่ผิดกฎหมาย จะเห็นได้ว่า ในรัฐบาลยิ่งลักษณ์เองมีการปราบปรามกลุ่มผู้ชุมนุมที่มาปักหลุกค้างคืน ทั้งที่ในช่วงของรัฐบาลย่างลักษณ์ ไม่ได้อยู่ในสถานการณ์โควิดเหมือนรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ที่ต้องมีมาตรการในการควบคุมโรคด้วยซ้ำ แต่กลับใช้ความรุนแรงในการปราบปรามประชาชน
ส่วนที่ นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รองเลขานุการกรรมการยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย อ้างถึงสิทธิการประกันตัวเป็นสิทธิและเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ ผู้ที่มีความเห็นต่างทางความคิดไม่ควรถูกจองจำ ในความผิดตามมาตรา 112 และ116 นั้น น.ส.ทิพานัน กล่าวว่า ยิ่งพูดนายอนุสรณ์ก็จะยิ่งสะท้อนถึงความไม่เข้าใจ หรือจงใจที่จะไม่เข้าใจพยายามเบี่ยงเบนประเด็นให้เข้าใจคลาดเคลื่อน เพื่อทำลายกระบวนการยุติธรรม เนื่องจากกรณีที่ไม่ได้รับการประกันตัวนั้น ไม่ใช่ไม่ให้ประกันตัว แกนนำทุกคนเคยได้รับการประกันตัวไปแล้วอย่างน้อยคนละหนึ่งครั้งไปหมดแล้ว แต่เป็นเพราะผู้กระทำผิดเมื่อได้รับการประกันตัวแล้ว “กลับกระทำผิดซ้ำ” และทำผิดเงื่อนไขศาล เช่น คดีที่ นายอานนท์ นำภา, นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือ เพนกวิน, นายภาณุพงศ์ จาดนอก หรือ ไมค์, นายจตุภัทร บุญภัทรรักษา หรือ ไผ่ ดาวดิน แกนนำกลุ่มราษฎร ถูกตั้งข้อกล่าวหากระทำความผิดมาตรา 112 นั้น มีเหตุอันควรเชื่อได้ว่าจำเลยจะไปก่อเหตุอันตรายประการอื่นในลักษณะเดียวกับคดีนี้ซ้ำขึ้นอีก